สิ้นสุดการแข่งในสนามแรกไม่เกิดปัญหาใดๆ ขึ้น องค์หญิงอันผิงพ่ายแพ้ ผู้ที่ชนะคือซีหลิงเหยาหวา
ผู้ชนะในครั้งแรกได้เปรียบ ซีหลิงเหยาหวาทำสีหน้าหยิ่งผยอง องค์หญิงอันผิงแม้จะอึดอัดใจแต่ท่าทางอันสง่างามของนางก็ยังคงสง่างามดังเดิม เฟิ่งชิงเฉินแอบเงยหน้าขึ้นมองพบพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิดูมืดมนเล็กน้อย
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ได้ยินมาว่าสตรีในหนานหลิงมีความชำนาญด้านการขี่ม้าและยิงธนู องค์หญิงเหยาหวามีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋นเป็นจริงดังนั้น” เมื่อองค์จักรพรรดิทรงกล่าวชื่นชม คนอื่นๆ ก็พากันคล้อยตาม แต่ความจริงใจมีเท่าไหร่นั้นทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ
“มิใช่เพราะเหยาหวาหรอกเพคะ ม้าตัวนี้มีฝีเท้าว่องไวและประกอบกับองค์หญิงอันผิงอ่อนข้อให้” องค์หญิงเหยาหวาไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่ายๆ องค์จักรพรรดิกล่าวว่าทักษะการขี่ม้าของนางดี นางก็ยืนกรานจะบอกว่าเป็นเพราะม้าของนางดีต่างหาก
แม้ฝ่าบาทจะดูไม่ดีใจเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ดีหากจะไปต่อปากต่อคำกับสตรีน้อยผู้นี้ ยังมีการแข่งขันอีกสองสนาม ใครจะเป็นเช่นไรยังไม่รู้
การแข่งขันสนามที่สอง กังฟูบนหลังม้า
ม้าที่ใช้ขี่ยังคงเป็นตัวเดิม ทั้งสามเปลี่ยนเป็นชุดเกราะแล้วถือดาบเอาไว้ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า เดิมทีชุดของทหารม้าก็ทำให้รู้สึกสง่างามและโดดเด่น เมื่อชุดเกราะถูกสวมเข้าไปทำให้องค์หญิงทั้งสามดูมีรังสีแข็งแกร่งมากขึ้น
ท่ามกลางสนามแข่งม้า ทั้งสามยืนอยู่อย่างสง่างาม ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือก่อนทำให้เกิดความรู้สึกกดดันในสนามแข่งขันขึ้น ผู้คนรอบข้างไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อทั้งสามคน
บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินจึงเข้าใจว่าเหตุใดซูหว่านและเหยาหวา จึงได้กล่าวกับองค์จักรพรรดิว่าให้นางเดินทางมาด้วยเนื่องจากการแข่งขัน กังฟูบนหลังม้าเช่นนี้บาดเจ็บค่อนข้างง่าย
“ย่ะ!” ซูหว่านส่งเสียงออกมา จากนั้นควบม้ามุ่งตงไป นางหันมาส่งสายตากับเหยาหวา แววตาของเฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างไว นางไม่พลาดการสื่อสารด้วยสายตาของสตรีทั้งสองเมื่อครู่นี้……
องค์หญิงอันผิงแย่แล้ว!
