บทที่ 161 ทะลวงผ่านด่าน
ฉัวะ !
ขวานรบเฉือนผ่านเนื้อ โลหิตกระฉูดขึ้นฟ้า
ร่างของอสูรร้ายตัวหนึ่งล้มลงกับพื้น
ซูเฉินเดินเข้ามา เริ่มดูดซับจุดแสงพลังต้นกำเนิดที่ลอยออกมาจากร่างอสูรร้าย
เมื่อพลังต้นกำเนิดจำนวนมากถูกดูดซับเข้าร่าง ซูเฉินก็สัมผัสได้ว่าร่างกายตนกำลังเปลี่ยนแปลงไป
เขารู้สึกว่าพลังต้นกำเนิดในร่างนั้นถึงขีดสุดใกล้จะเอ่อล้นเต็มที
ความรู้สึกนี้หมายความว่าพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของชายหนุ่มมาถึงขั้นสุดของด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว
ถูกต้อง หลังจากทำการล่าสัตว์อสูรอยู่สองวันเต็ม ซูเฉินก็เตรียมการก่อนจะทำการทะลวงขั้นจนเสร็จสิ้น สิ่งต่อไปก็คือการทะลวงผ่านขั้นที่ติดอยู่เท่านั้น
จะทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้ เขาต้องจุดโคมใจตนให้ได้
การจุดโคมใจนั้น คือการขัดเกลาตัวตนและมุ่งรวมพลังต้นกำเนิดในร่าง โคมใจจะได้เริ่มส่องสว่าง ส่องสว่างเห็นใจตน ทั้งยังเห็นวิถีการคุมพลังในร่าง
เมื่อทำสำเร็จแล้ว ร่างกายจะคล้ายกับเกิดใหม่จากอวัยวะภายในสู่ภายนอก เหมือนกับได้ชีวิตใหม่มา
เมื่อมีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังถึงขั้นนี้ อายุขัยจะเพิ่มขึ้น 100 ปี การใช้พลังต้นกำเนิดยังมีประสิทธิภาพและทรงพลังมากขึ้น พลังการฟื้นฟูก็จะมีมากขึ้นเช่นกัน ในอดีตซูเฉินต้องใช้วิชาลับเพื่อทำให้ร่างกายที่ฟื้นฟูช้าสามารถฟื้นฟูได้เร็วขึ้น แต่ตอนนี้หากเขาได้รับบาดเจ็บหนัก ตราบใดร่างกายไม่ขาดครึ่งก็สามารถใช้พลังต้นกำเนิดในการฟื้นฟูร่างกายได้ สุดท้ายคือพลังจากสายเลือดจะแข็งแกร่งขึ้น ทำให้สามารถใช้พลังจากสายเลือดได้เต็มที่มากขึ้น
แท้จริงแล้วความหมายของ ‘ร่างกายและอวัยวะภายในสะอาดบริสุทธิ์’ นั้นหมายถึงการจุดโคมใจนั่นเอง ความเข้าใจในร่างกายตนเองของคนผู้นั้นจะเพิ่มสูงขึ้น สามารถรักษาบาดแผลบนร่างตนเอง แก้ปัญหาไปได้หลายประการ
แต่การทำเรื่องเช่นนี้ได้ไม่ง่าย ต้องเตรียมการหลายอย่าง
โชคดีที่ซูเฉินเตรียมตัวทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตมาเพียงพอ หลังจากดูดซับพลังจนฐานพลังแตะถึงจุดสูงสุด เขาก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาหินโดยไม่เสียเวลาใดอีก
หลังจากมาถึงแล้ว เจียงหานเฟิงก็มาหาเขา “ศิษย์พี่สาม มีอีกสองคนเดินทางมาถึง คือโจวจวินเจียและถังหมิง”
“จวินเจียกับถังหมิงมาถึงแล้วหรือ ? ดีเลย” ซูเฉินเอ่ยน้ำเสียงยินดี
การมาถึงของโจวจวินเจียหมายความว่าสัตว์อสูรเกล็ดม่วงจะได้ใช้การเสียที
