บทที่ 162 ประมือ
ซูเฉินรู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขายืนอยู่บดยอดเขาแล้วมองไปยังพื้นที่โดยรอบกาย
ความรู้สึกดีนี้ไม่ใช่เพียงความยินดีจากการที่เขาสามารถเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของตนได้เท่านั้น แต่ร่างกายของเขาและประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาก็รู้สึกแตกต่างไปจากเดิมมากด้วยเช่นกัน
หลังจากมีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายเบาบางกว่าแต่ก่อน รู้สึกจิตใจตนกระจ่างขึ้น อีกทั้งยังสามารถควบคุมพลังในร่างได้คล่องแคล่วมากกว่าเดิม
ตอนนี้ความแข็งแกร่งเขาอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมาย แต่ความสามารถในการคุมพลังในร่างนั้นเพิ่มขึ้นสูงมาก ทั้งยังเข้าใจในพลังต้นกำเนิดมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้คือประโยชน์จากการทะลวงสู่ขั้นพลังที่สูงขึ้น ไม่เพียงแต่เพิ่มความสามารถในการต่อสู้ แต่ยังเสริมแก่นพลังของร่างกาย เป็นพื้นฐานที่ทำให้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งและความสามารถในการต่อสู้ได้
ตอนนี้หากซูเฉินคิดใช้ระเบิดเหยี่ยวเพลิง เขาก็จะสามารถใช้มันได้รวดเร็วขึ้น เดิมทีใช้เวลาหนึ่งลมหายใจในการสร้าง ตอนนี้ก็ใช้เพียงครึ่งลมหายใจเท่านั้น ทั้งพลังระเบิดยังรุนแรงมากขึ้น ด้วยเขาสามารถบีบอัดพลังต้นกำเนิดให้ทรงพลังได้มากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้จำนวนปราณโลหิตที่ร่างกายของเขาสามารถกักเก็บไว้ยังมีมากขึ้น ดังนั้นการสว่านทะลวงเกราะของเขาจึงไม่สร้างภาระหนักหน่วงให้ร่างกายมากเท่าแต่ก่อน
แต่ก่อนเขาใช้สว่านทะลวงเกราะครั้งหนึ่งก็จะรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้หลายครั้งติดต่อกันโดยไร้ผลข้างเคียงใดที่ร้ายแรงได้
ผลเหล่านี้เป็นเพราะเข้าทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิต ผลก็คือความแข็งแกร่งของซูเฉินเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และในตอนที่เขากำลังคิดจะชื่นชมและยินดีความรู้สึกนี้อีกสักหน่อย ก็ปรากฏกลุ่มคนที่รายล้อมกันเข้ามา
“ซูเฉิน ซูเฉิน !” ชีเว่ยเยี่ยนเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามา “เจ้าทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตสำเร็จหรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “ถูกต้อง ดูท่าข้าจะไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้จากสายตาเฉียบคมของศิษย์พี่หญิงชีได้”
ปิดบังบ้านเจ้าสิ !
เจ้าสะเทือนเขาไปทั้งลูกเช่นนี้ คิดว่าพวกข้าตาบอดหรือ ?
ชีเว่ยเยี่ยนตวัดสายตามองเขา “เจ้าทำได้อย่างไร ? จู่ ๆ เหตุใดจึงสามารถทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้เล่า ?”
ซูเฉินเอ่ยคำตอบที่ตนเตรียมคิดไว้นานแล้วออกมา “อ้อ หลายวันมานี้ข้าอยู่ในป่าไม่ใช่หรือ ? ข้าเผลอกินผลไม้ไปลูกหนึ่ง ไม่คิดว่าหลังจากกินมันเข้าไปพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของข้าจะพุ่งสูงขึ้นจนแทบถึงขั้นสูงสุด ข้าก็เลยคิดว่าน่าจะลองทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตดูสักหน่อย แล้วข้าก็ดันทำสำเร็จ”
เจ้าคิดจะหลอกกันหรือ !
ทุกคนกลอกตาใส่เขา
แท้จริงก็ยังมีผลไม้ที่สามารถเพิ่มพลังต้นกำเนิดอยู่ แต่มันเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งนัก เหตุใดเจ้าจึงไปเจอมันได้ง่ายถึงเพียงนั้น ?
แล้วหลังจากกินไปผลหนึ่ง พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเจ้าก็พุ่งถึงขีดสุดของด่านก่อเกิดลมปราณเลยหรือ ?
เช่นนั้นจะทำให้ร่างเจ้าระเบิดเสียมากกว่า !