หากว่าองค์หญิงอันผิงเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้น คาดว่าเฟิ่งชิงเฉินก็คงจะไม่มีสภาพต่างกัน สตรีสองคนนี้หาเหตุผลที่ค่อนข้างจอมปลอม พวกนางบีบบังคับให้นางปรากฏตัวที่นี่ แล้วในการแข่งขันสนามที่สาม……
นางก็ว่าอยู่ สตรีสามคนแข่งม้ากันจะเรียกให้นางมาด้วยทำไม? ที่แท้ซูหว่านและเหยาหวามีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจนั่นเอง
เป็นไปตามที่เฟิ่งชิงเฉินคาดเดาเอาไว้ ซูหว่านและเหยาหวาไม่ไว้หน้าตงหลิงแม้แต่น้อย เพียงแค่การโจมตีไปมาอยู่สิบรอบก็ทำให้องค์หญิงอันผิงพ่ายแพ้ ไม่เพียงเท่านั้นทั้งสองคนยังทำในสิ่งเกินเหตุด้วยการบีบบังคับให้องค์หญิงอันผิงตกจากม้า
“องค์หญิงตกม้า!” ขันทีตะโกนออกมาเสียงแหลมด้วยความตกใจ จากนั้นก็มีนางในเข้าไปที่สนามพยุงองค์หญิงอันผิงขึ้นมา
แม้จะมีชุดเกราะคอยป้องกันตัวเอาไว้ แต่การตกลงมาจากหลังม้าขององค์หญิงอันผิงไม่ใช่เบาๆ ทำให้นางสลบไปในทันที
“รีบไปตามหมอหลวงมารักษาเร็วเข้า” การพ่ายแพ้ติดต่อกันอยู่ถึงสองสนามและสนามสุดท้ายนี้ยังพ่ายแพ้เสียจนไม่น่ามอง ต่อให้องค์จักรพรรดิพยายามระงับสติเอาไว้ ก็ไม่อาจอดทนต่อความโมโหได้เช่นกัน
องค์จักรพรรดิโมโหที่หนานหลิงและซีหลิงรังแกกันเช่นนี้ และยิ่งโมโหที่องค์หญิงอันผิงไร้ความสามารถ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันจะไปดูหน่อย” จักรพรรดินีกังวลเรื่องของความปลอดภัยขององค์หญิง และยังกังวลเรื่องการแข่งขันในสนามต่อไป สภาพขององค์หญิงอันผิงในตอนนี้ ความเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะ แต่หากไม่เข้าร่วมแข่งขันก็คงจะขายหน้า เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปแล้วผู้คนคงจะกล่าวว่าตงหลิงเป็นพวกขี้แพ้
และที่จริงแล้ว ตงหลิงจะยอมแพ้เช่นนี้ถึงสามสนามติดกันไม่ได้
“ไปเถิด อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง” ขณะเดียวกันเมื่อมองไปยังซูหว่านและเหยาหวา สตรีสองนางนั้นต่อสู้กันบนหลังม้าอย่างสง่า เมื่อหันมามองดูองค์หญิงอันผิงผู้ไร้ความสามารถ องค์จักรพรรดิก็ยิ่งพิโรธ
ตงหลิงจื่อลั่วเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บ ใบหน้าของเขายังคงอ่อนแอ เมื่อเหลือบมองไปยังองค์จักรพรรดิและพบว่าองค์จักรพรรดิไม่ได้สนใจมองตนอยู่ จึงได้แอบออกมาจากที่นั่ง
“หมอหลวง องค์หญิงเป็นเช่นไรบ้าง?” ที่จริงแล้วหากจะกล่าวว่าจักรพรรดินีเป็นกังวลความปลอดภัยขององค์หญิงอันผิง สู้กล่าวว่านางกังวลถึงการแข่งขันในสนามต่อไปยังจะเหมาะสมกว่า
หมอหลวงเข้าใจดีถึงความหมายของจักรพรรดินี “ทูลเหนียงเหนียง องค์หญิงได้รับบาดเจ็บที่เอว หากยังคงเข้าแข่งขันต่อเกรงว่าจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายยิ่งนัก” นั่นหมายความว่าการแข่งขันในสนามหน้าคงจะต้องพ่ายแพ้