การมาถึงของถังหมิงนั้นยิ่งดีกว่า เขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียวใน 40 คนที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร หลายวันมานี้ยังสามารถสังหารเผ่าคนเถื่อนด้วยตัวคนเดียวได้
หากเทียบกันเรื่องความสามารถในการต่อสู้ รองจากหวังโต้วซานตอนยังมีไขมันแล้ว ถังหมิงนับเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่แม้ถังหมิงจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็มีนิสัยเย่อหยิ่ง เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ ดังนั้นเขาจึงได้หมายเลข 7 จนเคืองใจกับเรื่องนี้ไปหลายวัน
นอกจาก 2 คนนี้แล้ว 2-3 วันมานี้ยังมีคนมาเพิ่มอีก 4 คน เป็นศิษย์ชั้นปีที่ 10 เย่ฉีมิ่ง อันดับที่ 4 และอวี๋เมิ่งหนาน อันดับที่ 15 และศิษย์ชั้นปีที่ 9 เหอนิ่วหลิวและต้วนเจียงซาน อันดับที่ 25 และ 26 ตามลำดับ เหอนิ่วหลิวและต้วนเจียงซานนั้นคล้ายกับถังหมิง แข็งแกร่งพอตัวแต่นิสัยเสีย เหอนิ่วหลิวมีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ชอบมีความรับผิดชอบในมือ ต้วนเจียงซานเจ้ากี้เจ้าการทั้งยังเย่อหยิ่ง ชอบสร้างปัญหา ดังนั้นจึงได้หมายเลขศิษย์อยู่ในอันดับยี่สิบกว่า ๆ ไป
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ประหลาดใจยามเจียงหานเฟิงเอ่ยบอก “ถังหมิง เหอนิ่วหลิว และต้วนเจียงซานมีเรื่องกันแล้ว”
อย่างไรชีเว่ยเยี่ยนก็รับผิดชอบเรื่องภายใน หากจะมีใครที่ต้องปวดหัวคงต้องเป็นนาง
ซูเฉินรู้สึกว่าตนโชคดีนักที่ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องคน
คนมาก ปัญหายิ่งมาก
หลากหลายคนย่อมมีหลากหลายนิสัย หลากหลายจิตใจ ทำให้ทุกคนสามัคคีกลมเกลียวไม่ใช่งานง่าย ต้องใช้กลยุทธ์หลากหลาย อีกทั้งต้องมีความอดทนสูง
ซูเฉินมีกลยุทธ์หลากหลาย แต่เขามีความอดทนไม่สูงนัก
ด้วยเรื่องเวลานั้นสำคัญยิ่ง !
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดใส่ใจ เพียงแต่เอ่ยขึ้นว่า “คนมาเพิ่มอีก 6 คนเช่นนี้ รวมกับพวกที่ตายแล้วอย่าง จั่วหนิง เฉี่ยนฝู เมิ่งซื่อ เหวินเต๋อ และจ้าวซินที่ยังไม่กลับมา คนที่เรายังไม่ได้ข่าวคราวเลยคือ จ้าวเจ๋อชิน โจวตงไหล และหลี่ไป๋อวี่”
“จวินเจียแจ้งว่าหมายเลข 30 เสียชีวิตแล้ว” เจียงหานเฟิงถอนหายใจ
หมายเลข 30 คือโจวตงไหล หนึ่งในศิษย์ชั้นปีที่ 9
คนตายเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว
ซูเฉินถอนใจเช่นกัน
จริง ๆ แล้วเขาก็เข้าใจดีกว่าหากหายไปในซากโบราณนานเกินไปแล้วคนอื่น ๆ ไม่อาจติดต่อได้ คนเหล่านั้นย่อมมีโอกาสรอดน้อยมาก
ซูเฉินหยุดคิดถึงเรื่องนี้ จากนั้นเอ่ยถาม “แล้วสร้างกลุ่มใหม่หรือยัง ?”
