มู่เฉียนซีเห็นคนของหุบเขาหมอเทวดาฆ่าแกงกันเองราวกับเป็นบ้าไป
“ศิษย์พี่สี่ หม้อเทพนิรันดร์เป็นของข้า ใครจะมาแย่งข้าไปไม่ได้ ขอแค่ข้าได้หม้อเทพนิรันดร์นี้มา เช่นนั้นข้าก็จะเป็นเจ้าแห่งหุบเขาหมอเทวดา”
ไป๋เหรินแค่นเสียงเย็นชา “เพียงเพราะเจ้าอยากได้หม้อเทพนิรันดร์น่ะรึ ? เห็นกันอยู่ว่าหม้อเทพนิรันดร์นั้นเป็นของข้า”
— ตูม! ตูม! ตูม! —
การฆ่าฟันกันที่ด้านนี้รุนแรงเป็นพิเศษ มู่เฉียนซีนั้นสามารถมองเห็นพวกเขา ทว่าพวกเขากลับมองไม่เห็นทางที่อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ …เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ในที่ตรงนี้มีอะไรผิดประหลาดไปหรืออย่างไร ?
ชั่วอึดใจนั้นเสมือนว่ามีกลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งลอยเข้ามา กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ ราวกับว่าสามารถก่อให้เกิดความโลภขึ้นในจิตใจของคนได้เลยทีเดียว
มู่เฉียนซีเหมือนจะเห็นเม็ดยาสมุนไพรวิญญาณขนาดใหญ่ ยาระดับปฐพี ยาระดับขั้นสวรรค์ล้วนแต่มีทั้งสิ้น และยังมีหม้ออยู่ใบหนึ่ง …หม้อเทพนิรันดร์!
สิ่งที่นางต้องการนั้นล้วนแต่มาปรากฏอยู่ที่ตรงหน้านาง แต่นางไม่ได้เหมือนคนของหุบเขาหมอเทวดาที่ขาดสติไปเช่นนั้น นางยังคงสงบนิ่ง ดวงตาดำขลับมองดูสิ่งของที่ค่อย ๆ ปรากฏต่อหน้านางและทำให้ใจนางเต้นระรัวทีละชิ้น ๆ
แต่ว่านางจะไม่เข้าไปติดกับอย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงภาพมายา ไม่ใช่ของจริง ภาพมายาเช่นนี้ไม่อาจที่จะควบคุมนางได้
ทันใดนั้นเงาร่างสีดำสนิทปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของนาง มู่เฉียนซีตกตะลึงเล็กน้อย จิ่วเยี่ย!
ภาพลวงตานี้ก็เหลือเกิน ใช่! ยาวิเศษกับหม้อเทพนิรันดร์ล้วนเป็นสิ่งที่นางอยากได้เป็นอย่างมาก ทว่านางไม่ได้สูญสิ้นสติหลงใหลไปกับมัน ครานี้มันจึงส่งบุรุษมาให้
มันได้แสดงภาพสิ่งที่ใจคนผู้มองดูต้องการมากที่สุดออกมา มู่เฉียนซีหลับตาลง กล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ จิ่วเยี่ยอยู่ข้างกายของข้า เจ้าสร้างตัวปลอมออกมาหลอกล่อข้าไม่สำเร็จเป็นแน่” ทันทีที่นางกล่าวจบ ก็ได้มีผู้หนึ่งดึงนางเข้าไปไว้ในอ้อมกอดจากด้านหลัง “อืม ข้านั้นอยู่ข้าง ๆ ซีเสมอ”
มู่เฉียนซีชาชินกับการมาอย่างไร้สุ้มเสียงราวกับผีสางเทวดาของจิ่วเยี่ยไปตั้งนานแล้ว และในครานี้ที่ด้านหลังของนางนั้น คือตัวจริง
“เจ้าสามารถเห็นข้าในภาพมายา แล้วบอกว่าเป็นเพียงตัวปลอมได้ ดีมาก” จิ่วเยี่ยกล่าวชื่นชม
มู่เฉียนซี “บุรุษผู้งดงามเยี่ยงเจ้า ข้าประสงค์จะได้มาเป็นของตนเองจึงใส่ใจดูให้ดี ๆ มีสิ่งใดไม่ถูกต้องด้วยรึ ?”