“ข้าออกคำสั่งให้พวกเจ้ารักษาองค์หญิงอันผิงให้ได้ในเวลาน้อยที่สุด และให้นางทำการแข่งขันต่อ” เนื่องจากบัดนี้ให้แพ้มาถึงสองสนาม ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรในสนามที่สามจะยอมพ่ายแพ้ไม่ได้ และจะไม่เข้าร่วมแข่งขันไม่ได้เด็ดขาด
“พ่ะย่ะค่ะเหนียงเหนียง” หมอหลวงทำท่าทางกระอึกกระอัก หลังจากที่พวกเขาปรึกษาหารือกันแล้วก็เริ่มฝังเข็มให้องค์หญิงอันผิง เพียงแค่ให้องค์หญิงอันผิงฟื้นขึ้นมาก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นไม่มีเวลามาใส่ใจ
“เสด็จแม่ น้องมีอาการเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้นางเข้าแข่งขันก็ไม่มีโอกาสชนะหรอก ทักษะการขี่ม้าของซูหว่านและเหยาหวาดีกว่านางมากนัก” ตงหลิงจื่อลั่วเดินตงเข้ามาโน้มน้าวใจ
เดิมทีตงหลิงจื่อลั่วไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ก็ยังพอ แต่เมื่อกล่าวถึงขึ้นมาก็ทำให้จักรพรรดินีโมโห นางไม่สนใจว่าจะมีหมอหลวงอยู่ที่นั่นหรือไม่ นางโมโหจนตะโกนขึ้นว่า “ซีหลิงเหยาหวา ลั่วเอ๋อร์ สตรีที่เจ้าชื่นชอบนั้นกล้าจะร่วมมือกับคนภายนอกมาจัดการน้องสาวเจ้า ลั่วเอ๋อร์ องค์หญิงที่ในหัวใจมีเพียงซีหลิงเท่านั้น เจ้ายินดีที่จะแต่งงานกับนางหรือ”
ราชวงศ์ซีหลิงมีความประสงค์จะปรองดองกับตงหลิง และองค์หญิงเหยาหวาก็คือผู้ที่ถูกคัดเลือกในการปรองดองครั้งนี้
“เสด็จแม่ การที่เหยาหวามีทักษะขี่ม้าเป็นเลิศจะโทษนางก็ไม่ได้ อีกอย่างบัดนี้นางยังคงเป็นองค์หญิงของซีหลิง แน่นอนว่านางจะต้องยืนอยู่ในจุดของซีหลิง หากวันใดที่นางแต่งเข้ามาในตงหลิงแล้วนางก็จะคิดแทนตงหลิงเอง”
ตอนที่ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวถึงซีหลิงเหยาหวา ทั้งคิ้วและดวงตาของเขาช่างดูอ่อนโยน ทำให้จักรพรรดินีโมโหเสียจนร่างกายสั่นสะท้าน หากว่าไม่ใช่เพราะมีหมอหลวงอยู่ที่นั่นด้วย คาดว่านางคงจะตำหนิตงหลิงจื่อลั่วไปยกใหญ่ ท้ายที่สุดแล้วจึงทำได้เพียงกล่าวว่า “ลั่วเอ๋อร์ ข้าไม่เห็นด้วย เจ้าจงไปบอกกลับเสด็จพ่อว่าอันผิงสลบไปไม่ได้สติ และมีอันตรายถึงชีวิต ไม่อาจเข้าร่วมแข่งขันได้”
“เสด็จแม่?” ตงหลิงจื่อลั่วไม่เห็นด้วยและส่ายหน้า เนื่องจากหากกล่าวไปเช่นนี้มีแต่จะทำให้เสด็จพ่อรู้สึกไม่พอใจซีหลิงเหยาหวามากขึ้นกว่าเดิม
“ทำไมหรือ คำพูดของแม่ เจ้าไม่รับฟังแล้วงั้นหรือ?” องค์จักรพรรดินีโมโหยิ่งนัก มือของหมอหลวงสั่นคลอนจนทำให้เกือบจะฝังเข็มผิดตำแหน่ง
ตงหลิงจื่อลั่วรีบกล่าวขึ้นว่า “ลูกไม่กล้า”
……
“การแข่งขันสนามที่สอง คุณหนูซูหว่านเป็นผู้ชนะ”
ตงหลิงจื่อลั่วได้ยินดังนั้นก็ชะงักฝีเท้าลง
การที่เหยาหวาและซูหว่านร่วมมือกันจัดการตงหลิงให้อับอายขายหน้าช่างเห็นได้ชัดเจนเหลือเกิน แน่นอนว่าเสด็จพ่อคงจะไม่ชื่นชอบเหยาหวา หรือบางทีอาจจะชื่นชอบก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรบัดนี้สิ่งเดียวที่เขาควรทำก็คือคืนความประทับใจของอันผิงที่มีอยู่ในใจของเสด็จพ่อกลับมาให้ได้
“เสด็จพ่อ?”
