ตอนที่ 369 หยิ่งยโสโอหัง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

สีหน้าของมู่เฉียนซีหม่นคล้ำด้วยความไม่พอใจ เจ้าศิษย์พี่ผู้นี้จะอืดอาดยืดยาดไปถึงเมื่อไร ?  ฝีมือการปรุงยาก็งั้น ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไร้ประโยชน์สิ้นดี

ค่ายกลนี้คล้ายกับค่ายกลที่อาถิงเคยทำลายเมื่อก่อน ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ตั้งอกตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับค่ายกล แต่ค่ายกลนี้นางพอจะรู้ว่าต้องจัดการกับมันอย่างไร

ในขณะที่ศิษย์พี่สี่กำลังพยายามทำทุกวิถีทาง ทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็เตะก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ ต่อมาไม่นานนัก ทุกอย่างตรงหน้าก็โล่งขึ้นมาทันใด

ศิษย์รุ่นน้องเหล่านั้นต่างกล่าวขึ้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่สี่ฝีมือยอดเยี่ยมดีแท้ ในที่สุดก็ทำลายค่ายกลได้แล้ว”

“ศิษย์พี่สี่สมกับเป็นศิษย์ของสำนักจริง ๆ พรสวรรค์ช่างเลิศล้ำ”

“ช่างเยี่ยมยอด…”

ศิษย์น้องแต่ละคนชื่นชมยกย่องศิษย์พี่สี่ผู้นี้ต่าง ๆ นานาไม่หยุดปากจนเขาดีใจแทบร่างลอย เขาเป็นอัจฉริยะรอบด้านที่แท้จริง ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ในการปรุงยาเลิศล้ำ ยังได้เป็นอัจฉริยะนักปรุงยาอันดับต้น ๆ ของหุบเขาหมอเทวดา แต่แม้กระทั่งค่ายกลที่ซับซ้อนเช่นนี้ เขาก็สามารถทำลายได้ภายในชั่วพริบตา

ศิษย์พี่สี่ระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ในใจก่อนจะกล่าวด้วยความนิ่งสงบ “เอาล่ะ พวกเรารีบออกเดินทางกันดีกว่า อย่าปล่อยให้พวกสวะไร้ประโยชน์ของเซี่ยโจวพวกนั้นแย่งชิงผลเก้าอัคคีของมู่ซีไปได้”

ผลเก้าอัคคีไม่ได้มีเพียงผลเดียวแน่นอน เพียงแต่พวกเขาอยากจะได้ความดีความชอบสักเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเข้าไปด้านในของเกาะอัคคีลึกลับนี้ให้เร็วที่สุด

ผลกระทบที่ได้จากค่ายกลนั้นไม่น้อยเลย บนเกาะอัคคีลึกลับแห่งนี้มีผู้คนมากมาย แต่คนที่เดินทางเข้าไปในใจกลางของเกาะนั้นกลับมีเพียงไม่กี่คน

ต้นที่มีผลอัคคีนั้น ลำต้นและใบของมันเป็นสีแดงทั้งหมด ทั่วทั้งต้นดูราวกับเปลวไฟ และมีผลเก้าอัคคีห้อยอยู่รอบ ๆ เปลวไฟนี้  ผลเก้าอัคคีเป็นของล้ำค่ายิ่งนัก ทุกผู้คนล้วนตื่นเต้นที่ได้เห็นมัน

“ลงมือ!”

ในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มลงมือต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเอาผลเก้าอัคคีมาเป็นของตน

ถึงแม้ผลเก้าอัคคีจะไม่ได้มีเพียงแค่ผลเดียว แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมแบ่งผลเก้าอัคคีนี้เท่า ๆ กันอย่างเป็นธรรม เพราะทุกคนนั้นล้วนแต่ต้องการผลเก้าอัคคีนี้ไปทั้งหมด

คนของหุบเขาหมอเทวดาเตรียมพร้อมที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ ดูคนเหล่านั้นต่อสู้กัน จากนั้นก็จะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่เพื่อแย่งเอาผลเก้าอัคคีมา ไม่คิดจะไปลงมือเข้าร่วมสังหารด้วยแต่อย่างใด

น่าเศร้าที่เพียงคำพูดของมู่เฉียนซีไม่กี่คำ กลับทำให้คนเหล่านั้นเกลียดชังและโกรธแค้นพวกเขาได้

มู่เฉียนซีตะโกนเสียงดังว่า “แย่ง แย่ง พวกเจ้ายื้อแย่งช่วงชิงกันอยู่ได้!  พวกเจ้ามีอะไรที่ต้องแย่งกันอีกรึ ? ผลเก้าอัคคีนี้เป็นของข้า เป็นของข้าทั้งหมด พวกเจ้าไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”

