“ท่านหญิง เวลาไม่คอยท่า เตรียมตัวตอนนี้เลยขอรับ ข้าจะคุ้มกันท่านออกจากที่นี่ก่อน!” เฉินซื่อเดินมาบอก
ฉู่ซินรุ่ยเอาแต่ยืนนิ่งมองภาพเงาด้านหลังของฉู่อี้เจี่ยนที่ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไปอยู่ที่เดิม ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มแตกกิ่งแผ่ขยายในใจ
“ท่านหญิง!” เฉินซื่อเห็นนางลังเลก็ร้อนใจเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว องครักษ์ลับจับตาดูจวนของพวกเรามานานมากแล้ว เวลานี้อาจจะเกิดเรื่องได้ตลอดเวลา เวลาไม่คอยท่า ข้าจะคุ้มกันท่านออกจากจวนไปรอข่าวในที่ปลอดภัยก่อนขอรับ”
“เจ้าว่า…” ฉู่ซินรุ่ยใจลอยอย่างเห็นได้ชัด นางเอ่ยอย่างลังเลว่า “พี่ห้าจะทำสำเร็จหรือไม่?”
“ถึงทำไม่ได้ แต่อย่างไรก็น่าจะใกล้เคียงขอรับ” เฉินซื่อตอบ
นั่นสิ ฉู่อี้เจี่ยนในเวลานี้คิดจะทำให้ทั้งสองฝ่ายพังพินาศไปด้วยกันแล้ว อยากจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก หากเปลี่ยนเป็นวิธีอื่น…
โอกาสที่จะแพ้กลับมีมากกว่า
ฉู่ซินรุ่ยหลับตาสูดหายใจลึกไปพร้อมบีบฝ่ามือให้ตนใจเย็น พอลืมตาอีกครั้งก็เผยใบหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “ไปเถอะ!”
“ขอรับ!” เฉินซื่อพยักหน้า “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ หากเตรียมการเรียบร้อยแล้วจะไปเชิญท่านที่เรือนขอรับ”
“ได้!” ฉู่ซินรุ่ยพยักหน้า แล้วหันตัวพาสองสาวใช้กลับเรือนของตนเอง นางเดินพลางเอ่ยถามอีกว่า “แล้วท่านแม่ล่ะ? พี่ห้าว่าอย่างไร?”
“ท่านหญิงวางใจ องค์ชายให้คนส่งจดหมายไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว หากเมืองหลวงเกิดเรื่อง มีเวลาพอให้พระชายาได้หลบหนีก่อนที่ข่าวจะไปถึงแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเกอตอบ
“หลบหนีอะไรกัน เวลานี้พวกเราต้องมั่นใจว่าล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ ไม่มีที่ใดไม่ใช่ผืนแผ่นดินของฝ่าบาท จะให้ท่านแม่ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายชีวิตอย่างเร่ร่อนและยากลำบากงั้นหรือ?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยอย่างเย็นชา
ชิงเกอได้ยินแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
นายบ่าวสามคนกลับเรือนแล้ว
ชิงเกอไปเก็บของมีค่าที่พกติดตัวไปง่ายๆ ส่วนฮวนเกอไปหยิบเสื้อผ้าสาวใช้ที่เตรียมไว้พร้อมก่อนแล้วมาจากห้องข้างๆ ที่อยู่ติดกัน
ฉู่ซินรุ่ยดึงเครื่องประดับล้ำค่าบนศีรษะออก พลางบอกชิงเกอที่กำลังเก็บของมีค่าทองเงินที่พกติดตัวไปง่ายๆ อยู่ข้างใน ในขณะที่ฮวนเกอคอยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางว่า “ของพวกนั้นไม่ต้องเอาไปแล้ว แค่เอาตั๋วเงินใต้กล่องนั้นเก็บไว้ในเสื้อเผื่อเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นก็พอ เอาของไปเยอะแล้ว จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย”
“เจ้าค่ะ!” ชิงเกอขานรับและหยิบตั๋วเงินออกมาเก็บไว้เรียบร้อย
ฉู่ซินรุ่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็หวีผมอีกครั้ง นางแต่งตัวเรียบร้อยแล้วกำลังจะสั่งให้ฮวนเกอไปหาเฉินซื่อ แต่เฉินซื่อก็มาถึงข้างนอกแล้วพอดีเช่นกัน
“ท่านหญิง ข้าเตรียมพร้อมหมดแล้วขอรับ!” เฉินซื่อเอ่ย “อีกสักครู่ผังฝูจะออกไปซื้อของตามปกติ ท่านกับชิงเกอก็ไปพร้อมกับนาง วันนี้สถานการณ์ผิดปกติ พวกองครักษ์ลับอาจจะสะกดรอยตาม แต่ข้าส่งจดหมายลับออกไปแล้ว พอออกจากตรอกแล้วจะมีคนของเราคอยช่วยคุ้มครองท่านอย่างแน่นหนาแน่นอนขอรับ!”