“เป็นเรื่องนี้ที่พวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่ เหอนิ่วหลิวกับต้วนเจียงซานไม่อยากแยกกัน เย่ฉีมิ่งกับอวี๋เมิ่งหนานก็ไม่อยากแยก รวมทั้ง ถังหมิงกับโจวจวินเจียก็ไม่อยากถูกจับแยกเช่นกัน แต่คนมี 6 คน หากต้องแบ่งกลุ่มละ 3 คน อย่างไรก็ต้องแยกกัน ไม่มีใครยอมใคร ดังนั้น ถังหมิงและคนอื่น ๆ จึงเริ่มต่อสู้กัน เว่ยเยี่ยนกำลังพยายามเจรจาอยู่ ในเมื่อท่านกลับมาแล้วข้าจึงมาขอความช่วยเหลือ”
ซูเฉินได้ยินแล้วเขาก็หันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่ธุระของข้า”
หากแต่เขาไม่แปลกใจนัก อวี๋เมิ่งหนานกับโจวจวินเจียเป็นแม่นางทั้งคู่ เข้าใจได้ว่าไม่อยากแยกกับผู้คุ้มครองตน แต่เหอนิ่วหลิวและต้วนเจียงซาน สองคนนี้มีเหตุผลอันใดจึงไม่อยากแยกจากกัน ?
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาสะท้านไปทั้งร่าง ซึ่งการที่เขามีความคิดเช่นนี้ มันก็ดูท่าคงจะเป็นเพราะตื่นเต้นกับการทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตมากกระมัง
เขารีบเดินเข้าห้องทดลองของตน จากนั้นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากขึ้น “ข้าจะปิดประตูเหล่านี้สักครึ่งวัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามให้คนอื่น ๆ มารบกวนข้าเด็ดขาด”
พูดจบเขาก็เดินเข้าไป ก่อนจะผนึกทางเข้าไว้
เมื่อเข้าห้องมาแล้ว ซูเฉินก็หยิบวัตถุดิบออกมาแล้วเริ่มปรุงยา เขาเตรียมวัตถุดิบเหล่านี้มานานแล้ว มันเพียงนอนรอวันรอใช้เท่านั้น
หลังจากปรุงยาเสร็จแล้ว เขาก็เตรียมการขั้นสุดท้าย นั่นก็คือการใช้วิธีในตำราเปิดพลังไคฮวง
คนส่วนมากใช้ตำราเปิดพลังไคฮวงแล้ว มีโอกาสเพียง 4 ใน 10 ส่วนที่จะทำสำเร็จ แต่ผู้สร้างตำราเปิดพลังไคฮวงย่อมมีโอกาสทำสำเร็จมากกว่า ซูเฉินลองประมาณแล้วจึงพบว่าเขามีโอกาสสำเร็จ 8 ใน 10 ส่วน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีโอกาสที่เขาจะทำไม่สำเร็จอยู่ดี
หากทำไม่สำเร็จ ที่เตรียมการมาทุกอย่างก็จะไร้ค่าไปในทันที อีกทั้งเขายังต้องรอเวลาอีกครึ่งปีจึงจะสามารถทะลวงด่านครั้งต่อไปได้
ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อยเป็นค่อยไป ไม่พลาดแม้สักเล็กน้อย
ภายในห้องศิลา ซูเฉินเริ่มตั้งสมาธิอยู่กับการทะลวงด่าน
ส่วนภายนอกห้องศิลา ถังหมิงกับต้วนเจียงซานก็ยังถกเถียงกันไม่หยุด
“ถังหมิง อย่าคิดว่ามีสายเลือดจักรพรรดิอสูรแล้วจะมาดูถูกข้าได้ ต้วนเจียงซานอะไรนั่นข้าไม่สนหรอก”
“สายเลือดจักรพรรดิอสูรของข้านั้นพิเศษกว่าใคร หากเจ้าเก่งกล้านักก็เป็นจักรพรรดิอสูรกายให้ได้สิ ! ยามราชันประจันกับจักรพรรดิ ราชันยังต้องก้มหัวให้ แม้เจ้าจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ทำอันใดไม่ได้ อย่างไรหมายเลขศิษย์ข้าก็สูงกว่าเจ้า อีกทั้งข้ายังแข็งแกร่งกว่าเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องฟังคำข้า”
“หึ เช่นนั้นกับโจวจวินเจียข้าก็แข็งแกร่งกว่าและมีหมายเลขศิษย์สูงกว่าเช่นกันด้วยกระมัง ?”