“ไม่มี ที่เจ้าทำอยู่นี้ถูกต้องอย่างมาก” จิ่วเยี่ยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
เบื้องหน้านาง การต่อสู้แย่งชิงของมีค่าซึ่งเป็นเพียงภาพมายานั้นดุเดือด และเป็นภาพน่าอนาถ มู่เฉียนซีไม่ต้องการจะสนใจมันมากนัก นางพิงโล่มนุษย์น้ำแข็งที่อยู่ด้านหลัง การกระทำของนางดูผ่อนคลายประหนึ่งกำลังดูละครธรรมดา ๆ
“ดอกไม้แห่งความโลภ… ดอกไม้ชนิดนี้กลับมาเบ่งบานในที่เช่นนี้ได้ คนเหล่านี้ของหุบเขาหมอเทวดานั้น โชคไม่ดีเอาเสียเลยนะ” นางเอ่ยขึ้น
เมื่อเจอเข้ากับดอกไม้ที่ชั่วร้ายชนิดนี้ หากจิตใจไม่มั่นคงพอ มัวแต่หลงไหลไปกับภาพมายาที่มันสรรสร้างขึ้นมา ถึงแม้จะเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิก็ได้แต่รอความตายสถานเดียว
สำหรับมู่เฉียนซี นางนั้นได้รู้จักดอกไม้ชนิดนี้จากมรดกของราชาหมื่นพิษ มันไม่มีความเป็นพิษใด แต่กลับร้ายกว่าพิษร้ายยิ่งนัก ทำให้คนไม่สามารถป้องกันมันได้เลย สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย… ความโลภนั้นเป็นบาปติดตัวแต่เดิมมา ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าตนเองนั้นไม่มีสิ่งของที่ทำให้เกิดกิเลสความโลภ
ศิษย์พี่สี่ไป๋เหรินย่อมแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกหุบเขาหมอเทวดา ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างศิษย์ร่วมสำนักในครานี้ เขาจึงเป็นเพียงผู้เดียวที่รอดชีวิตมาได้
“วะฮ่า ๆ ๆ ๆ! หม้อเทพนิรันดร์เป็นของข้าแล้ว ข้านั้นภาคภูมิไปทั้งใต้หล้า ข้าได้กลายเป็นนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดแล้ว” ไป๋เหรินหัวเราะออกมายกใหญ่ เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาจากฤทธิ์ของดอกไม้แห่งความโลภ
ช่างโง่งมนัก! แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าคนผู้นี้ยังมีประโยชน์อยู่ มู่เฉียนซีจะปล่อยให้เขาตายไม่ได้ นางวิ่งผ่านตัวเขา ตามกลิ่นหอมนั้นไปและพบเข้ากับดอกไม้สีแดงบานสะพรั่ง นางเด็ดและโยนดอกไม้นั้นเข้าไปในมิติเก็บของของนางทันที
ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีพิษ แต่ในภายภาคหน้า นางคงจะมีจุดที่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้
— ครืนนนน! —
เวลานั้นเอง การที่ดอกไม้นั้นถูกนางเด็ดออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นในทันใดมันเสมือนกับว่ามู่เฉียนซีได้ไปเปิดกลไกบางอย่างเข้า จากนั้นนางก็ร่วงลงไปที่ด้านล่าง — หวี่! —
ทันทีที่เท้านางสัมผัสพื้นด้านล่าง แมลงที่น่าขยะแขยงจำนวนมากก็พากันบินเข้ามาล้อมนางเอาไว้
— ฟืดดดดด! —
ทว่ามู่เฉียนซีพ่นยาจำนวนมากที่นางเคยปรุงไว้ฆ่าพวกแมลง เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเหล่านี้เข้ามาใกล้
เมื่อเทียบกับความร้อนที่ด้านบนแล้ว ที่นี่แปลกนัก มันเย็นยะเยือกอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในเมื่อที่แห่งนี้ใช้ดอกไม้ชั่วร้ายเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดกลไก เช่นนั้นเกรงว่าสถานที่นี้คงไม่ธรรมดา นางคิดที่จะ…
บุกเข้าไปเลย!