ในการต่อสู้ที่ชุลมุน ใครเล่าจะนึกว่าจะมีคนกล้าตะโกนคำกล่าวอันร้ายกาจเช่นนี้ออกมา

พวกเขาหันไปมองชายหนุ่มร่างบาง ใบหน้าหล่อเหลา อายุอานามน่าจะประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี แต่กลับอวดดีไม่รู้สถานการณ์เอาเสียเลย คงจะเป็นนายน้อยเอาแต่ใจที่ถูกคนในครอบครัวเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจึงได้เสียคนถึงเพียงนี้

“เจ้าหนู เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว! ผลเก้าอัคคีนี้ผู้ใดแข็งแกร่งผู้นั้นได้ไป ตัดสินกันที่กำลัง ไม่ใช่ตัดสินกันที่เสียงตะโกนดัง ๆ ของเจ้า”

— ปัง! —

มู่เฉียนซีดึงดูดความเกลียดชังนี้ได้สำเร็จ นางโดนโจมตีเข้าแล้ว

“ชะช้า! นึกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่ปรมาจารย์ภูตระดับเก้า แล้วยังจะกล้าล่วงเกินพวกข้า คงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่ ?!”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของพวกเขา มู่เฉียนซีตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นางหันไปหาคนของหุบเขาหมอเทวดาแล้วตะโกนว่า “พวกเจ้ามัวแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทำไมเล่า ? รีบลงมือจัดการพวกมันซะ  พวกเจ้าเป็นผู้ติดตามประสาอะไรกัน เห็นผู้นำของตัวเองจะโดนรุมยังไม่ลงมือจัดการ”

สำหรับมู่ซีที่รนหาที่ตายนั้น พวกเขาแทบอยากจะปล่อยให้ตาย ๆ ไปเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าศิษย์พี่สี่ยังคงโหยหาต้องการจะครอบครองกระบี่กลืนกินวิญญาณเล่มนั้น พวกเขาจึงต้องลงมือต่อสู้เพื่อช่วยเจ้าหนุ่มผู้นี้เอาไว้

ทันใดนั้นกลิ่นอายระดับจักรพรรดิพลันแผ่ซ่านออกมา สีหน้าของพวกที่ลงมือแย่งชิงผลเก้าอัคคีกับมู่เฉียนซีพลันเปลี่ยนไปทันที

“พลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูง เหตุใดจักรพรรดิแห่งภูตถึงได้มากมายเช่นนี้ ?!”

จักรพรรดิแห่งภูตสามารถเทียบได้กับยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่สุดของสำนักนิกายครึ่งระดับ และสามารถเป็นผู้อาวุโสของสำนักนิกายระดับหนึ่งได้ ไม่ควรที่จะล่วงเกินเป็นอันขาด ทว่ามาตอนนี้พวกเขากลับพบเจอกับผู้แข็งแกร่งมากมาย ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้อย่างแท้จริง

— ปัง! —

คนของหุบเขาหมอเทวดาเริ่มลงมืออย่างโหดร้ายทารุณ พวกเขาไม่ได้ฆ่าให้ตาย แต่ลงมือทำร้ายให้บาดเจ็บอย่างสาหัสโดยไร้ซึ่งความปรานี

มู่เฉียนซียิ้ม  กล่าวว่า “อืม สมกับที่เป็นผู้ติดตามข้า  ความสามารถสูงเช่นนี้ ต่อไปพวกเจ้าก็ติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่งได้ พวกเจ้ามีประโยชน์มาก ส่วนค่าตัวของพวกเจ้านั้น จะมากมายเพียงใดข้าก็ให้ได้”

คนของหุบเขาหมอเทวดาที่กำลังใช้พลังความแข็งแกร่งต่อสู้กับเหล่าคนที่คิดแย่งผลเก้าอัคคี เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ของมู่เฉียนซี พวกเขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคือง  พวกเขาเป็นถึงศิษย์สำนักนิกายระดับสอง แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับคิดจะใช้เงินซื้อตัวพวกเขาให้เป็นลูกน้อง ฝันไปเถอะ!

“เจ้าเด็กนี่มีตาแต่หามีแววไม่ อยากจะฆ่าให้ตายจริง ๆ”

“ข้าอยากจะฆ่าเจ้าเด็กนี่ให้ตายแล้วทำลายศพทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

พวกเขาจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาทิ่มแทง จิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมานั้นรุนแรงกว่าจิตสังหารที่มีต่อเหล่าผู้คนที่คิดแย่งผลเก้าอัคคีมากนัก

มู่เฉียนซีกำเริบเสิบสานโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนศิษย์สำนักนิกายระดับสองแทบทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ

มู่เฉียนซี “รีบจัดการพวกมันเร็วเข้า เร็ว!”

