ในเรือนหลักของจวนอ๋องรุ่ยชิน

ฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้ไปคอยเฝ้า ‘รุ่ยชินอ๋อง’ แต่ขังตัวปิดประตูพลิกอ่านจดหมายหลายฉบับอยู่ในห้องหนังสือของเขาเพียงคนเดียว

เฉินซื่อกลับมาจากเรือนของฉู่ซินรุ่ยก็ยังกลัวโดนจับได้อยู่ดี จึงจงใจเดินย่องเข้าไปแล้วยืนอยู่นอกประตู

ฉู่อี้เจี่ยนเงยหน้ามาเห็นเงาร่างของเขาทอดอยู่บนกระดาษปิดหน้าต่าง จึงยกยิ้มมุมปากอย่างไม่เข้าใจแล้วเอ่ยไปว่า “เฉินซื่อ เข้ามา!”

“ขอรับ องค์ชาย!” เฉินซื่อรู้สึกตกใจ ทว่ายังคงเดินเข้าไปโดยแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “องค์ชายยังมีอะไรจะสั่งหรือขอรับ?”

ฉู่อี่เจี่ยนนั่งพลิกอ่านจดหมายอยู่หลังโต๊ะ และไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ แค่เอ่ยถามอย่างเฉยชาว่า “เมื่อครู่เจ้าไปเรือนของรุ่ยรุ่ยมาหรือ? พูดอะไรกับนางไปบ้าง?”

เฉินซื่อได้ยินแล้วก็ตกใจจนเหงื่อตกทั้งตัวทันที

เขาเงยหน้ามองสีหน้าของฉู่อี้เจี่ยนอย่างระมัดระวัง

ทว่าฉู่อี้เจี่ยนกลับไม่แม้แต่จะเงยหน้า และยังคงทุ่มเทสมาธิส่วนใหญ่ไปกับจดหมายพวกนั้น

“องค์ชาย ข้า…” เฉินซื่ออ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนลังเล

แต่เขารู้ดีมากว่าฉู่อี้เจี่ยนเป็นคนอย่างไร เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากแล้วก็ตบตาไม่ได้

เฉินซื่อสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกัดฟันคุกเข่าคำนับลงไป พลางขอรับโทษเองว่า “ข้ามีความผิด ยินดีรับโทษขอรับ ข้าได้ยินคำพูดที่ท่านโต้เถียงกับใต้เท้าเหยียนหลิงที่จวนเฉินสองวันนั้นมาบ้าง ท่านหญิงเหมือนเดาบางอย่างออก เมื่อครู่จึงตั้งใจเรียกข้าไปถามโดยเฉพาะ ข้าถึงได้บอกนางไปขอรับ”

เฉินซื่อเพิ่งจะพูดจบก็ร้อนรนจนทนไม่ไหวและคุกเข่าคำนับอีกทันทีว่า “องค์ชาย ใต้หล้านี้มีหมอเก่งมากมาย ข้าว่าใต้เท้าเหยียนหลิงใจจดใจจ่ออยู่กับวังบูรพาอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นถึงได้โกหกหลอกลวงให้สับสน และจงใจปั่นหัวท่าน ท่านอย่าติดกับเด็ดขาด ท่านวางแผนลงมืออย่างระมัดระวังและป้องกันอย่างแน่นหนา กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ช่างยากเย็นนัก ขอท่านโปรดเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวม อย่า…”

เฉินซื่อยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนใจ จนในที่สุดก็ลืมกลัวไปแล้ว

แต่ฉู่อี้เจี่ยนกลับเหมือนไม่ได้ยินเฉินซื่อพูด แถมยังสีหน้าเฉยชาตลอด พลางพึมพำและเอ่ยแทรกคำพูดของเขาอย่างกะทันหันว่า “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เจ้าบอกรุ่ยรุ่ยว่าอย่างไร?”

“ข้า…” เพราะทรยศเป็นครั้งแรก เฉินซื่อก็ยังกลัวโดนจับได้อยู่ดี เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงจะเอ่ยอย่างไม่มั่นใจว่า “ข้าแค่พูดตามความจริง อยากจะขอให้ท่านหญิงลองเตือนองค์ชายขอรับ!”

