บทที่ 349 - สิ้นสุดสงคราม (3)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 349 – สิ้นสุดสงคราม (3)

เนื้อหาภายในกระดาษนั้นเรียบง่ายมาก มีเพียงข้อความถูกเขียนไว้เพียงบรรทัดเดียวเท่านั้น

-ในวันที่เราเจอกันอีกครั้ง ฉันจะกระพริบตาให้นายสามครั้งในตอนที่ศัตรูล้อมเรา

“…”

สีหน้าซอลจีฮูได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน

ความกังวลภายในใจได้หายไป และความรู้สึกร้อนใจก็ยังลดลงไปด้วย

กลับกันมีคำถามปรากฏขึ้นแทน เขาไม่อาจจะทำความเข้าใจข้อความในจดหมายได้เลย

“นี่มันหมายความว่ายังไง…?”

“ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้อ่านมัน”

แบคแฮจูตอบกลับนิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อ

“แต่ฉันก็คิดว่าคุณซอยูฮุยได้ใช้พลังมากเกินไปในระหว่างสงครามหุบเขา และกำลังได้รับผลย้อนกลับจากมัน”

“ครับ ทั้งหมดนั่นก็เพื่อช่วยผม…”

“แต่หลังจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าเธอก็ฟื้นตัวได้ระดับหนึ่งแล้วงั้นเหรอ?”

ซอลจีฮูได้ละสายตาจากกระดาษ และเงยหน้าขึ้นมองแบคแฮจู

“เธอได้ทำการภาวนาอย่างสม่ำเสมอ และยิ่งกว่านั้นฉันก็บอกได้ว่านายได้ให้เครื่องเซ่นไหว้คุณภาพสูงมากมายเพื่อช่วยฟื้นคืนพลังให้กับเธออีกด้วย”

“พี่สาวบอกแบบนั้นเหรอครับ?”

“ใช่แล้ว คุณซอยูฮุยเป็นคนบอกฉันเอง แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่คนรอบตัวรู้ด้วยเหมือนกัน”

ซอลจีฮูผงะไป

พูดตามตรงนี่เป็นเรื่องจริง ซอยูฮุยได้ทำการสวดภาวนาในทุกครั้งที่มีเวลาเสมอ แล้วเธอก็ยังได้รับเครื่องเซ่นไหว้มากคุณภาพจากเขาอีกด้วย

ยังไงก็ตามนั่นยังไม่มากพอที่จะรักษาซอยูฮุยให้หายดี อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือสิ่งที่ซอลจีฮูได้ยินมาจากซอยูฮุย

“พี่สาวไม่ได้บอกอะไรอีกเหรอ?”

เขาได้ถามแบคแฮจูออกไปเผื่อว่าอีกฝ่ายจะพอรู้อะไรบ้าง แต่แบคแฮจูก็ส่ายหัวกลับมา

ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเอง

‘ของที่ระลึกจากมอไร’

วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังมากพอที่จะรักษาซอยูฮุยให้หายดีในคราวเดียว

ซอลจีฮูได้รับมันมาจากเขตพื้นที่เป็นกลางผ่านทางอึนยูริ และมอบมันให้กับซอยูฮุยโดยที่เก็บความลับไว้จากทุกๆคน

ใช่แล้ว มีแค่เขากับซอยูฮุยเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

เขาไม่ได้คิดอะไรมากหลังจากที่ให้ซอยูฮุยไปเนื่องจากเขาคิดว่าเธอจะใช้มันกับตัวเองไปแล้ว… และนี่คือสิ่งที่แปลก

‘พอมาลองคิดดูอีกที’

สิ่งที่คนรอบตัวเธอรู้ก็คือเธอได้ฟื้นพลังกลับมาพอที่จะกลับร่วมปฏิบัติการ แต่นั่นก็ยังไม่ถึงกับหายดี

แต่ความเป็นจริงคือเธอมีของที่ระลึกจากมอไรอยู่

หรือก็คือเรื่องราว ‘แผลเก่าจากสงครามหุบเขา’ อาจจะเป็นฉากบังหน้าที่ซอยูฮุยสร้างขึ้นมา

ซินเซียบอกว่าซอยูฮุยอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก แต่ซอยูฮุยอาจจะทำร้ายตัวเองเพื่อแสร้งทำขึ้นก็ได้

‘แต่ทำไมล่ะ?’