“พวกมันจะหนีไปหมดแล้ว พวกเจ้ายังไม่ตามพวกมันไปอีกรึ ?”

“พวกเจ้าหูหนวกกันหรืออย่างไร ?”

มู่เฉียนซียโสโอหังยิ่งนัก เมื่อถูกเด็กเมื่อวานซืนแห่งดินแดนเซี่ยโจวอันยากไร้ผู้นี้ชี้นิ้วสั่งให้ทำโน่นทำนี่ คนของหุบเขาหมอเทวดารู้สึกอับอายอย่างที่สุด

พวกเขาลงมือจัดการกับคนเหล่านั้นด้วยโทสะ ด้วยความโหดเหี้ยมทารุณโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าเด็กหนุ่มนัยน์ตาเขียวที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยกำลังยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย

‘คิดจะจัดการกับผู้นำตระกูลอย่างข้า ฝีมือของพวกเจ้ายังห่างชั้นกับข้าอีกไกลนัก!’ ประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี

ความแข็งแกร่งของศิษย์หุบเขาหมอเทวดานี้จัดการกับคนเหล่านั้นได้  ทางสะดวกแล้วที่จะเข้าไปเอาผลเก้าอัคคีมา มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าวอย่างพึงพอใจ “เอาล่ะ พวกเจ้ารีบเด็ดผลเก้าอัคคีทั้งเก้ามาให้ข้าได้แล้ว ข้าอดใจรอไม่ไหวแล้ว ต้องการที่จะเลื่อนขั้นไปเป็นราชาแห่งภูตประเดี๋ยวนี้”

เหล่าศิษย์จากหุบเขาหมอเทวดา พวกเขาลอบนินทาในใจ ‘ต่อให้เลื่อนขั้นเป็นราชาแห่งภูตได้ เจ้าก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์เหมือนเดิมเจ้าเด็กโง่เง่า!’

ร่างสีขาวพุ่งเข้าไป กำลังจะเด็ดผลเก้าอัคคีนั้นมา ทว่าในขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ผลเก้าอัคคี ทันใดนั้นก้อนหินสีแดงราวกับเปลวไฟก็พุ่งใส่พวกเขาอย่างรุนแรง

— ฟึ่บ! —

พวกเขารีบหลบการโจมตีนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก้อนหินที่อยู่บนพื้นดินยังคงโจมตีพุ่งเข้าหาพวกเขา

หลังจากต่อสู้กันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของตัวประหลาดที่โจมตีพวกเขา

ศิษย์พี่สี่ขมวดคิ้วพลางกล่าวอย่างตระหนกตกตื่น “ให้ตายเถอะ! สัตว์หินเพลิงแดง ในเซี่ยโจวมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ด้วยรึ ?”

“มันเป็นสัตว์ฆ่าไม่ตายที่คอยปกป้องผลเก้าอัคคี เราไม่มีทางเอาผลเก้าอัคคีมาได้แน่” ศิษย์น้องผู้หนึ่งของหุบเขาหมอเทวดากล่าวด้วยใจคอห่อเหี่ยว

“หมายความว่า… พวกเราจะต้องสละผลเก้าอัคคีนี้ทิ้งรึ ?”

เป้าหมายในการมาเยือนเกาะอัคคีลึกลับของพวกเขาไม่ใช่เพราะผลเก้าอัคคีนี้  ผลเก้าอัคคีเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น แต่เมื่อพวกเขาบังเอิญมาเจอเข้าแล้วก็ไม่อยากที่จะพลาดผลเก้าอัคคีนี้ไป

มู่เฉียนซี “พวกเจ้าบอกว่าตนเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิมิใช่รึ ? แม้แต่หินประหลาดห่วย ๆ ก็ยังจัดการไม่ได้ พวกเจ้ากำลังกลัวใช่ไหมเล่า ?”

“ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้ติดตามข้า เพราะฉะนั้นพวกเจ้าต้องเอาผลเก้าอัคคีมาให้ได้”

ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งอยู่เหนือผู้อื่นมาโดยตลอดอย่างพวกเขา มาวันนี้กลับถูกเด็กเมื่อวานซืนผู้หนึ่งดูแคลนอย่างหนัก

ไป๋เหรินคิดแค้นขึ้นในใจ เขาบอกกับตนเอง ‘ก่อนจะออกไปจากเกาะอัคคีลึกลับแห่งนี้  มู่ซี! ข้าจะต้องทำให้เจ้าตายทั้งเป็นให้ได้!’

.

.

.