“เตือนข้า?” ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินแล้วกลับหัวเราะ แต่หลังจากหัวเราะไปแล้ว น้ำเสียงของเขากลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันใด เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “นี่เจ้าเก่งกล้า ถึงขั้นเรื่องของข้าก็ต้องให้เจ้ามาชี้นิ้วสั่งตามใจชอบแล้วรึ!”

“ข้าไม่กล้าขอรับ!” เฉินซื่อตกใจและรีบคุกเข่าคำนับขอความเมตตาอีก

เขาโคกศีรษะอยู่บนกระเบื้องปูพื้น เสียงดังตลอด เพียงไม่กี่ครั้งหน้าผากก็ช้ำ

ฉู่อี้เจี่ยนนั่งอยู่หลังโต๊ะ ทว่ากลับไม่มองเขาแม้แต่นิดเดียว แม้จะได้ยินเสียงนี้ก็ไม่ประทับใจสักนิด

เขาไม่บอกให้หยุด เฉินซื่อก็ไม่กล้าตัดสินใจเองเช่นกัน ตอนที่โขกศีรษะจนเวียนหัวตาพร่านั้น ฉู่ซินรุ่ยก็รีบพาสาวใช้สองคนมาจากด้านนอกพอดี

“พอแล้ว!” มองเห็นสถานการณ์ตรงนี้อยู่ไกลๆ ในใจฉู่ซินรุ่ยก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางส่งสายตาให้ชิงเกอทันทีที่เข้าไป

ชิงเกอเดินไปยื่นเท้าออกไปข้างหน้า

ศีรษะของเฉินซื่อโขกลงมาครั้งถัดไปก็ลงบนปลายรองเท้าของนางพอดี

เฉินซื่ออึ้งไปในชั่วพริบตา

ฉู่ซินรุ่ยสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าจะคุยกับพี่ห้าเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”

“เจ้าค่ะ!” สองสาวใช้ขานรับ

แต่เฉินซื่อกลับมองฉู่อี้เจี่ยนก่อน เพราะยังรู้สึกกลัวอยู่ พอเห็นว่าฉู่อี้เจี่ยนไม่คิดจะห้าม เขาถึงลุกขึ้นเดินตามออกไปด้วยกัน

“คำพูดพวกนั้น ข้าเป็นคนบังคับให้เขาบอก พี่ห้ารู้ดีว่าเขาซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อท่านมาก ทำไมจะต้องทำให้เขาลำบากด้วย?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย พลางก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว แล้วทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงไปอย่างไม่บอกกล่าวแม้แต่น้อย

ฉู่อี้เจี่ยนเงยหน้าขึ้นจากจดหมายทันที เขาขมวดคิ้วมองมาอย่างไม่พอใจ “นี่เจ้าทำอะไร?”

“พี่ห้า ข้าแค่อยากถามท่านเพียงประโยคเดียว!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ย นางยืดหลังตรงและสบตาเขาตรงๆ อย่างแน่วแน่ พลางเอ่ยเสียงดังกังวานและมีพลังทุกคำว่า “ข้าอยากจะรู้ว่าตอนนี้ท่านคิดอย่างไรกันแน่? จะละทิ้งเรื่องที่พวกเราวางแผนกันมานานขนาดนี้ไปเช่นนี้จริงหรือ?”

ฉู่อี้เจี้ยนก้มมองนางจากหลังโต๊ะที่สูงกว่าอย่างตกตะลึง

เป็นครั้งแรกที่ฉู่ซินรุ่ยถามเขาอย่างไม่เกรงใจแบบนี้ นางเม้มมุมปากแน่น เพื่อไม่ให้ตนเองกลัวจนหัวหด

“พี่ห้า ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าฟังท่านทุกอย่าง หายนะของตระกูลฉู่ในอดีต ถึงข้าไม่ได้ผ่านมาด้วยตนเอง แต่ท่านเป็นพี่ชายของข้า พี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวที่คอยปกป้องข้าตั้งแต่เล็กจนโต ความทุกข์ที่ท่านได้รับ ข้าก็รู้สึกเหมือนเคยผ่านมาด้วยตนเอง เรื่องที่ท่านทำข้าก็ไม่คิดว่าผิด ข้าเชื่อใจท่านมาตลอด ติดตามท่านเรื่อยมา หลายปีนี้พวกเราต่างเก็บไว้ในใจและฝืนอดทนอยู่ลึกๆ มาตลอดเพื่อเตรียมวางแผน กว่าจะถึงวันนี้ช่างยากลำบากนัก แต่ท่านกลับยอมแพ้ตอนที่อีกเพียงครั้งเดียวก็จะทำสำเร็จแล้วงั้นหรือ?”