ซอลจีฮูคิดไม่ออกเลย มันไม่ใช่เพราะเธอเรียกร้องความสนใจแน่ๆ แต่จะแบบไหนมันก็ยังแปลกอยู่ดี

‘เดี๋ยวก่อนนะ พอมาลองคิดดู…’

[โอ้ จริงสิ พี่สาวหายดีแล้วสินะครับ?]

[อืมม ฉันยังเก็บของที่ระลึกจากมอไรไว้อยู่น่ะ]

[เอ๊ะ… พี่สาวยังไม่ใช้อีกเหรอ?]

[พูดตามตรงมีเรื่องที่ฉันอยากจะทำอยู่… แต่ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนฉันน่าจะฟื้นพลังกลับมาสินะล

มันเป็นในตอนที่เขาถามว่าซอยูฮุยจะพาแบคแฮจูมาได้หรือเปล่าสินะ?

ซอลจีฮูหรี่ตาลงเมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งที่คุยกันในวันนั้น

‘ใช่แล้ว’

มันมีเหตุผลอยู่

เหหตุผลที่ซอยูฮุยเลือกบาดเจ็บหนักหลังจากที่สงครามจบลง

นอกจากนี้ซอลจีฮูก็เชื่อในตัวซอยูฮุย ถึงเขาจะคิดไม่ออกว่าเธอกำลังวางแผนอะไรอยู่ ต่อให้มันไม่มีประโยชน์ต่อเขา แต่ก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่เป็นการทำร้ายเขา

“ทำไม?”

เมื่อซอลจีฮูพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว แบคแฮจูก็ถามออกมา

“มีคำสารภาพรักอะไรประมาณนั้นถูกเขียนไว้งั้นเหรอ?”

ซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นในทัที เมื่อเขาขมวดคิ้ว และถามทวนคำ แบคแฮจูก็พยักหน้าพร้อมทั้งมองเขาอย่างตั้งใจ

จากนั้นเธอก็หันหน้าไปพึมพำเบาๆ

“…ฉันแค่พูดเล่น นายดูคิดจริงนะ”

‘นี่เธอเล่นมุกเป็นด้วย?’

ซอลจีฮูคิดกับตัวเองในใจก่อนที่จะยิ้มแห้งออกมา จากนั้นเขาก็ใช้พลังมานาเผากระดาษในมือทิ้งไป

แม้ว่าเขาจะได้รับกระดาษข้อความ แต่เขาก็ยังติดต่อผ่านคริสตัลสื่อสารได้ นอกจากนี้แล้วเขายังเป็นห่วงเรื่องอึนยูริอีกด้วย

‘ฉันได้ยินมาจากราชินีบ้างแล้ว แต่ว่า…’

อึนยูริได้มีส่วนสำคัญในสงครามครั้งนี้อย่างมหาศาลจนไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอเป็นนักเวทย์ที่เพิ่งจะออกมาจากเขตพื้นที่เป็นกลางได้ไม่นาน

อย่างการที่เธอเป็นคนหยุดความบริสุทธิ์อันโสมมไม่ให้ทำลายร่างอวตารของต้นไม้โลกก่อนที่กลุ่มของซอลจีฮูจะกลับมา

ซอลจีฮูเพิ่งจะรู้เรื่องนี้ได้ไม่นานว่าอึนยูริอยากจะช่วยเขาขนาดไหน และทั้งวิธีที่โรเซร่า กับชาล็อต อาเรียได้ช่วยเขาไว้