— แกร๊ง! —
แมลงและสิ่งมีพิษแปลกประหลาดมากชนิดโจมตีเข้ามา หากไม่ใช่เพราะยาฉีดสำหรับจัดการแมลงที่นางนำติดตัวมามีเพียงพอ เกรงว่านางคงถูกแมลงมีพิษเหล่านี้ฝังร่างนางไว้ทั้งเป็นตั้งแต่อึดใจแรกที่นางตกลงมาแล้ว มู่เฉียนซีรู้สึกแปลก ๆ “เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นวังใต้ดินที่ดูเป็นธรรมชาติ ทว่าในวังใต้ดินเลี้ยงแมลงไว้มากมายเช่นนี้ไปเพราะเหตุใดกันหนอ ? หรือว่า…”
แมลงพิษหลากชนิดที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เกรงว่า…
แม้ว่านางจะรู้ว่าที่ด้านในนั้นมีสิ่งน่าขยะแขยงอยู่ แต่มู่เฉียนซีก็ยังคงเดินต่อไปเช่นเดิม ในฐานะหมอปีศาจ สำหรับเรื่องพิษ นางมิได้กลัวอะไรมากมายถึงเพียงนั้น
พวกแมลงมีพิษเหล่านี้คิดที่จะโจมตีนางผู้ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอันแตกต่างจากพวกมัน แต่พวกมันกลับไม่สามารถเข้าใกล้ตัวของนางได้ นางจึงเดินแหวกผ่านไปแล้วพบเข้ากับประตูบานหนึ่ง หลังจากผลักประตูเปิดออก มู่เฉียนซีเห็นกระดูกสีขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำตัวหนึ่ง
— จิ๊ด! —
มีเสียงประหลาดหูลอยออกมา แมลงกู่ตัวสีดำปีนออกมาจากดวงตาของโครงกระดูกโครงนั้น จากนั้นก็มีเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังมาจากแมลงกู่ตัวนั้น “ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นเจ้าจะต้องต้านทานฤทธิ์ภาพมายาจากดอกไม้แห่งความโลภได้เป็นแน่ และเจ้าคงจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งมีพิษสิ่งใด เจ้ามีความรอบรู้เรื่องพิษร้ายและพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด”
แน่นอนว่าแมลงกู่ตัวนั้นไม่ได้กำลังสนทนากับนาง แต่เป็นผู้ที่ได้กลายเป็นโครงกระดูกสีขาวนั้นผู้นั้นต่างหากที่ได้เก็บเสียงและเก็บบางสิ่งไว้กับแมลงกู่ก่อนตาย
มู่เฉียนซี “ข้านั้นถนัดใช้พิษ จะเรียกว่าข้าชอบเล่นพิษก็ว่าได้ ทว่าข้าไม่ชอบเล่นแมลงเลยจริง ๆ” “แมลงพิษสามารถปกป้องตนเองได้ และยังสามารถช่วยคนได้ เจ้าถนัดในการใช้พิษ แล้วเหตุใดจึงรังเกียจแมลงพิษรึ ?”
“เพราะกว่าข้าจะมาถึงที่แห่งนี้ ข้าถูกแมลงทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และผู้ที่ใช้แมลงกู่ที่ข้าเคยพบเจอมา ล้วนแต่เอาไปทำร้ายผู้อื่นทั้งนั้น”
“เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจดังออกมา “ช่างเป็นโชคร้ายของนิกายเสียจริง”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “นิกาย! ท่านเป็นคนของนิกายไป๋กู่หรือ ?”