พลังต้นกำเนิดที่อยู่ในสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมีมากมายมหาศาลมาก จะกินเข้าไปเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ? ต่างต้องนำมากลั่นเป็นยาที่สามารถเพิ่มพลังต้นกำเนิดได้ก่อนจึงจะนำมาใช้ได้
หากไม่ใช่คนที่รู้เรื่องนี้ก็อาจพอเข้าใจได้ แต่ในฐานะนักปรุงยา เจ้าหยิบผลไม้ที่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใดขึ้นมากินโดยไม่พินิจพิเคราะห์ก่อนได้อย่างไรกัน ?
ขอล่ะ หากคิดจะโกหก อย่างน้อยก็ทำให้น่าเชื่อถือหน่อยได้หรือไม่ ?
ซูเฉินไม่ใส่ใจกับการกลอกตาของผู้คน เขาเพียงโบกมือแล้วเอ่ยขึ้น “จะเชื่อหรือไม่เรื่องราวก็เป็นไปเช่นนั้น ข้าเพียงโชคดีไปเจอมัน พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของข้าจึงเพิ่มขึ้น เท่านั้นล่ะ มีใครไม่เคยมีโชคเจอของดีบ้างเล่า ? อีกทั้งเรามาที่นี่ก็เพื่อหาสมบัติอยู่แล้ว ขออภัยด้วยที่ข้ากินผลไม้นั่นเข้าไปแล้วจึงเป็นข้าได้ประโยชน์อยู่ผู้เดียว พวกเจ้าไม่ตราหน้าข้าว่าเห็นแก่ตัวข้าก็พอใจแล้ว”
ชีเว่ยเยี่ยนเห็นท่าทางเขาแล้วก็รู้สึกโกรธเคืองอยู่บ้าง แต่เมื่อลองคิดดูแล้วนางก็รู้ว่าเขาพูดถูก
พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินพุ่งสูงขึ้นในฉับพลันเช่นนี้ คงจะโชคช่วยเจอสมบัติล้ำค่าเข้าเป็นแน่ รู้เพียงเท่านี้แล้วยังจะต้องรู้เหตุการณ์อันใดอีก ?
อย่างที่เขาว่า ทุกคนมาที่นี่เพื่อหาสมบัติกันทั้งสิ้น
หากจะพบเจอสมบัติได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแต่ละคนทั้งสิ้น
สิ่งใดที่ใช้ได้เลยก็นำมาใช้เลยจะดีที่สุด แม้แผ่นดินหลงซางจะไม่ได้เอ่ยไว้ แต่ทุกคนก็รู้กันดีว่าพวกตนต่างยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อได้ผลตอบแทนกันทั้งสิ้น ส่วนของที่ไม่อาจนำมาใช้ได้เลยจะถูกนำกลับ และนับเป็นผลงานของคนผู้นั้น
รู้เช่นนี้แล้วก็ไม่มีใครถามคำถามให้มากความอีก เพียงแต่เดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเขาเท่านั้น
มีเพียงถังหมิงที่ยืนหน้าเคร่งอยู่ด้านข้าง
ซูเฉินเห็นถังหมิงจ้องเขาด้วยสายตาขื่นแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง “ข้าทำสิ่งใดล่วงเกินเขาไปหรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ต้วนเจียงซานจึงเอ่ยเรื่องที่เขาถกเถียงกันเมื่อก่อนหน้าให้ซูเฉินฟัง
ซูเฉินได้ยินแล้วพลันคลี่ยิ้ม “ข้าก็นึกว่ามีเรื่องอันใด พวกเจ้านี่ว่ายากจริง ! ในเมื่อไม่อยากแยกกันก็รอกลุ่มย่อยอื่น ๆ กลับมาแล้วตั้งกลุ่มกันใหม่เสีย เช่นนั้นก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ?”
กลุ่มคนตรงนั้นจึงยืนมองหน้ากันไปมา
ใช่แล้ว !
เหตุใดจึงคิดไม่ได้กัน ?
ต้วนเจียงซานคำรามต่ำขึ้น “เจ้าหนู โชคดีที่เจ้าได้ซูเฉินมาช่วยพูดให้ ไม่เช่นนั้นข้าจะแยกพวกเจ้าออกจากกันจริง ๆ แน่”
ซูเฉินกำลังคิดจะเข้าไปหยุดยั้ง แต่ถังหมิงกลับเดินเข้ามาก่อน “ซูเฉิน เจ้าไม่ต้องพูดแทนข้า แม้เจ้าจะมีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าแข็งแกร่งที่สุด ข้าอยากประลองกับเจ้าเพื่อดูว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน !”