การสร้างให้โลกแห่งความฝันเกิดขึ้นจริงในมิดเดิลเวิลด์ และการที่โรเซร่าได้เข้าสิงร่างอึนยูริผ่านการใช้โลกทับซ้อน

ในตอนที่เขาได้ยินคำอธิบายนี้เขาทึ่งมา แต่สิ่งที่เขารู้สึกมากที่สุดเลยคือความซาบซึ้งใจ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าการใช้ความปรารถนาแห่งเทพกับอึนยูริไปมันไม่ได้เสียเปล่าเลยสักนิด

ทั้งความคิด และการกระทำของเธอได้พิสุจน์แล้วว่าทำไมเธอถึงถูกเรียกว่าความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ

ปัญหาเดียวก็คือการใช้เวทย์พิเศษระดับนี้ได้สร้างภาระให้กับร่างกายเธออย่างหนัก

แต่แล้วหลังจากได้ยินว่าเธอตื่นขึ้นมา และกลับไปนอนต่อแล้วก็ทำให้ซอลจีฮูโล่งใจ ในเมื่อโรเซร่าได้ให้ความสำคัญกับอึนยูริเป็นอย่างมาก โรเซร่าจึงไม่มีทางที่จะใช้มานาเกินขอบเขตจนเสี่ยงต่อชีวิตของอึนยูริอย่างแน่นอน

หลังจากตรวจดูสมาชิกภายในเต็นท์แล้วซอลจีฮูก็ได้มุ่งหน้าไปสถานพยาบาลฉุกเฉิน เขาอยากที่จะตรวจดูเหล่าคนที่มีส่วนเสียสละในสงครามครั้งนี้

โชคดีที่ไม่มีใครที่เขารู้จักบาดเจ็บร้ายแรงจนถึงขั้นต้องเสียชีวิต อย่างน้อยก็ไม่มีเลยสักคน

เขาได้มองลงไปบนเตียงพยาบาลที่มีลูกเจี๊ยบนอนคร่ำครวญอยู่

“นายจะมองหาอะไรคู่หู?”

ลูกเจี๊ยบพูดขึ้นห้วนๆเหมือนกับอย่างน้อยก็มีแรงให้พูดแล้ว

“สบายดีนะ?”

“ฉันดูสบายดีไหมล่ะ?”

“ไม่ใช่ว่านายกลายเป็นฟินิกซ์ไปแล้วหรอกเหรอ?”

“นั่นมันก็ชัดนี่ว่าแค่ชั่วคราว ฉันบอกนายแล้วไงว่าที่มันเป็นไปได้ก็เพราะฉันอยู่ในอาณาจักรภูติ”

“แล้วนาย?”

“นายคิดว่าแค่การกลืนกินพลังจะทำให้ฉันวิวัฒนาการได้งั้นเหรอ? ฉันฝืนทำแบบนั้นเพื่อนายนะ!”

ลูกเจี๊ยบตีปีก และตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ

“หากว่านายรู้จักสู้ให้ดีกว่านี้ ฉันก็ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก! นายรู้ถึงราคาที่ต้องแลกไปกับการปลดผนึกหอกพิสุจน์จนถึงขั้นสามไหม!?”

ซอลจีฮูก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง

“ถ้านั้นแล้ว… นายกลับมาเป็นปกติตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็หลังจากหัวหน้าศัตรูโผล่มา”

ลูกเจี๊ยบพึมพำอย่างขยะแขยง

“ฉันฝืนตัวเองมาตั้งแต่เริ่มสู้กับมังกรแล้ว การคงสภาพร่างวิวัฒนาการเอาไว้หลังจากมามิดเดิลเวิลด์ยิ่งสร้างภาระให้มากกว่าเดิม ฉันพยายามทนเอาไว้ แต่ทันใดนั้นท้องฟ้าก็พลิกกลับจนทำให้ฉันตั้งสมาธิไม่อยู่”