“อืม!” ฉู่ซินรุ่ยพยักหน้า นางหันหน้าเข้าหากระจกมองการแต่งตัวของตนเอง “ทางพี่ห้าล่ะ? เขาพาคนไปพอจริงๆ หรือ? ถ้าหาก…”
ฉู่ซินรุ่ยพูดไปก็ใจลอยอีก นางขมวดคิ้วปิดปาก
“องค์ชายรู้ดีว่าควรทำอะไรขอรับ!” เฉินซื่อเอ่ย
ฉู่ซินรุ่ยเห็นเขาไม่ฝืนใจพูดให้นางสบายใจด้วยซ้ำ ก็อดที่จะแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อแน่ใจว่าการแต่งตัวไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว นางก็ตบกระโปรงสาวเท้าออกไปข้างนอกก่อน “ไปเถอะ!”
ทว่าเฉินซื่อกลับยืนอยู่ข้างในอย่างลังเลชั่วพริบตา แล้วถึงจะรีบตามไปนางถามว่า “ท่านหญิง…จะเอาอย่างไรกับท่านหญิงสวินหยางขอรับ?”
ฉู่ซินรุ่ยได้ยินแล้วถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
นางหัวคิ้วกระตุกอย่างแรงและชะงักฝีเท้าไปทันที
นางพึมพำอยู่ชั่วครู่ แล้วเงยหน้ามองเฉินซื่อเหมือนวุ่นวายใจว่า “ถ้าพานางไปด้วยกัน เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะตบตาคนอื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ?”
“เอ่อ…ยากมากขอรับ!” เฉินซื่อเอ่ยอย่างลำบากใจ “ต่อให้นางยอมให้ความร่วมมือ แต่หากคนออกจากจวนเยอะในคราวเดียว อย่างไรก็ต้องทำให้องครักษ์ลับรู้สึกตัว และถ้าถูกพวกเขาเห็นเข้าอย่างกะทันหันจะแย่เอาขอรับ”
“แต่เวลานี้นางเป็นเพียงโอกาสเดียวที่ใช้แลกชีวิตของพี่ห้าได้แล้ว” ฉู่ซินรุ่ยคิดอย่างลังเล ทว่าตอนที่กำลังลังเลอยู่นั้น นอกเรือนก็มีองครักษ์คนหนึ่งรีบมาอย่างร้อนใจและรายงานว่า “ท่านหญิง ท่านหญิงสวินหยางต้องการพบท่านขอรับ!”
“ฉู่สวินหยางต้องการพบข้า?” ฉู่ซินรุ่ยแปลกใจยิ่งจนเผลอขมวดคิ้ว
ฮวนเกอกลับรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาและเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ตอนที่ท่านหญิงไปเจอนางก่อนหน้านี้ พูดกับนาง นางยังเมินเฉย แล้วทำไมตอนนี้เกิดอยากเจอขึ้นมา? คงจะเล่นตุกติกอะไรบางอย่าง?”