“คนแซ่ต้วน อย่านำสตรีเข้ามาพัวพัน !”
“เช่นนั้นข้าก็จะทำ หากเจ้าใช้หมายเลขศิษย์กดดันข้า ข้าก็จะใช้วิธีเดียวกับเจ้ากดดันนาง”
“เช่นนั้นข้าจะใช้กำลัง คนแซ่ต้วน เจ้าอย่าโทษที่ข้ารังแกเจ้า แต่หากเจ้าหาคนที่แกร่งกว่าข้ามาได้ข้าจึงจะยอมฟังเจ้า !”
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายใกล้จะปะทะกันอยู่รอมร่อ ถ้ำหินที่อยู่ไม่ไกลก็พลันสั่นสะเทือนโดยแรง
แสงสีเลือดวาบผ่านออกจากรอยทางเข้า แผ่กลิ่นอายไร้ขอบเขตออกมาจนทั่ว
“นั่นมันห้องทดลองของซูเฉินไม่ใช่หรือ ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
ทุกคนทั้งตกใจและแปลกใจ
ชีเว่ยเยี่ยนเผยสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นภาพฉากนั้น “เหตุใดจึงคล้ายกับว่า…… มีคนกำลังทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตเล่า ?”
“กำลังทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตหรือ ?” ได้ยินคำนางแล้วทุกคนก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
ชีเว่ยเยี่ยนดูลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนพยักหน้า “ข้าเคยเห็นศิษย์ทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตมาก่อน เกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกันกับเมื่อครู่ แต่มันไม่น่าจะ…… เป็นไปได้กระมัง”
ด้วยนางอยู่ในสถาบันมาถึง 10 ปี ชีเว่ยเยี่ยนจึงได้เห็นคนที่บ่มเพาะพลังได้รวดเร็ว จากนั้นทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตกับตามาก่อน นางจึงไม่ได้ตกใจมากนัก
แต่นางไม่รู้ว่าซูเฉินทำอย่างไรจึงสามารถทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้
หรือนางจะมองผิดไป ?
ชีเว่ยเยี่ยนยังคงสับสนมึนงง พลันได้ยินเสียงระเบิดมาจากห้องศิลานั่น
แสงสีแดงส่องสว่างพุ่งขึ้นฟ้าไปราวกับสายรุ้ง มันเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่ามีคนทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้แล้ว
ไม่นาน ซูเฉินก็เดินออกจากถ้ำมาอย่างผ่าเผย ผิวกายมันวาวขาวผ่อง คล้ายกับจะล่องหนได้ ที่หว่างคิ้วมีรอยสีแดง แสดงให้เห็นว่าเขาจุดโคมใจได้สำเร็จ มันเป็นรอยที่หมายถึงพลังจากโคมใจ เป็นเครื่องหมายของคนที่เพิ่งก้าวสู่ด่านกลั่นโลหิต
ซูเฉินทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตแล้วจริง ๆ!
เป็นไปได้อย่างไร ?
ทุกคนตรงนั้นพากันตะลึงงันไป
ต้วนเจียงซานหันไปหาถังหมิง “เมื่อครู่เจ้าว่าไว้อย่างไร ?”