ลูกเจี๊ยบถอนหายใจจากนั้นก็หันร่างไป

“เพราะงั้นตอนนายกลับเมืองแล้วก็พาฉันไปเติมพลังที่วิหารด้วย ตอนนี้ฉันอยู่ในสภาพที่แย่มาก”

“ได้เลย พักเถอะนะ”

“ขอบคุณมาก”

ซอลจีฮูได้ลูบหัวลูกเจี๊ยบก่อนที่จะสาบานว่าจะป้อมพลังศักดิ์สิทธิ์ให้มันจนอิ่ม

ยังไงแล้วลูกเจี๊ยบก็มีส่วนช่วยเขาอย่างมหาศาล

***

พื้นดินที่เสียหายจากสงครามได้กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว

สถานพยาบาลฉุกเฉินที่งานยุ่งอยู่ตลอดหลายวันได้ค่อยๆ สงบลง และพวกปรสิตก็ไม่ได้มีทีท่าจะบุกเข้ามาอีก

ในช่วงเวลานี้เองกองกำลังมนุษย์ก็ได้เริ่มเตรียมตัวกลับแล้ว

พวกเขาไม่อาจจะอยู่ป้อมปราการไปได้ตลอดในเมื่อสงครามจบลงไปแล้ว

แน่นอนว่าสหพันธรัฐก็ไม่ได้แค่ส่งพวกเขากลับไปเฉยๆ

ในคืนนั้นได้มีงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในป้อมปราการ

มันเป็นงานเฉลิมฉลองที่พันธมิตรระหหว่างสหพันธรัฐ กับมนุษยชาติได้เอาชนะปรสิตเป็นครั้งแรก

ก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นซอลจีฮูก็ได้ถูกเหล่าเบื้องบนของสหพันธรัฐเชิญชวน

มันเป็นสถานที่สำหรับขอบคุณฮีโร่ที่สร้างความสำเร็จมากมายให้กับสหพันธรัฐ และยังเป็นการถกเรื่องแผนการในอนาคตอีกด้วย

สมาชิกระดับสูงของสหพันธรัฐทั้งห้าคนกำลังรอคอยซอลจีฮูอยู่ที่ป้อมปราการ

ซอลจีฮูคุ้นกับสามคนในหมู่คนเหล่านี้ นั่นคือกาเบรียลที่เป็นผู้นำของเทวดาตกสวรรค์ ยูเรลที่เป็นผู้บัญชาการของแฟรี่ถ้ำ แล้วก็ราชามนุษย์สัตว์เสือขาวที่ไล่ตามราชินีปรสิตไปกับเขา

“ผู้นำของแฟรี่ทั้งสองคนไม่อาจจะมาได้ในวันนี้ โอฟินัวร์ กับดิฟิเด็ม โอดอร์ได้ถูกเรียกกลับไปที่อาณาจักรภูติ ดังนั้นแล้วในตอนนี้เธอจึงไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม”

กาเบรียลพูดออกมาพร้อมมองไปทางยูเรลกับแฟรี่ท้องฟ้า

“ดังนั้นแล้วฉันจึงเรียกตัวผู้บัญชาการแฟรี่มาแทน หวังว่าคุณจะไม่ใส่ใจนะ”

“ไม่มีปัญหาครับ”

“เยี่ยมมาก ฉันมั่นใจว่าคงมีคนที่คุณไม่คุ้นหน้าอยู่ ดังนั้นฉันจะขอแนะนำตัวให้ฟังแล้วกันนะ นี่คือวิดาลิฟ เขาคือผู้ปกครองเผ่าพันธุ์คนแคระ”

คนแคระร่างเตี้ยล่ำได้ยิ้มสดใสออกมา สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นแตกต่างไปจากคนแคระคนอื่นๆนั่นคือเขาไม่มีหนวดเครา และยังมีดวงตาที่เป็นสีขาวจนหมด