ฉู่ซินรุ่ยเคิดชั่งใจในใจ แล้วก็ถกกระโปรงเดินออกไปข้างนอก “ช่างเถอะ ข้าไปเจอนางหน่อยดีกว่า!”
สถานการณ์ของฉู่อี้เจี่ยนในเวลานี้ทำให้นางกังวลมาก นางจึงทำเฉยไม่ได้
ฉู่ซินรุ่ยเดินตรงไปห้องหนังสือของฉู่อี้เจี่ยนอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ผลักประตูเข้าไปก็เห็นฉู่สวินหยางยืนหันหลังให้ประตูอยู่หน้าชั้นวางหนังสือและพลิกอ่านหนังสือที่วางอยู่บนชั้นอย่างสบายใจ
พอคิดถึงสถานการณ์ทั้งจวนของตนเองที่อันตรายยิ่งนัก เทียบกับท่าทางสบายอกสบายใจของนางในเวลานี้ อยู่ดีๆ ฉู่ซินรุ่ยก็รู้สึกโมโหกว่าเดิม
ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันกลับมายิ้มเล็กน้อยว่า “มาแล้ว!”
“เจ้าหาข้า?” ฉู่ซินรุ่ยเอ่ยเย็นเยียบว่า “เจ้าบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าไม่ใช่หรือ? แต่ตอนนี้กลับตั้งใจเรียกข้ามาอีก?”
“ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนั้นไม่มีอะไรพูด แต่ตอนนี้…” ฉู่สวินหยางเอ่ย พลางหันตัวเดินเข้าไปหานางและเลิกคิ้วจ้องมองการแต่งตัวของนาง
ฉู่ซินรุ่ยหน้าตาไม่โดดเด่น พอเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสาวใช้แล้ว เดินอยู่บนถนนก็ไม่มีใครจะสนใจเป็นพิเศษ
สายตาของฉู่สวินหยางจับจ้องนางไม่วางตา แล้วถึงเอ่ยว่า “หากข้าไม่เรียกท่านมา อีกเดี๋ยวถ้าอยากหาท่านอีกก็สายไปแล้ว!”
ฉู่ซินรุ่ยกล้ามาเจอนางถึงนี่ และไม่กลัวนางรู้เรื่องตนเองจะออกจากจวนเช่นกัน
พอคิดถึงฉู่อี้เจี่ยนที่คาดเดาอนาคตได้ยาก นางก็สีหน้าไม่ค่อยดีนัก แล้วถกกระโปรงเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลง พลางเอ่ยอย่างรำคาญว่า “มีอะไรก็ว่ามา ข้าไม่มีเวลามาโอ้เอ้อยู่ที่นี่กับเจ้า”
“ข้ารู้ว่าท่านรีบ” ฉู่สวินหยางยิ้ม แล้วหันไปมองดวงอาทิตย์ที่แขวนอยู่กลางอากาศด้านนอก ทันใดนั้นนางก็พึมพำอย่างเคร่งขรึมว่า “เวลานี้ท่านอาคงเข้าวังไปแล้วใช่หรือไม่?”
ฉู่ซินรุ่ยตกตะลึงและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในทันใด
นางครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนเอ่ยอย่างเหลือเชื่อว่า “เจ้าคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว พี่ห้าของข้าเข้าวังไปแล้ว ดังนั้นถึงได้เรียกข้ามาหรือ? เจ้ามีแผนอะไรกันแน่? เจ้า…”
ฉู่ซินรุ่ยคิดแล้วในใจพลันรู้สึกท้อใจเล็กน้อย
“เชลยอย่างข้าจะมีแผนอะไรได้ ถึงข้าคิดจะทำอะไรจริง ทว่าเวลานี้แม้ใจอยากทำมากแต่กำลังก็ไม่พอ!”
ฉู่สวินหยางเอ่ย และยังคงยิ้มอย่างผ่อนคลาย
ทว่าฉู่ซินรุ่ยกลับไม่เชื่อคำพูดของนางทั้งหมด และแค่รวบรวมสติมองนางอย่างระแวดระวังเท่านั้น
————————————————-