“น้องของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” เนื่องจากองค์หญิงเหยาหวาไร้ความสามารถ ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงหงุดหงิดใส่ตงหลิงจื่อลั่วด้วย
ตงหลิงจื่อลั่วกล่าวว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงกล่าวว่าอังผิงได้รับบาดเจ็บที่กระดูก มิอาจขยับเขยื้อนได้ชั่วคราว”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้วเข้าหากัน นั่นหมายความว่าอันผิงมิอาจเข้าร่วมแข่งขันในสนามที่สามได้
เมื่อเหยาหวาและซูหว่านเปลี่ยนชุดเกราะเรียบร้อยแล้วได้ยินประโยคนั้นก็รีบเดินเข้าไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพคะพวกหม่อมฉันไม่รู้จักหนักเบา จึงทำให้องค์หญิงได้รับบาดเจ็บ ขอโปรดลงโทษพวกเราเถิด!”
พวกนางถอยออกมาเพื่อโจมตี ก้าวเข้าไปขอรับโทษด้วยตนเอง บีบบังคับให้องค์จักรพรรดิแสดงทัศนคติของตนออกมา
แม้จะกล่าวว่าพวกนางทั้งคู่ท้ายที่สุดล้วนต้องแต่งเข้ามาในราชวงศ์ตงหลิง แต่ว่า……
พวกนางทั้งสองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะให้องค์จักรพรรดิแห่งตงหลิงวางใจพวกนาง ยอมรับพวกนางอย่างจริงใจ ดังนั้นทางประเทศของพวกนางจึงจงใจให้พวกนางเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตงหลิง แม้พวกนางจะรู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้เพราะประเทศของแม่เป็นกังวล เมื่อพวกนางแต่งเข้ามาในตงหลิงแล้วจะทำให้เหินห่างจากราชวงศ์เดิม และมอบกายใจให้แก่ตงหลิง ดังนั้นจึงบีบบังคับให้พวกนางสร้างความแตกแยกกับตงหลิงก่อนที่จะแต่งเข้าไป ดังนั้นพวกนางจึงทำได้เพียงทำตาม
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าในใจของพวกนางเต็มไปด้วยประเทศแม่ ต่อให้พวกนางแต่งไปในราชวงศ์ตงหลิงแล้วก็จะยังคงเป็นดั่งเดิม เช่นนี้พวกนางจึงจะได้รับการสนับสนุนจากประเทศแม่ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในตงหลิงต่อไปได้
สตรีนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีเช่นพวกนาง มักจะแต่งงานเพื่อผลประโยชน์เสมอ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศแม่ พวกนางอาจไม่มีชีวิตรอดได้ด้วยซ้ำ
“อันผิงมีทักษะที่ย่ำแย่ ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าหรอก” องค์จักรพรรดิโบกมือ เขายังคงชื่นชมความสามารถของซูหว่านและเหยาหวา หนานหลิงและซีหลิงสั่งสอนบุตรสาวได้ดีเหลือเกิน หากเปรียบเทียบกับองค์หญิงอันผิงแล้วช่างย่ำแย่นัก” องค์หญิงเช่นอันผิงหากนำออกไปปรองดองพันธมิตร เกรงว่าท้ายที่สุดแล้วคงจะเป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้ง เขาไม่คาดหวังว่านางจะนำสิ่งใดมาให้ได้เลย
เหยาหวาและซูหว่านทำท่าทางโล่งอก ทั้งสองสนทนาด้วยความเป็นห่วงงงหญิงอันผิงอยู่อีกสองสามประโยค ทันใดนั้น สนามที่สามก็มาถึง ซูหว่านกล่าวด้วยความเป็นห่วงกังวลว่า “ฝ่าบาทเพคะ บัดนี้องค์หญิงอันผิงได้รับบาดเจ็บ การแข่งขันในวันนี้ ยกเลิกดีหรือไม่?”