ตอนที่นางต้องทุ่มเดิมพันหมดหน้าตักกับการเสี่ยงเป็นครั้งสุดท้ายนั้น อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่ากับดักที่พวกนางวางแผนมาหลายปีนี้ จะพังทลายไปหมดจนหมดหนทางแก้ไข เพราะคำพูดของเหยียนหลิงจวินเพียงประโยคเดียว

ไม่รู้ว่าฉู่อี้เจี่ยนลุกขึ้นแล้วเดินมาตั้งแต่เมื่อใด เขาก้มตัวพยุงนางขึ้นมา

ฉู่ซินรุ่ยเหมือนคาดไม่ถึง นางก้มมองมือของเขาข้างที่จับแขนตนเองอย่างงุนงงไปชั่วขณะ

“พี่ห้า ข้าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจู่ๆ เรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ ข้า…” ฉู่ซินรุ่ยว่าพลางมองฉู่อี้เจี่ยนทั้งน้ำตาไหลอาบหน้า

ฉู่อี้เจี่ยนใช้ปลายนิ้วด้านฝ่ามือเช็ดคราบน้ำตรงหางตาของนางออก เขาไม่ได้มองสีหน้านางเหมือนกัน แค่ถามเสียงเรียบเฉยว่า “กลัวแล้วหรือ?”

คำพูดเดียวกัน หลังการสังหารในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้น เขาก็เคยถามเช่นกัน

ตอนนั้นฉู่ซินรุ่ยส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว บอกเขาว่าไม่กลัว!

ทว่าครั้งนี้ฉู่ซินรุ่ยกลับพยักหน้าอย่างลนลานทำอะไรไม่ถูก แล้วมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

ฉู่อี้เจี่ยนสบสายตาร้อนแรงของนาง แน่นอนว่าเขารู้ว่านางกำลังรออะไรอยู่ เขาก็คิดมากเหมือนเดิมทุกครั้งที่จะเป็นหลักประกันและที่พึ่งพิงให้นางในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง?

แต่ครั้งนี้…

ฉู่อี้เจี่ยนถอนหายใจ เขายกมือกดต้นคอของนางไว้และกดนางเข้าสู่อ้อมกอด

ถึงเขากับฉู่ซินรุ่ยจะเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน ทว่ากลับวางตัวอยู่ในกรอบตลอด และน้อยมากที่จะมีช่วงเวลาที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้

“รุ่ยรุ่ย ขอโทษ!” ฉู่ซินรุ่ยฝังหน้าอยู่บนไหล่เขาเงียบๆ แล้วก็ได้ยินเสียงลุ่มลึกปนถอนหายใจของเขาดังขึ้นข้างหู “เมื่อก่อนข้าเคยรับปากว่าจะปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้…เหมือนจะต้องผิดสัญญาแล้ว ถ้าข้าต้องตาย

ก่อน เจ้า…”

“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยกลัวขึ้นมาในทันใด นางผลักเขาออกทันทีและถอยออกจากอ้อมกอดของเขา

นางจ้องพี่ชายของตนเองเขม็งด้วยสายตาหวาดกลัวลึกๆ ความรู้สึกสับสนและไม่สบายใจเกิดขึ้นในใจอย่างเงียบเชียบ นางเอาแต่ส่ายหน้าอย่างสุดกำลัง “พี่ห้า อย่าพูดเช่นนั้น พวกเรายังมีความหวัง ท่านก็รู้ว่าเหยียนหลิงจวินนั่น คำพูดของเขาเชื่อได้ที่ไหนกัน? พวกเราได้ตัวฉู่สวินหยางไว้ในมือแล้วไม่ใช่หรือ? หลังจากวันนี้สำเร็จตามที่หวังไว้แล้วค่อยไปหาเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ยอมแต่โดยดี!”

“หากอย่างไรเขาก็ไม่ยอมล่ะ?” ฉู่อี้เจี่ยนย้อนถาม ทว่าฟังแล้วเหมือนพูดเล่น

ฉู่ซินรุ่ยรู้สึกกลัว นางสอดส่ายสายตาสะเปะสะปะไปทั่ว…

นั่นสิ หากจะพูดถึงเหยียนหลิงจวินจริงๆ ก็เป็นคนสุดโต่งมาก เขาเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างกะทันหันและไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น

ใช้ฉู่สวินหยางข่มขู่เขา? ถึงจะจับได้ว่านางเป็นจุดอ่อนและเขายอมจำนน ทว่าหลังเกิดเรื่องเขาจะยอมรามือง่ายๆ หรือ?

ลองนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่จวนอ๋องรุ่ยชินของพวกนางกับเขายังไม่มีความแค้นกัน เขาก็สามารถเก็บซ่อนจิตใจอันชั่วร้ายได้หมด จนถึงกับแอบตลบหลังพวกนางอย่างร้ายกาจเช่นนี้ เพื่อจะให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ที่ขาดกันแล้ว หากไปยั่วโมโหเขาเข้า ยังไงเขาก็ต้องแก้แค้นแน่!

คนๆ นี้…

คนๆ นี้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

ถึงแม้นางจะรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วว่ารอยยิ้มงามของเขาก็เป็นแค่สิ่งที่เขาแสดงออกมาเท่านั้น แต่อย่างนั้นก็คิดไม่ถึงว่าพอถอดหน้ากากจอมปลอมนั้นออก เขาจะทำให้พวกนางรู้สึกตัวด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงและหนักหน่วงเช่นนี้

เพียงแค่ครั้งเดียว…

ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกือบจะแตกกระจุยไปหมด!

จินตนาการที่ดีงามและความทรงจำที่ดูเหมือนสวยงามทั้งหมดต่างถูกความจริงตรงหน้าทำลายอย่างเงียบๆ กลายเป็นอัปลักษณ์มากจนมองตรงๆ ไม่ได้

ทันใดนั้นฉู่ซินรุ่ยก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนจะอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ได้ไม่ชัดนัก

นางมีใจให้เหยียนหลิงจวิน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัย

ทว่าตอนนี้…

ภายนอกของคนๆ นั้นยังคงสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่เช่นเดิม กระทั่งถ้ามองจากมุมอื่น…

วิธีการลงมือของเขาพวกนั้น บางทีก็สุดโต่งบางทีก็ไม่ไว้หน้า แต่สามารถทำเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียวได้ขนาดนี้

เวลานี้ความรู้สึกมากมายปะปนอยู่ในใจของฉู่ซินรุ่ย

ทว่าจู่ๆ นางกลับรู้สึกอิจฉาฉู่สวินหยางอย่างรุนแรงในช่วงเวลาที่ไม่ควรที่สุดนี้

ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ล้วนมีเขาเคียงข้างไปชั่วชีวิตนี้ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ทำลายกฎเกณฑ์ ถึงขั้นกำจัดอุปสรรคที่ขวางหน้าและเอาชนะความยากลำบากเพื่อนางโดยไม่สนใจว่าสองมือจะเปื้อนเลือด…

บนโลกนี้ก็คงหาคนแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว!

ฉู่ซินรุ่ยสีหน้าเปลี่ยนไปตลอด ความคิดมากมายตีกันยุ่งเหยิง จนสุดท้ายตอนที่ตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง นางก็วิงวอนเหมือนยังตื่นตระหนกว่า “พี่ห้า อย่างไรก็ยังมีความหวัง!”

“นั่นสิ อย่างไรก็ยังมีความหวัง!” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มและค่อยๆ ดึงแขนเสื้อออกจากนิ้วมือของนาง

เขาหันตัวเดินไปข้างโต๊ะ จุดตะเกียงขึ้นมาดวงหนึ่ง แล้วเผาจดหมายแต่ละฉบับบนโต๊ะจนกลายเป็นขี้เถ้า

ฉู่ซินรุ่ยแค่คอยมองอยู่ข้างหลังอย่างวุ่นวายใจมาก

จนกระทั่งทำทุกอย่างเสร็จแล้ว องครักษ์คนหนึ่งก็เคาะประตูข้างนอกพอดี “องค์ชาย เพิ่งจะมีข่าวออกมาจากในวัง บอกว่าฝ่าบาททรงฟื้นแล้วขอรับ”

ฉู่ซินรุ่ยตกใจ

“อืม!” ฉู่อี้เจี่ยนขานรับ และเดินไปเปิดประตูโดยไม่สนใจนางอีก “งานที่ข้าสั่งให้พวกเจ้าทำก่อนหน้านี้จัดการเรียบร้อยหมดหรือยัง?”

“ขอรับ ค้นตัวท่านอ๋องตามคำสั่งขององค์ชายและส่งข่าวถึงจวนอ๋องแต่ละแห่งแล้ว เวลานี้ท่านอ๋องและชายาแต่ละท่านก็เข้าวังไปแล้วขอรับ” องครักษ์ตอบ

“ไปเถอะ!” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มอย่างเย็นชาไร้ชีวิตชีวา

ฉู่ซินรุ่ยเดินเข้ามาหาจากข้างหลัง และเอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “พี่ห้า!”

“เจ้าพูดถูก มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเรากลับตัวไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ทำทุกอย่างให้จบในวันนี้เถอะ!” ฉู่อี้เจี่ยนเอ่ย สีหน้าเขาเคร่งขรึมและเย็นชาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเดินออกไป

“พี่ห้า!” ฉู่ซินรุ่ยเผลอตามออกไปและดึงแขนเสื้อเขาไว้อีกครั้ง

ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มและตบหลังมือนาง “ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร หากครั้งนี้ชะตาลิขิตแล้วว่าจะต้องทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย…”

เขาพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ชะงักไปอีก ทั้งที่อยากพูด แล้วสะบัดมือของฉู่ซินรุ่ยออกและเดินออกไปข้างนอก

เฉินซื่อจะตาม แต่กลับถูกเขายกมือขวางไว้ “เจ้าอยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวข้าออกไปแล้ว เจ้าก็พารุ่ยรุ่ยไปก่อน หลบให้พ้นหูพ้นตาพวกองครักษ์ลับก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

คำพูดนี้ฟังเหมือนกำลังจัดการเรื่องที่จะตามมา

เฉินซื่อได้ยินแล้วก็ร้อนใจเช่นกัน แต่กลับยังขานรับอย่างเชื่อฟัง

ฉู่อี้เจี่ยนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉู่ซินรุ่ยยืนอยู่ในลานบ้านด้วยสีหน้าซีดเผือด นางมองไปทางเฉินซื่อทันที “ในวังนั้น…”

“ดินปืนขอรับ!” เฉินซื่อเอ่ยอย่างหนักแน่นทุกคำ

———————————————