“เจ้ายังลังเลอะไรอีก? เวลานี้สถานการณ์เร่งด่วน ต้องลงมือเดี๋ยวนี้ หากชักช้าไปเพียงนิดเดียว อาจจะเกิดภัยอันตรายถึงชีวิตได้!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “หากเจ้ายังนึกประเด็นสำคัญไม่ออกตอนนี้ เช่นนั้นข้าสามารถกระตุ้นความจำให้เจ้าได้ วันเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นพี่ห้าไปพบเหยียนหลิงจวินที่จวนเฉินอย่างกะทันหันทำไม? ตอนนั้นพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง?”
ท่าทางของฉู่อี้เจี่ยนเปลี่ยนไปในทันใดตั้งแต่วันนั้น
ตอนแรกนางยังคิดว่าเพราะนางตัดสินใจทำอะไรโดยพลการทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ ทว่าต่อมาถึงค่อยๆ สังเกตเห็นว่าแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ฉู่ซินรุ่ยต้อนมาถึงตรงนี้ เฉินซื่อชั่งใจในใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็กัดฟันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปนเคียดแค้นว่า “ท่านหญิง องค์ชายโดนเหยียนหลิงจวินลอบกัดขอรับ!”
“หือ?” ฉู่ซินรุ่ยกลับอึ้งไปเพราะคาดไม่ถึง
สีหน้าเคียดแค้นฝังลึกปรากฏขึ้นบนหน้าของเฉินซื่อ เขาเอ่ยตามความจริงว่า “วันนั้น ที่องค์ชายออกไปพบใต้เท้าเหยียนหลิง ทีแรกเขาไม่ให้ข้าคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ข้าจึงรออยู่ในลานบ้าน แต่หลังจากนั้นพวกเขาเกิดทะเลาะกันขึ้นมา ข้าถึงได้ยินบางเรื่อง วันนั้นจู่ๆ องค์ชายจะไปจวนเฉิน ก็เพราะรู้สึกว่าโรคขาเหมือนจะกำเริบอีก จึงไปหาใต้เท้าเหยียนหลิงเพื่อสอบถาม แต่ตอนหลังที่ทะเลาะกันข้ากลับได้ยินว่า…กลับได้ยินว่าเดิมทีโรคขาขององค์ชายนี้ก็ไม่มีทางรักษาหายขาดอยู่แล้ว เพราะใต้เท้าเหยียนหลิง…”
เฉินซื่อพูดไปก็เหมือนจะเจ็บใจมากเกินไป ขอบตาของผู้ชายอกสามศอกเริ่มแดง
ฉู่ซินรุ่ยเห็นกับตาก็ยิ่งวิตกกังวลไม่หยุด จนเผลอกลั้นหายใจ
“เพราะเหยียนหลิงจวินมีเจตนาร้ายแอบแฝงขอรับ เขาใช้วิธีฆ่าไก่เอาไข่ตบตาพวกเรามาตั้งแต่ต้นแล้ว เขาวางยาองค์ชายอย่างร้ายแรง เพียงเพื่ออาศัยจวนอ๋องรุ่ยชินของพวกเราเป็นเส้นทางเข้าสำนักหมอหลวง แล้วต่อไปจะได้มีโอกาสเข้าใกล้ท่านหญิงสวินหยาง” เฉินซื่อเอ่ย “เวลานี้โรคขาขององค์ชายทรุดลงแล้ว เขากลับวางมือไม่สนใจแล้ว วันรุ่งขึ้นของเทศกาลไหว้พระจันทร์องค์ชายก็ไปหาเขาอีก ข้าได้ยินแว่วๆ…ได้ยิน…”
เฉินซื่อพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวกลับชะงักไป ทั้งที่อยากพูด
ฉู่ซินรุ่ยฟังถึงตรงนี้ แต่ในใจนางผิดหวังไปตั้งนานแล้ว นางรู้สึกเพียงแข้งขาอ่อนยวบ จึงถอยหลังสองก้าวและทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ทันที
นานมากกว่านางจะทำใจให้สงบลงได้ แล้วเงยหน้ามองเฉินซื่ออีกครั้ง นางถามทั้งริมฝีปากสั่นเล็กน้อยว่า “เจ้ายังได้ยินอะไรอีก?”
