สัตว์หินเพลิงแดงนั้นไม่ได้อ่อนแอ อีกทั้งยังฆ่าไม่ยอมตาย ทว่าจักรพรรดิระดับสูงก็มิใช่ผู้กินมังสวิรัติแต่อย่างใด ดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้อย่างดุเดือดไม่ยอมแพ้กัน
“โฮกกกกก!”
ศัตรูช่างแข็งแกร่งนัก สัตว์หินเพลิงแดงโกรธอย่างที่สุดแล้วในเวลานี้ พวกมันหลายตัวทำให้พื้นดินทั้งผืนสั่นสะเทือนก่อนจะมุดลงไปในใต้ดินนั้น
ศิษย์พี่สี่อึ้งงัน “ใต้พื้นดินของเกาะอัคคีลึกลับแห่งนี้ยังมีอะไรอยู่ข้างใต้อีกรึ ?”
“เกรงว่า…”
ในเมื่อพบความลับของเกาะอัคคีลึกลับแล้ว พวกเขาก็ไม่สนใจผลเก้าอัคคีอีกต่อไป แต่กลับนำพาคนมุดเข้าไปใต้ดินแทน
เมื่อเทียบกับหม้อเทพนิรันดร์ ผลเก้าอัคคีไม่คุ้มค่าแม้แต่จะกล่าวถึงมัน
เหล่ายอดฝีมือจักรพรรดิระดับสูงนั้นจากไปแล้ว เหลือแต่เพียงเจ้าหนุ่ม ‘มู่ซี’ หนุ่มน้อยน้อยผู้อ่อนแอถูกทิ้งไว้ที่นี่เพียงลำพัง
ส่วนกลุ่มคนที่วิ่งหนีไปอย่างลนลานนั้นวิ่งย้อนกลับมา แล้วพบเจอกับมู่เฉียนซีที่ตกหล่นถูกทอดทิ้งอยู่กลางทาง ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่โหดร้ายขึ้นมา
“เจ้าหนู คนพวกนั้นทอดทิ้งเจ้า เจ้าโดดเดี่ยวเช่นนี้ก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว” “เมื่อครู่นี้เจ้ายโสนักไม่ใช่รึ ? ข้าขอดูสักหน่อยว่าเวลานี้เจ้าจะยังยโสอย่างไรได้อีก ?”
— ตูม! —
ในตอนที่พวกเขาลงไม้ลงมือกับมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีนั้นรีบหลบหลีกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
“แม้ว่าเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นเพียงปรมาจารย์ภูตระดับเก้า แต่วรยุทธ์ในการหนีเอาชีวิตรอดนับว่าไม่เลวเลย”
“หนีได้ว่องไวแล้วมีประโยชน์อันใด ? อย่างไรเจ้าก็ต้องตาย” คนเหล่านี้นั้นเป็นพวกที่รังแกผู้อ่อนแอที่กลัวผู้แข็งแกร่งโดยสมบูรณ์ ในตอนที่คนเหล่านั้นของหุบเขาหมอเทวดายังอยู่ พวกเขาวิ่งหนีได้ไวกว่าผู้ใดทั้งหมด แต่มาครานี้คนของหุบเขาหมอเทวดาไม่อยู่แล้ว พวกเขาจึงได้คิดที่จะรังแก ‘มู่ซี’ ที่เป็นเพียงระดับปรมาจารย์ภูตผู้นี้
มู่เฉียนซีเองก็ไม่อยากจะมาสู้ติดพันกับพวกเขา จึงได้มุดเข้าไปใต้ดินจากตรงรอยดินที่แตกระแหงอย่างรวดเร็ว
และนางก็ได้พบ… ใต้พื้นเกาะอัคคีลึกลับแห่งนี้มีบางอย่าง!
“เจ้าหนุ่ม อย่าคิดหนี!”
คนเหล่านั้นไล่ตามไป พวกเขาไม่เพียงแต่อยากจะแก้แค้นมู่เฉียนซี ทว่ายังต้องการไปหาสมบัติที่ใต้ดินอีกด้วย ถึงแม้ว่าเหล่าจักรพรรดิระดับสูงพวกนั้นจะเก่งกาจ ทว่าเรื่องของการหาสมบัติ มิเพียงแต่ต้องใช้ความแข็งแกร่งเท่านั้น เรื่องของโชคชะตาเองก็สำคัญเช่นกัน
มู่เฉียนซีลงมาที่ด้านล่างอย่างปลอดภัย ในนี้นั้นร้อนประหนึ่งเหมือนอยู่ในเตาไฟ ที่ด้านหน้าของนางมีถนนอยู่หลายสาย นางมองตรงไปขณะที่เสียงฝีเท้าที่ตามมาด้านหลังของนางดังขึ้นเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีจึงจำต้องเลือกทางสักเส้นหนึ่งเพื่อไปก่อน จะอย่างไรต่อนางค่อยคิดภายหลัง
ที่แห่งนี้เป็นเขาวงกตใต้ดิน มันช่างซับซ้อนนัก หลังจากที่มู่เฉียนซีได้ทำสัญลักษณ์ไว้แล้ว นางก็วิ่งไปในเขาวงกตแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
คนของหุบเขาหมอเทวดาลงมาที่นี่กันก่อนใคร เมื่อมาก่อน แน่นอนว่านางย่อมไม่รู้ว่าคนพวกนั้นไปถึงที่ไหนกันแล้ว มู่เฉียนซีกำลังค้นหาทางออก ในเขาวงกตที่ซับซ้อนเช่นนี้ นางพบเข้ากับพวกคนที่ตามหานางเพื่อล้างแค้นอีกครั้ง คนเหล่านั้นที่มาเจอนางมีจำนวนไม่มากนัก โดยมีผู้ที่เป็นราชาแห่งภูตระดับสูงหนึ่งคนและผู้ที่เป็นจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งอีกสองคน
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคนของหุบเขาหมอเทวดา ดังนั้นพวกนั้นจึงเกลียดมู่เฉียนซีเข้ากระดูกดำ
พวกเขากล่าวอย่างดุดัน “เจ้าหนุ่ม ดูซิว่าเจ้าจะหนีไปที่ใด ?”