“เขาคนนี้คือคนที่คิดค้นอัสนีบาตขึ้นมา เขาตาบอดตั้งแต่เกิด แต่ฝีมือการช่างของเขาเหนือยิ่งกว่าคนแคระใดๆ จะพูดว่าเขาคือปรมาจารย์ในหมู่ปรมาจารย์ก็ได้”

ซอลจีฮูตกใจมากที่ได้ยินว่าเขาเป็นผู้คิดค้นอัสนีบาต

วิดาลิฟยิ้ม และยื่นมือให้กับซอลจีฮู

เมื่อซอลจีฮูยื่นมือออกไปจับ เขาก็รู้สึกได้ถือมือหยาบกร้านของวิดาลิฟที่จับแน่น

หลังจากนั้นไม่นานวิดาลิฟก็ปล่ยมือซอลจีฮู และมอบกล่องบางอย่างให้กับเขาด้วยความเคารพ

“นี่คือ…”

“รับไปสิ”

กาเบรียลยิ้มออกมา

“นี่คือของขวัญสำหรับฮีโร่ที่เสียสละเลือดเนื้อเพื่อพวกเขา วิดาลิฟเป็นคนทำขึ้นด้วยตัวเองเชียวนะ”

“ไม่เห็นต้อง…”

ซอลจีฮูได้รับกล่องมาถือแล้วผิดกับปากของเขา

ของที่ราชาคนแคระที่เป็นปรมาจารย์ในหมู่ปรมาจารย์สร้างขึ้น เขาจะไม่ตื่นเต้นกับของแบบนี้ได้ยังไงกัน?

“ขอบคุณครับ ผมจะดูแลเป็นอย่างดี”

แน่นอนเขายังไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณ วิดาลิฟได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

“คนถัดมานี่คือผู้บัญชาการของแฟรี่ท้องฟ้า”

“สวัสดี ฉันชื่อไทฮี อินกราเรีย เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของคุณคุณแทนเผ่าพันธุ์ของเรา เราไม่มีคำใดจะกล่าวเลยสำหรับสิ่งที่ท่านได้ทำเพื่อชุบชีวิตต้นไม้โลก และกระทั่งปลดปล่อยท่านโอฟินัวร์ โอดอร์”

แฟรี่ท้องฟ้าที่ใส่สร้อยคออันงดงามได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสง่างาม

เสียงชัดเจนของเธอฟังดูน่าฟัง และผิวสีขาวหิมะ กับดวงตาอันงดงามก็ให้รู้สึกถึงความสง่างามอันชัดเจน

“ตามธรรมเนียมเราควรที่จะมีอิลิกเซียร์เพื่อแทนคำขอบคุณของเรา แต่น่าเสียดายที่อิลิกเซียร์หมดไปแล้ว…”

เมื่อไทฮีได้ทาบมือบนอกเป็นการขออภัย ซอลจีฮูก็รีบส่ายหน้าออกมา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่สิ่งที่ให้ผมก่อนหน้านี้ก็ทำให้ผมซาบซึ้งแล้ว”

“ไม่หรอก พวกเราไม่อาจจะปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ไปได้ เพราะงั้นพอมาคิดดูแล้ว…”

“ทำไมเธอยังไม่หยุดอีกล่ะ?”

น้ำเสียงแหลมได้ขัดขึ้น

ยูเรลได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่แยแส

ไทฮีขมวดคิ้วขึ้น

“หยุดอะไร?”

“ยังต้องให้อธิบายอีกงั้นเหรอ? เธอคงกำลังจะขอให้เขาแต่งงานกับเธอ และรับเอาพรแห่งภูติไปไง มันชัดแล้วนี่ ด้วยอายุขนาดนี้ยังจะคิดแบบนี้อีกงั้นเหรอ?”