ซูเฉิน “……”
เขาหันไปมองชีเว่ยเยี่ยนที่รีบรุดเขามาเกลี้ยกล่อมถังหมิงเหมือนมารดาปลอบโยนลูกน้อยที่ดื้อรั้น
ส่วนต้วนเจียงซานที่เห็นถังหมิงเดินจากไป เขาก็อดพูดเสริมขึ้นไม่ได้ “ก็แค่สายเลือดจักรพรรดิอสูร ต้องวางท่าเช่นนี้เลยหรือ ? นิสัยแย่ยิ่ง หากข้าไม่รู้ก็คงคิดว่าเขามีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลไปแล้ว”
ซูเฉินหัวเราะก่อนตบไหล่เขา “เอาเถอะ หากแข็งแกร่งแล้วจะเย่อหยิ่งบ้างไม่ได้เลยหรือ ? อวิ๋นเป้ายังปากเสียยิ่งกว่าเขาอีกไม่ใช่หรือไร ? แต่ก็ยังได้อันดับ 12 มาเลยนะ”
คนอื่น ๆ “……”
อวิ๋นเป้าที่ออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบพลันรู้สึกหนังตากระตุก ยกมือขึ้นถูตาตนเบา ๆ ทำให้กู่ชิงลั่วถามเขาว่าเป็นอะไร ก่อนเขาตอบเพียงว่า “เปล่า ข้ารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเฉย ๆ”
————————————
เรื่องที่ซูเฉินทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตเริ่มแพร่ออกไปเมื่อกลุ่มคนเริ่มกลับเข้ามาที่ฐานทัพ ยิ่งทำให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นว่าจะสามารถทำภารกิจได้สำเร็จ
อีกด้านหนึ่ง วัตถุดิบที่ซูเฉินจำเป็นต้องใช้ก็ค่อย ๆ ได้รับการจัดระเบียบระบบ ยาล้ำค่ามากมายค่อย ๆ ถูกผลิดออกมาจากห้องทดลองของซูเฉิน และเมื่อแจกจ่ายยาออกไปก็จะช่วยให้มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น
แต่ถึงกระนั้นข่าวคราวการได้รับบาดเจ็บก็ยังมีมาไม่หยุด
ในทุก ๆ วัน จะมีกลุ่มที่พบกับเผ่าคนเถื่อนและทำการต่อสู้กัน ดังนั้นจึงมีคนบาดเจ็บอยู่ตลอด
ส่วนมากทุกคนจะกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ก็มีคนที่ไม่อาจหนีทันเวลาด้วยเช่นกัน
วันที่ 8 ในซากโบราณ ซูเฉินก็ได้รับข่าวหนึ่ง หลี่อวิ๋นพ่ายแพ้ไป
เขา หวังเสวียนอัน และสุ่ยตงเผชิญหน้าเข้ากับเผ่าคนเถื่อน จากนั้นเขาก็ถูกสังหารในการต่อสู้
ในวันที่ 9 ฉู่อันยี่บาดเจ็บสาหัสกลับมา
เขาไปพบกับตานปาเข้า
หากไม่ได้ฟ่านหรูจื่อและสือเจียงป๋อเสี่ยงชีวิตช่วยไว้เขาก็คงตายไปแล้ว
ซูเฉินพยายามช่วยชีวิตเขาอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้
ตอนนี้ฉู่อันยี่คือคนที่มีหมายเลขศิษย์สูงที่สุดในหมู่คนที่สังเวยชีวิตไปในซากโบราณ
แต่ก็ยังพอมีข่าวดีบ้าง
ในหลายวันที่ผ่านมานี้ มีเผ่าคนเถื่อน 2 คนที่ถูกมนุษย์สังหาร
ตอนนี้มีมนุษย์ 7 คนตายในการต่อสู้ อีก 2 คนยังไม่รู้ข้อมูลแน่ชัด และมีเผ่าคนเถื่อน 7 คนถูกสังหาร หนึ่งในนั้นเป็นนักรบอาราม
จนถึงตอนนี้ การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปะทะกันในกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น เหมือนเป็นการประมือกันก่อนจะเริ่มสงครามจริงเสียมากกว่า
แต่ดูจากข้อมูลข่าวสารที่เข้ามาในช่วงนี้แล้ว พวกเผ่าคนเถื่อนคงจะกำลังรวมตัวกันแล้วเป็นแน่ แม้จะช้ากว่ามนุษย์แต่ก็เริ่มรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่แล้ว
และแล้ววันหนึ่ง เฮ่ออวิ๋นตงกับกลุ่มย่อย 4 คนก็ได้กลับมาจากภูเขาสูงทางเหนือ
ด้วยพวกเขาทำการสำรวจขั้นต้นบนเขาสูงลูกนั้นเรียบร้อยแล้ว