เมื่อครั้งหนึ่งในทวีปเซี่ยโจว นิกายไป๋กู่เป็นที่นิยมไปทั่วหล้าทั่วแดน ได้ยินมาว่าทางนิกายทำเรื่องชั่วช้ามามากมาย สุดท้ายจึงโดนฆ่าล้างทั้งนิกาย
โอวหยางหว่านและมู่หรูเหยียนล้วนเป็นสองสตรีผู้ชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่ของนิกายไป๋กู่ สองสตรีนั้นใช้แมลงกู่ทำเรื่องชั่วร้ายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
และเวลานี้ โอวหยางหว่านหลบหนีไปเพราะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก รอจนเมื่อนางฟื้นตัวแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจจะทำเรื่องอะไรบ้า ๆ เพิ่มอีกก็เป็นได้ มู่เฉียนซีนั้นมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรนักต่อนิกายไป๋กู่
“เมื่อก่อนนั้นนิกายของเราใช้แมลงกู่เพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่ง รวมถึงช่วยเหลือผู้อื่น เราจะไม่ไปทำร้ายผู้อื่นง่าย ๆ หากไม่ถูกยั่วยุก่อน…”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เต็มใจปล่อยมู่เฉียนซีที่เป็นเด็กมีพรสวรรค์เป็นเลิศไป เขาจึงได้เล่าถึงเรื่องราวทางประวัติศาตร์ช่วงหนึ่งของทวีปเซี่ยโจวที่ไม่เคยถูกบันทึกลงในหนังสือให้นางฟัง
ผู้อาวุโสท่านนี้เคยเป็นท่านผู้นำนิกายรุ่นที่สองก่อนที่จะโดนฆ่าล้างทำลายนิกาย เป็นเพราะบุตรชายของตนนั้นมีความทะเยอทะยาน คิดที่จะเป็นใหญ่ในทวีปเซี่ยโจวจึงได้วางแผนลอบสังหารเขา
เขาถูกไล่ฆ่าสังหารมาจนถึงสถานที่แห่งนี้ด้วยอาการบาดเจ็บที่ไม่อาจจะเยียวยาได้ ท้ายที่สุดจึงสร้างวังใต้ดินแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อที่ตนเองจะได้รออัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์มากพอที่จะสามารถรับมรดกของเขาได้โดยตรง
ดอกไม้แห่งความโลภนั้นช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน หลายปีมานี้มีมู่เฉียนซีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเด็ดดอกไม้แห่งความโลภได้อย่างสงบนิ่ง นางไม่ถูกภาพมายาลวงหลอกเอาเลย
บุตรชายของเขานั้นตามหาเขาอย่างบ้าคลั่งไปทุกหนแห่งแต่ก็หาไม่พบ ทว่าเขาที่มีความทะเยอทะยานที่พองโตขึ้นอย่างแรงกล้า ใช้แนวความคิดผิด ๆ ควบคุมนิกายไป๋กู่ สุดท้ายแล้วจึงได้นำพาให้ทั้งนิกายไปสู่ความพินาศ
“พิษของพวกเรานั้นไม้ได้ใช้สำหรับนำไปทำร้ายผู้อื่นเสมอไป พ่อหนุ่ม เจ้าจะยอมรับมรดกต่อจากข้าหรือไม่ ?” ผู้อาวุโสกู่กล่าวถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากเล่นกับแมลง แต่รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ถึงแม้ว่านิกายไป๋กู่จะถูกทำลายลงไปแล้ว ความทะเยอทะยานของพวกเขานั้นก็ยังคงอยู่ ถ้าหากทันทีที่ข้าต้องสู้กับพวกเขา ข้ารู้วิชาพิษกู่ของนิกายไป๋กู่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
“แต่ว่า… ถ้าหากข้าไปสู้กับคนรุ่นหลังของท่าน ท่านจะรังเกียจหรือไม่ ?”
.
.
.