“นั่นมันอะไรกัน? ฉันไปพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ไทฮีโกรธขึ้น

แต่ว่ายูเรลได้กลอกตา และหันไปมองซอลจีฮูโดยไม่ได้สนใจไทฮีเลย

“ฟังนะสหาย หากว่าคุณอยากจะได้ผลแบบเดียวกันทำไมไม่เลือกฉันแทนล่ะ?”

“นั่นเธอก็พูดเหมือนกันนี่”

“เงียบไปเลย สหายควรที่จะเป็นคนตัดสินใจ พวกเราแฟรี่ถ้ำมีพื้นฐานที่ต่างไปจากแฟรี่ท้องฟ้า พวกเราทั้งซื่อตรงและบริสุทธิ์ ต่างจากพวกเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยตัณหาหมกหมุ่นที่ชอบถูกออร์คจับตัวไปสืบพันธุ์ ตัวฉันค่อนข้างเป็นคนโรแมนติกอีกด้วยนะ”

“นั่นมันอะไรกัน? เธอกล้าเรียกพวกเขาว่าเผ่าพันธุ์หมกหมุ่นในตัณหางั้นเหรอ!?”

“หยุดพล่ามได้แล้ว แล้วก็นะประวัติศาสตร์มันยังไม่พอพิสูจน์อีกงั้นเหรอ?”

“เธออยากจะแข่งกับฉันใช่ไหม?”

แฟรี่ทั้งสองคนได้เริ่มตึงเครียดขึ้น

ราชามนุษย์สัตว์เสือขาวที่มองดูอยู่ข้างๆได้ลูบคางพูดขึ้น

“พอมาคิดดูแล้ว ฉันก็มีลูกสาวเหมือนกันนะ… ถึงเธอจะยังเด็ก แต่เผ่าพันธุ์ของเราเติบโตได้เร็ว ว่ายังไงล่ะ? หากว่าคุณรอสักเดือน เธอก็น่าจะพร้อม…”

ซอลจีฮูหลับตาลงไป

แค่ข้อตกลงกับเทเรซ่าก็ลำบากพออยู่แล้ว ในตอนนี้เขากระทั่งจะมีงานที่ล้นมือเข้ามาอีก

ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่เข้าใจถึงประโยชน์ของการแต่งงานเลยด้วย นั่นมันเพราะเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องของวัฒนธรรมหรือตำแหน่งทางการเมืองเลย

“พอได้แล้ว”

ในที่สุดกาเบรียลที่ทนดูไม่ไหวได้แทรกขึ้น

“พวกเราไม่ได้เชิญตัวแทนซอลมาในวันนี้เพื่อหาคู่แต่งงานให้เขานะ”

ผู้นำคนอื่นๆที่เข้าใจถึงความหมายของคำพูดนี้ได้เงียบลงไป

‘ฟู่ว’

กาเบรียลถอนหายใจออกมา และจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง

“ฉันรู้ว่าคุณคงจะฟังจนเบื่อแล้ว แต่ฉันก็อยากจะกล่าวขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง คุณทำได้ยอดเยี่ยมมาก จะพูว่าคุณทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเหนือจินตนาการของเราไปแล้วก็ไม่ผิด”

“นั่นเพราะมีคนอื่นๆ คอยช่วย”

“แต่ว่าคุณคือคนที่วางแผล และดำเนินการ แถมในคราวนี้คุณยังสามารถเอาพลังของความสงบนิ่งกลับคืนมาได้อีกด้วย ซึ่งต่างจากในตอนความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ แค่คำว่าเหลือเชื่อยังไม่พอใช้อธิบายเรื่องนี้เลย”

กาเบรียลยิ้มสดใส จากนั้นก็ปรบมือขึ้น

“เพราะแบบนี้ปรสิตจึงประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ในสงคราม และความสงบสุขได้หวนคืนสู่พาราไดซ์… ฉันก็อยากจะให้มันจบสวยๆ แบบนี้นะ แต่น่าเสียดายที่เรายังไม่ได้อยู่ใกล้จุดนั้นเลย”