เฉินซื่อสบตานางแล้วก็ทนไม่ได้จึงหันหน้าไปอีกฝั่ง เขากัดฟันพูดออกมาไม่กี่คำ “ข้าได้ยินองค์ชายถามว่าเขายังอยู่ได้อีกนานแค่ไหนขอรับ!”
เหมือนเรื่องใหญ่โตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันระเบิดบนศีรษะเสียงดังสนั่น ความคิดในสมองทั้งหมดกระจัดกระจาย เศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วนกระเด็นไปทั่ว จนยากที่จะรวบรวมไว้ที่เดียวกันได้
เวลานี้ฉู่ซินรุ่ยรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย
พี่ชายที่นางฝากความหวังมาหลายปี และเป็นที่คุ้มกันเพียงแห่งเดียวที่ทำให้นางสามารถใช้ชีวิตอยู่ใต้หล้านี้ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล
หากจะเกิดอุบัติเหตุบางอย่างกับฉู่อี้เจี่ยน นางจะทำอย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ ต่อให้สำเร็จแล้วจริงๆ…
ถ้าชะตาลิขิตแล้วว่าฉู่อี้เจี่ยนมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หากวันหนึ่งเขาล้มลงแล้ว ด้วยกำลังของนางเพียงคนเดียวก็ยากที่จะประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่าง และแม้ว่าจะกุมทุกอย่างไว้ในมือหมดแล้ว ก็จำเป็นต้องสูญเสียมันไปอีกครั้ง
“แล้วไงล่ะ? พี่ห้ารู้ว่าตัวเขาเองมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้วหรือ?” ฉู่ซินรุ่ยนั่งเหม่ออยู่นาน กว่าจะพึมพำเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เฉินซื่อเม้มปากแน่น ไม่กล้าตอบ
ฉู่ซินรุ่ยว้าวุ่นใจอย่างนัก ทว่าหลังจากรวบรวมสติกลับมาทีละน้อย นางกลับค่อยๆ มองเห็นแผนการของฉู่อี้เจี่ยน
เพราะรู้ว่าตนเองใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ฉู่อี้เจี่ยนในเวลานี้จึงไม่สนใจว่าสุดท้ายแล้วจะคุมสถานการณ์นี้ไว้ในมือหรือมันจะพังทลายไปหมด
พูดอีกอย่างคือ…
เขาไม่สนใจว่าทั้งสองฝ่ายจะพังพินาศกันไปหมด!
ความคิดนี้เพิ่งจะแล่นผ่านสมอง ฉู่ซินรุ่ยก็เหงื่อตกทั้งตัวอีกครั้ง
“ตอนนี้พี่ห้าหมดทางรักษาแล้วจริงหรือ?” ฉู่ซินรุ่ยฝืนเอ่ยถามด้วยความหวังครั้งสุดท้าย
“ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าอย่างไรใต้เท้าเหยียนหลิงก็ไม่ยอมลงมือ เช่นนั้นความหวังก็คงเลือนรางแล้วขอรับ” เฉินซื่อเอ่ย “ดังนั้นวันนี้องค์ชายถึงได้แยกตัวท่านหญิงสวินหยางออกมาเพียงคนเดียว เพราะคิดจะพานางไปหาใต้เท้าเหยียนหลิงที่จวนเฉินอีก แต่ไม่รู้ว่าทำไมเปลี่ยนใจระหว่างทางอีกขอรับ”
อันที่จริงเฉินซื่อได้ยินหมดว่าฉู่อี้เจี่ยนกับฉู่สวินหยางคุยอะไรกันบ้าง
เพียงแต่เวลานี้เขากลับเลือกที่จะปิดบังบางส่วนต่อหน้าฉู่ซินรุ่ย…
องค์ชายลำบากมาครึ่งชีวิต กว่าจะมาถึงวันนี้ยากแค่ไหน ถึงแม้สุดท้ายชะตาจะลิขิตมาแล้วว่าต้องประสบภัยอันตรายอย่างแน่นอนและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เช่นนั้นอย่างน้อย…
ก็ไม่ควรตายอยู่ที่นี่โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