หลังจากที่ด้านหน้าได้ถูกปิดกั้นเอาไว้แล้ว ทางด้านหลังก็มีคนดักไว้อีกสองคน อีกทั้งเส้นทางในเขาวงกตนี้ก็แคบเสียเหลือเกิน ดูเหมือนว่าจะไม่มีหนทางใด ๆ หลงเหลือให้มู่เฉียนซีหนีเลย
มู่เฉียนซี “คนที่ทำร้ายพวกเจ้านั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นพวกเขา เจ้าจะล้างแค้นก็ไปล้างแค้นกับพวกนั้น ข้าบริสุทธิ์พวกเจ้าหัดเบิกตาดูเสียบ้าง!”
“ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าสั่ง พวกเขาก็คงจะไม่ลงมือ เจ้าอย่ามาทำไขสือแกล้งโง่บอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวไปหน่อยเลย”
มู่เฉียนซีหัวเราะเย้ยหยัน “เจ้าเล่นตลกหรืออย่างไร ? ทุกคนนั้นล้วนแต่อยากที่จะได้ผลเก้าอัคคี เช่นนั้นแล้วจะอยู่นิ่งเฉยไม่ลงมือได้รึ ?”
นางแค่เพียงชี้โพรงให้กระรอกเท่านั้น คนพวกนั้นก็กลั้นใจไว้อยู่เป็นนาน แล้วจึงได้โอกาสลงมือหนัก ๆ อย่างไม่ต้องสนภาพลักษณ์ก็เท่านั้นเอง
“ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้พวกเราไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีถอนหายใจ “เฮ้อ… ดูเหมือนว่าวันนี้ข้ากําลังเล่นกับไฟ”
“เจ้าเองก็รู้ดีนี่ว่ากำลังเล่นกับไฟ เช่นนั้นแล้วตอนนี้จงชดใช้กับความโอหังของเจ้าซะ!” พวกเขากล่าวอย่างเย็นชา
พวกเขานั้นได้ตัดสินใจที่จะฆ่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทิ้งเพื่อปิดปาก หากว่าเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้มีชีวิตรอด พวกเขาจะต้องโดนพรรคพวกของเขามาตามฆ่าเป็นแน่
คนพวกนั้นเป็นถึงจักรพรรดิแห่งภูต! มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยอกล้อ “ถึงแม้ว่าข้านั้นเล่นกับไฟ แต่ว่าไฟนั้นไม่อาจจะเผาข้าตายได้ แต่พวกเจ้านั้นได้ตายอย่างแน่นอน”
“เสี่ยวหง อู๋ตี้ ออกมา!”
“อู๋ตี้ผู้ไร้เทียมทานหนึ่งเดียวในใต้หล้า มาแล้ว ข้านั้นอดกลั้นไว้นานมากแล้ว ในที่สุดอู๋ตี้ผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้มีโอกาสลงมือเสียที” อู๋ตี้กระโดดออกมาด้วยความกระตือรือร้น
เปลวเพลิงสีแดงฉานพุ่งออกมา อู๋ตี้ที่ทำตัวโอ้อวดนั้น สำหรับเสี่ยวหงแล้ว มันสบถออกมาเพียงสองคำ “น่าเบื่อ!”
ทุกครั้งที่มันได้ออกมา มักจะต้องมีคำกล่าวนั้นที่เป็นคำกล่าวติดปากของมัน อาการบ้าของเจ้าแมวตัวนี้ไร้ซึ่งหนทางรักษาแล้วจริง ๆ “เจ้าหมูขี้เกียจ เจ้าสิน่าเบื่อ”
ทั้งสามคนนั้น เมื่อได้เห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ก็ถึงกับตะลึงงัน ยิ้มมุมปากก่อนจะกล่าวว่า “สัตว์พันธสัญญารึ! เจ้าหนุ่มนั่นทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวเลยรึ ?”
“มีจำนวนมากแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไร ตัวเล็ก ๆ เช่นนั้น ตบเข้าไปฝ่ามือเดียวก็ตายแล้ว”
ในชั่วพริบตา อู๋ตี้อันตรธานหายไป มันกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเคือง “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถตบใครตายได้ด้วยฝ่ามือเดียวรึ ?”
— ปัง! —
อู๋ตี้ตบเข้าไปทันทีหนึ่งฝ่ามือ ไม่เพียงแค่ตบพลังเข้าใส่ผู้ที่เป็นระดับจักรพรรดิกระเด็นไปเท่านั้น แต่ยังได้ทิ้งรอยกรงเล็บที่เป็นรอยเลือดแผลลึกถึงกระดูกไว้บนร่างของเขาด้วย “อ๊าก!” ชายคนนั้นร้องตะโกนก้อง
“ระดับสาม… สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม พวกเขานั้นคิดที่จะยกขาของตนเองวิ่งหนี แต่เปลวเฟลิงสีแดงจ้าพุ่งเข้ามาล้อมพวกนั้นเอาไว้รอบด้านอย่างหนีไม่พ้น
“พวกเจ้าบอกว่านายท่านของข้านั้นเล่นกับไฟ พวกเจ้าเองก็เล่นไม่ใช่หรืออย่างไร ?! ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ที่นี่ไปก็แล้วกัน” เสี่ยวหงกล่าวอย่างดุดัน
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามอีกแล้ว!” เมื่อเห็นว่าหมูสีแดงตัวน้อยตรงหน้าก็แผ่แรงกดดันของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามออกมา ในตอนนี้พวกเขานั้นอยากจะเป็นลมไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ผู้ที่เป็นเพียงปรมาจารย์ภูตได้ทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถึงสองตัว ล้อกันเล่นหรืออย่างไร ?
เสียทีที่พวกเขานึกว่าเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้น่าจะรังแกได้ง่ายดาย แท้จริงแล้วเขานั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพวกระดับจักรพรรดิเหล่านั้นเสียอีก ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าเด็กหนุ่มนั่นถึงได้ทำตัวยโสนัก เพราะว่าเขานั้นมีเงินและความสามารถมากพอที่จะทำตัวยโสได้
“คุณชายน้อย… ไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเราไม่ได้ตั้งใจ” “พวกเราไม่กล้าหือกับเจ้าอีกแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ข้าดูเหมือนคนที่จะคุยจะตกลงกันง่าย ๆ เช่นนั้นรึ ? เมื่อครู่พวกเจ้าจะฆ่าข้าปิดปากข้า ตัวพวกเจ้าเองไม่ได้คิดเตรียมใจที่จะถูกฆ่าบ้างเลยรึ ?”
จิตสังหารเย็นยะเยือกกวาดผ่านมา พวกเขารู้ทันทีว่าหลังจากอ้อนวอนขอความเมตตาแล้วมันไร้ซึ่งความหวังโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของพวกเขาฉายแววเย็นชาออกมาครู่หนึ่ง
“ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จะสู้ตายกับเจ้า”
“เช่นนั้นก็พอดี กระบี่มังกรเพลิงของข้ากำลังหิวโหยนัก”
ทันใดนั้นมู่เฉียนซียกมือขึ้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า “มังกรเพลิงสังหาร!” — ตูม! ตูม! ตูม! —
เดิมทีพวกเขานั้นถูกคนของหุบเขาหมอเทวดาทำให้บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว และยังต้องมาเจอกับกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อีก นี่มิใช่ความทุกข์ยากธรรมดา ๆ
อู๋ตี้ได้ใช้ความว่องไวในขอบเขตที่เร็วที่สุดเพื่อจัดการกับพวกเขาทั้งสามเสียจนไม่เหลือพลังในการต่อสู้เท่าไรนัก จากนั้นมันยิ้ม กล่าวว่า “นายท่าน จัดการได้เลย”
เสี่ยวหงบ่นขึ้นมาว่า “เจ้าแมวโง่ เจ้าจะไม่เหลือไว้ให้ข้าสักคนเลยหรืออย่างไรเล่า ?”
อู๋ตี้ยิ้ม กล่าวว่า “ใครใช้ให้เจ้าเชื่องช้าเล่า พลังของพวกนั้นมีมากนัก จะรอช้าไม่ได้”
ภายใต้การโจมตีของกระบี่มังกรเพลิง ชีวิตและจิตวิญญาณก็หายไปอย่างสะอาดหมดจดในพริบตา
หลังจากที่ได้กลืนกินบุคคลระดับจักรพรรดิไปสองคน กระบี่มังกรเพลิงพึงพอใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ทว่าความอยากอาหารของมันยังคงแรงกล้าเช่นเดิม
มู่เฉียนซีวิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว เมื่อวนอยู่ในนั้นตั้งนานนมเน ในที่สุดนางก็หาทางออกพบ เมื่อตอนที่นางเดินออกมาจากเขาวงกตนั้น พลันรู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่บิดเบี้ยวไป
“อ๊ากกกก!” เสียงร้องโหยหวนราวกับหัวใจแหลกปอดสลายลอยออกมา
.
.
.