ตอนที่ 347 เดือนสามวันที่ยี่สิบสี่

นายน้อยเจ้าสำราญ

เดือนสามวันที่ยี่สิบสี่ พรุ่งนี้คือเดือนสามวันที่ยี่สิบห้า

ราวกับเป็นประโยคที่ไร้สาระยิ่ง แต่สำหรับเหล่าบัณฑิตที่เดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมงามชุมนุมวรรณกรรม นี่กลับมิใช่ประโยคที่ไร้สาระ

เพราะงานชุมนุมวรรณกรรมจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้แล้ว เยี่ยงนั้นวันนี้ ก็คือวันสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เตรียมตัว

ในเช้าวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับคฤหาสน์จิ้งหูโดยมีโจวถงถงร่วมเดินทางกลับไปด้วย

อาการบาดเจ็บของเขามิได้สาหัสแล้ว อาการช้ำและบาดเจ็บจากภายในได้รับการรักษาอย่างพิถีพิถันจากหมอหลวงจนหายดีแล้ว มีเพียงช่วงอกและหน้าท้องเท่านั้นที่ยังคงมีรอยสีแดง ๆ หลงเหลืออยู่

แขนขวาของเขาถูกมัดด้วยผ้ายา คล้องคอและห้อยไว้ตรงหน้าอก มีดบินเล่มนั้นแทงเข้าที่แขนของเขา และในวันนี้ถึงแม้จะถูกจัดการไว้อย่างดีแล้ว แต่บาดแผลก็ยังมิได้สมานกันดี

“คุณชายฟู่ ท่านยังมีคำร้องใดที่ต้องการให้ข้าน้อยนำไปทูลถวายต่อฝ่าบาทอีกหรือไม่ ? ”

ในรถม้าโจวถงถงได้จดจ้องฟู่เสี่ยวกวนมาตลอด สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนสงบนิ่ง มิได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วหลังจากที่เขาผู้นี้ถูกองค์หญิงไท่ผิงส่งตัวมายังพระราชวัง เขาก็ได้ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง สีหน้าของเขาเรียบนิ่งมาโดยตลอด

เขามิได้มีโทสะที่ถูกลอบสังหาร เขามิได้ดูมีความสุขที่จักรพรรดินีเซียวถูกนำตัวไปยังตำหนักเย็น จนหลังจากที่โจวถงถงกล่าวถึงเรื่องตัวตนของเขา เขาก็เพียงแค่ยิ้มตอบเท่านั้น

ในรอยยิ้มนั้นสิ่งที่โจวถงถงเห็นกลับมิใช่ความสุข แต่เป็นเรื่องไร้สาระ… มิผิดเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่านี่คือเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง

แม้ว่าฝ่าบาทที่นั่งอยู่ข้างเตียงจะห่มผ้าให้เขาด้วยพระองค์เอง ทั้งยังลงมือตักยาต้มให้เขาด้วยพระองค์เอง เขากลับกล่าวเพียงว่าขอบคุณ ข้าที่บาดเจ็บไร้หนทางจะคำนับให้ฝ่าบาทได้ ขอประทานอภัย

นี่คือท่าทีที่ขุนนางต่างแดนมีต่อฝ่าบาท หาใช่ท่าทีที่บุตรชายผู้หนึ่งมีต่อบิดาไม่

แต่ราวกับฝ่าบาทมิได้สนใจแต่อย่างใด

โจวถงถง หนานกงอี้หยู่และขุนนางท่านอื่นคิดว่าระยะเวลาที่ห่างไกล 17 ปี ย่อมมิสามารถดึงความสัมพันธ์เข้ามาได้ในชั่วข้ามคืน

ดังนั้นฝ่าบาทจึงลงมือทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อด้วยตนเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ของพ่อลูกขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แต่ในเช้าตรู่วันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปฏิเสธคำชักชวนของฝ่าบาท เขากล่าวว่าเขาจะกลับจวน ฝ่าบาทคิดว่าพระราชวังนี้คือจวนของเขา แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวว่าคฤหาสน์จิ้งหูต่างหากเล่าที่เป็นจวนของเขา

ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวแล้วว่าต้องการให้คฤหาสน์จิ้งหูกลายเป็นจวนของเขา ฝ่าบาทจึงลงมือกระทำเรื่องที่มิปกติในทันที ในสายตาของหนานกงอี้หยู่ ย่อมเป็นเรื่องที่เชื่อถือมิได้อย่างยิ่ง เพียงฝ่าบาทตวัดมือ ก็ได้ส่งนางกำนัลในวังหลวง 100 คนนอกจากนั้นยังมีขันทีอีก 10 คนไปให้ที่คฤหาสน์จิ้งหู สุดท้ายเหมือนว่าพระองค์จะรู้สึกว่ายังมิเพียงพอ จึงได้โยกย้ายราชองครักษ์ในพระราชวังจำนวน 300 นายไปประจำการที่คฤหาสน์จิ้งหูอีกด้วย

นี่เป็นการป่าวประกาศให้ใต้หล้าทราบกันอย่างชัดเจนแล้ว ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสของจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง !

องค์ประกอบนี้เมื่อเทียบกับองค์ชายแล้วก็มิได้น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าใดนัก นอกจากสถานที่ที่มิเหมือนกันแล้ว ราวกับ… มิได้แตกต่างอันใดเลยด้วยซ้ำ

สัญญาณนี้ได้ถูกปล่อยออกมาเร็วไปหน่อยหรือไม่ ?

หนานกงอี้หยู่ค่อนข้างกังวลใจ แต่โจวถงถงกลับมิสนใจ

เพียงแค่เขาคนนี้ จะกลับมายังจวนที่เป็นพระราชวังเมื่อใดกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า และคำนับให้โจวถงถง “ท่านขุนนางโจว ข้าได้ครุ่นคิดมาตลอดการเดินทาง หากท่านขุนนางสะดวก รบกวนฝากนำข้อความไปทูลถวายฝ่าบาทสักเล็กน้อย ข้าต้องการไปเยี่ยมเยียนจักรพรรดินีเซียว มิทราบว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่ ? ”

โจวถงถงผงะ คำขอนี้ค่อนข้างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง คำขอร้องเช่นนี้มิค่อยดีที่จะนำไปทูลต่อฝ่าบาทเท่าสักใดเลย

เมื่อเห็นสีหน้าที่ยุ่งเหยิงของโจวถงถง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาจากในแขนเสื้อหนึ่งใบ “ท่านขุนนางโจว ของที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้าต้องการไปพบจักรพรรดินีเซียวโดยแท้จริง”

โจวถงถงแย้มยิ้มขึ้นมา เขารับตั๋วเงินใบนั้นมาจริง ๆ เพราะมีตั๋วเงินใบนี้ เขาถึงจะกล้าเอ่ยปากยามอยู่เบื้องหน้าของฝ่าบาท

ส่วนฝ่าบาทจะเห็นด้วยหรือไม่ นั่นก็มิเกี่ยวกับเขาแล้ว

“พรุ่งนี้เช้า สำนักศึกษาฮ่านหลินจะส่งคนมาพาพวกท่านไปยังวัดหานหลิง คาดว่าท่านต้องพักที่วัดหานหลิงเป็นเวลา 3 วัน ข้าได้ไปตรวจดูสถานที่นั้นมาแล้ว มิได้สะดวกสบายต่อการพักผ่อน ดังนั้นประเดี๋ยวข้าจะไปอีกสักครา เพื่อจัดการสถานที่เหล่านั้นไว้ให้ดีสำหรับท่าน ท่านมิต้องนำสิ่งของใดไปให้มากมาย ของใช้ทุกอย่างข้าจะจัดการให้ท่านเอง”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นมาทันพลัน “เยี่ยงนั้นคงต้องลำบากท่านขุนนางโจวแล้ว”

“ภายภาคหน้ายังมีเวลาที่ต้องทำงานให้ท่านอีกมาก ข้านั้นค่อนข้างขี้เกียจ เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าคุณชายฟู่คงจะอดทนต่อข้าได้”

โจวถงถงหันหลังจากไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินเข้าไปในเรือน และได้ตกใจขึ้นมาทันใด…

คาดมิถึงว่าจะมีผู้คนมากมายอยู่ภายในเรือนนี้ !