ฉู่อี้เจี่ยนเม้มมุมปาก ไม่รู้ว่าเขากำลังหวนคิดถึงอดีตอยู่หรือเปล่า สีหน้ายุ่งยากใจ

“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยเห็นเขายังคงท่าทีเช่นเดิม ก็ยิ่งร้อนใจจนเรียกเขาเสียงดังขึ้นอีก

ทันใดนั้นฉู่อี้เจี่ยนถึงค่อยๆ ตั้งสติกลับมาสบตานาง

เขายิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย ทว่ายิ้มอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอย่างเซื่องซึม แล้วเอนตัวไปบนพนักเก้าอี้กว้างใหญ่ด้านหลัง พลางเยาะเย้ยตนเองว่า “สิ่งที่ควรบอก เฉินซื่อก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว เช่นนั้นเจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าเป็นอย่างไรเล่า? ข้าวางแผนมานานขนาดนี้ แต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายผลจะเป็นแบบนี้ รุ่ยรุ่ย เจ้าก็รู้ เมื่อก่อนสิ่งที่ข้าเฝ้ารอมาตลอด…”

เขาพูดไปก็หัวเราะอีก

ฉู่ซินรุ่ยมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ทว่ากลับสามารถแยกแยะความไม่ยอมและโกรธแค้นอย่างลึกซึ้งในน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน

“หากบอกว่าเมื่อก่อนข้าแค่แค้นแทนคนในครอบครัวและญาติของพวกเรา เช่นนั้นเวลานี้…ข้ากลับยิ่งต้องแค้นแทนตนเอง ข้าแค้นที่สวรรค์ไม่ยุติธรรมและล้อข้าเล่นด้วยวิธีแบบนี้” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็หัวเราะเยาะตนเอง

เขาหัวเราะพอแล้วก็ยันพนักเก้าอี้ลุกขึ้นยืน พลางมองฉู่ซินรุ่ยด้วยสายตาลุ่มลึกและห่างไกลว่า “รุ่ยรุ่ย ข้ารู้ว่าเจ้าก็แค้น เจ้าก็ไม่ยอมเหมือนกัน แต่เวลานี้โชคชะตาวางอยู่ตรงหน้า เจ้าว่ามา…เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี?”

ทำตามแผนเดิมต่อไป ทำลายวังหลวงรวดเดียว แล้วสังหารฉู่เป้ยด้วยมือตนเอง?

เช่นนั้นหลังจากนั้นล่ะ?

รอความตายอย่างสงบ!

รอตอนจบที่บาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย?

แต่หากไม่ทำล่ะ?

สุดท้ายกลับเสียดายไปชั่วชีวิต

“พี่ห้า แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ พวกเราไม่มีทางให้ถอยแล้ว!” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงปวดใจ “…ถ้าท่านยอมจริง ถ้าท่านคิดจะวางมือจริง เช่นนั้นวันนี้ท่านก็คงไม่ออกนอกเมืองไปหาเรื่องพวกฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเหยียน ท่านรู้ดีว่าองครักษ์ลับจับตามองอยู่รอบจวนของพวกเรา จริงๆ แล้ว…”

นางเอ่ยพลางหลับตาลงอย่างกลัวความผิด

หากไม่เพราะนางตัดสินใจโดยพลการในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้น ฮ่องเต้ก็คงไม่รู้สึกระแวงจวนอ๋องรุ่ยชิน

หลังจากวันเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้น ถึงแม้พวกเขาจะสงบลงแล้วเช่นนี้…

ทว่าฮ่องเต้ชูดาบขึ้นแล้ว หากไม่ลงมือก็มีแต่ตายเท่านั้น

คิดมาถึงตรงนี้ เวลานี้ฉู่ซินรุ่ยถึงเสียดายที่ตอนนั้นทำเช่นนั้นลงไป

“เป็นความผิดของข้าทั้งหมด!” นางน้ำตาไหลออกมาทันที เวลานี้นางไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