ถ้าฉู่อี้เจี่ยนหมดอาลัยตายอยากแล้ว งั้นก็ต้องกระตุ้นให้ฉู่ซินรุ่ยฮึดสู้
ความคิดของฉู่ซินรุ่ยล้ำลึกมาก มีนางออกหน้าสนับสนุน สถานการณ์นี้อาจจะดีขึ้นก็ได้
เวลานี้ฉู่ซินรุ่ยมัวแต่คิดเรื่องฉู่อี้เจี่ยนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว จึงไม่มีเวลาไปไตร่ตรองว่าคำพูดของเฉินซื่อนั้นปนเรื่องโกหกมากแค่ไหน
นางนั่งหน้าตาหวาดวิตกอยู่ครู่ใหญ่ ถึงจะฝืนทำใจให้สงบลงได้ ทว่ากลับเหมือนหมดแรงไปแล้วทั้งร่าง นางเอ่ยเสียงเบาหวิวว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปก่อนเถอะ คำพูดที่เจ้าบอกข้าที่นี่เมื่อครู่ ยังไม่ต้องบอกให้พี่ห้ารู้ เขาจะได้ไม่คิดมาก”
“ขอรับ!” เฉินซื่อเอ่ย เขาลุกขึ้นจากพื้นและหันตัวเดินไปทางประตูได้สองก้าว ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีกอย่างกะทันหัน จึงหยุดฝีเท้าและหันหน้ากลับมาอีกครั้ง พลางขอร้องอย่างจริงใจว่า “ท่านหญิง สองวันนี้องค์ชายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านต้องเตือนเขาให้ได้นะขอรับ!”
“อืม! ข้ารู้ดี!” ฉู่ซินรุ่ยรับปาก แต่กลับยังใจลอยอยู่อย่างเห็นได้ชัด
เฉินซื่อได้คำยืนยันจากนางแล้วก็เปิดประตูเดินออกไป
ฉู่ซินรุ่ยนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ หน้าตาเหม่อลอย
สองสาวใช้เดินเข้ามาจากข้างนอก ทว่าเดินเข้ามาใกล้แล้วถึงเห็นว่าเสื้อผ้าหลายชั้นบนตัวนางกลับเปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด ไรผมข้างขมับก็เปียกโชกจนติดบนหน้า
“ท่านหญิง! นี่ท่านเป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือเจ้าคะ?” สองสาวใช้ตกใจจนร้องตะโกนขึ้นมา “หมอ! รีบไปเชิญหมอ!”
“อย่าไป!” ฉู่ซินรุ่ยตกใจเสียงร้องแหลมนั้น และรีบดึงฮวนเกอที่จะวิ่งออกไปข้างนอกเอาไว้
แขนนางยังสั่นอยู่เล็กน้อย แต่มือกลับมีแรงบีบรัดจนน่าตกใจ
ฮวนเกอเจ็บจนน้ำตาไหลออกมาทันที
“อย่าไป! ไม่ต้องไปหาหมอ ข้าไม่เป็นไร!” ทว่าฉู่ซินรุ่ยกลับไม่ได้สังเกตแม้แต่นิดเดียว แถมยังถือโอกาสยันแขนนางลุกขึ้นเหมือนเหม่อลอย และพึมพำกับตนเองพลางเดินไปทางห้องด้านในอย่างเลื่อนลอย “ไปตักน้ำร้อนมาให้ข้า ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก็พอแล้ว!”
สองสาวใช้ต่างตกใจกับท่าทางของนาง และสบตากันอย่างในใจเต็มไปด้วยความกังวล แล้วไปเตรียมอ่างอาบน้ำอย่างว่าง่าย
ฉู่ซินรุ่ยก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำและรีบชำระล้างคราบเหงื่อที่เหนียวติดตัวให้สะอาด หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ถึงแม้จะยังยอมรับช่องว่างในใจเช่นนี้ไม่ได้อย่างเต็มที่ไปชั่วขณะ แต่นางกลับทำใจให้สงบได้ชั่วคราว แล้วเดินออกไปข้างนอกพร้อมผมหมาดๆ
“ท่านหญิง ผมยังไม่แห้ง รอให้ผมแห้งก่อนแล้วค่อยออกไปข้างนอกเถอะเจ้าค่ะ!” ฮวนเกอรีบจะไปขวาง
“ไม่เป็นไร!” ทว่าฉู่ซินรุ่ยกลับไม่ฟังและสะบัดมือนางออกทันที แล้วผลักประตูเดินออกไป “ข้าจะไปพบท่านหญิง
สวินหยาง ใกล้นิดเดียว ไม่เป็นไร!”