เมื่อมองดูจากเครื่องแต่งกาย ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของวังหลวง เขามิทราบว่าฝ่าบาทเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ เขายังคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นการจัดการของต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน

หลังจากนั้นเขาจึงได้เห็นขันทีผู้หนึ่งที่เคยพบพานมาก่อน เขาผู้นั้นคือ…ขันทีหลิน

ขันทีหลินวิ่งก้าวสั้น ๆ มาจนถึงข้างกายฟู่เสี่ยวกวน คุกเข่าลงเสียงดังตึง และกล่าวอย่างหวาดกลัว “กระหม่อมนั้นมีตาหามีแววไม่ องค์ชายใหญ่ได้โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสารภาพกับองค์ชายใหญ่ว่า ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่ได้รับมาจากองค์ชายใหญ่ในวันนั้น กระหม่อมได้มอบให้แก่ขันทีเกาแล้ว กระหม่อมสมควรตาย องค์ชายโปรดลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ให้ตายเถอะ เขาจะมาไม้ไหนกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนถูกบังคับจนมึนงงแล้ว จากนั้นจึงเห็นต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน รวมไปถึงลูกศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักเต๋าที่เดินตรงมาทางเขา

“จักรพรรดิเหวินเป็นผู้จัดการ…” ต่งชูหลานมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความขมขื่น พร้อมกับเบะปากน้อย ๆ ชายผู้นี้คือคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดจึงกลายมาเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ไปได้กัน ?

เพราะเรื่องนี้ นางและหยูเวิ่นหวินจึงได้สนทนากันไว้เสียมากมาย หากตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ หากเขาเป็นองค์ชายของราชวงศ์อู๋โดยแท้จริง เยี่ยงนั้นทะเบียนสมรสของราชวงศ์หยูก็ไร้ประโยชน์แล้ว

หยูเวิ่นหวินกลับเยือกเย็นขึ้นมา ทั้งยังหยอกล้อกับต่งชูหลาน “แต่เดิมที่เขาเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินเจ้าก็มิได้รังเกียจเขา ดังนั้นต่อให้เขากลายเป็นองค์ชายของราชวงศ์อู๋ไปแล้วจริง ๆ แล้วเขาจะมิแยแสเจ้ากับข้าได้เยี่ยงไร เรื่องของความรู้สึก มิใช่การผูกมัดด้วยทะเบียนสมรสหนึ่งใบ”

ต่งชูหลานตระหนักขึ้นมาได้ในพลัน เข้าใจแล้วว่าที่ตนเองกังวลนั้นเป็นเพราะความรัก

ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังเป็นฟู่เสี่ยวกวน มิว่าเขาจะแซ่ฟู่หรือแซ่อู๋ เขาก็มิได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

“จักรพรรดิเหวินส่งคนมาที่นี่มากมายเพื่ออันใดกัน ? ”

“ตรัสว่า… เพื่อรับใช้เจ้า”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่น เขากล่าวกับขันทีหลินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นว่า “เสี่ยวหลิน ลุกขึ้นมาเถอะ พานางกำนัลเหล่านี้ ไปทำความสะอาดคฤหาสน์นี้ให้เรียบร้อยเถอะ”

“เสี่ยวหลินรับคำสั่ง ! ”

“ประเดี๋ยวก่อน ชายและหญิงเหล่านี้จัดหาที่พักให้แยกจากกัน ในส่วนของข้าต้องการคนครัวและคนทำความสะอาด ส่วนคนที่เหลือมิอนุญาตให้ก้าวเข้ามาที่นี่แม้แต่ครึ่งก้าว”

“เสี่ยวหลินเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ในที่สุดสถานที่แห่งนี้ก็เงียบสงบ ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงหน้าโต๊ะหินอ่อนตัวใหม่ แต่ซูเจวี๋ยและคนอื่นกลับมิเข้ามานั่งร่วมกับเขา

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างตกใจ “เป็นอันใดกัน ? ”

“พวกข้ากระโดดลงไปในแผนล่อเสือออกจากถ้ำ จนทำให้ศิษย์น้องเล็กได้รับบาดเจ็บ เป็นเพราะการคิดที่มิรอบคอบของข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “พวกเจ้าทิ้งเรื่องนี้ไปเสียเถอะ นั่งลง ๆ ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ก็อย่าได้เสแสร้งไปเลย”

ซูซูหัวเราะเล็กน้อยและนั่งลงด้วยท่าทีผ่อนคลาย หลังจากนั้นก็เป็นเกาหยวนหยวน หลังจากนั้นก็คือซูโหรว และต่อจากนั้นทุกคนจึงนั่งลงกันทั้งหมด

“ท่านอาจารย์ได้ตอบกลับมาแล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าคือศิษย์น้องเล็กของพวกเรา นอกจากนี้…” ซูเจวี๋ยขยับหมวกเล็กน้อย “นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยังได้กล่าวว่าในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเขา จึงอยากจะขอมอบของขวัญให้แก่เจ้า”

“ไหนเล่าของขวัญ ? ”

“อีกาส่งได้เพียงจดหมาย มิสามารถขนของได้ ! ”

“……”