ซอลจีฮูพยักหน้าอย่างเงียบๆ

ปรสิตได้ประสบกับความพ่ายแพ้อย่างหนัก แต่พวกมันก็ยังไม่ได้ถูกกำจัดไป ราชินีปรสิตยังคงมีชีวิตอยู่ และยังมีผู้บัญชาการกองทัพอยู่อีกมากมายด้วย

แม้ว่าพวกปรสิตอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูพลังกลับมาเต็มที่ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ด้วยธรรมชาติของปรสิตก็หมายความว่าพวกมันสามารถจะเพิ่มจำนวนกลับมาเท่าเดิมได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

“นอกไปจากนี้จากความจริงที่ซึงชิฮยอนได้ย้ายไปอยู่ฝ่ายปรสิตแล้วก็เป็นเรื่องที่จะปล่อยผ่านไปไม่ได้ พูดตามตรงแล้วนี่มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก”

‘ใช่แล้ว หมอนั่นก็ด้วย’

ซอลจีฮูแสยะยิ้มออกมา

“แต่ยังไงชัยชนะก็คือชัยชนะ ปรสิตจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว และเราจำเป็นต้องใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์มากที่สุด”

“พวกคุณคิดยังไงกับการโจมตีปรสิตครับ”

“หมายถึงการบุกจักรวรรดิน่ะหรอ?”

“ใช่ครับ ที่ที่ราชินีปรสิตอยู่ ในตอนนี้พวกปรสิตน่าจะอ่อนกำลังอยู่ เพราะงั้น…”

“นี่เป็นโอกาสดีในการโจมตี… แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก มันมีเหตุผลอยู่สามประการ”

กาเบรียลได้หยุดสั้นๆ จากนั้นก็ชูนิ้วออกมา

“อย่างแรกถึงปรสิตจะอ่อนกำลังยังไง พวกเขาก็อ่อนกำลังอยู่เหมือนกัน คุณรู้เรื่องเจ้าแห่งภูติทั้งสอง ราชาภูติทั้งห้า แล้วก็ภูติทั้งหมดได้ย้อนกลับไปจากราชินีแล้วใช่ไหม?”

“อ่อ”

“พวกเขาได้กลับสู่อาณาจักรภูติ แต่ว่าเรายังต้องใช้เวลากว่าที่จะอัญเชิญพวกเขากลับมาได้อีก”

กาเบรียลกระแอ่มและพูดต่อ

“สองจักรวรรดิคืออาณาเขตของปรสิต”

“…”

“หนึ่งในเหตุผลใหญ่สุดที่เราได้เปรียบในสงครามครั้งนี้ก็เพราะการมีอยู่ของต้นไม้โลก ต้นไม้โลกทั้งขัดขวางการแพร่ระบาดของปรสิต และยังช่วยจำกัดพลังของพวกปรสิตเป็นอย่างมาก แต่อิทธิพลของต้นไม้โลกคงอยู่เพียงพื้นที่รอบๆนี้เท่านั้น”

หรือก็คือพวกเขาจะไม่ได้รับพรของต้นไม้โลกในอาณาเขตของจักรวรรดิ

“ทันทีที่เราเข้าสู่จักรวรรดิ ตำแหน่งของเราจะกลับกันในทันที เขาจะได้รับผลเสียในทุกประเภท ราชินีปรสิตกับผู้บัญชาการกองทัพจะสามารถใช้พลังได้เต็มกำลัง ดังนั้นแล้วเราจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย หากคุณยังคิดไม่ออกลองคิดถึงการที่ฝ่ายนั้นมีต้นไม้โลกที่ถูกปรสิตกลืนกินสักสี่ห้าต้นก็ได้”

ซอลจีฮูกลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว

ต้นไม้โลกที่ติดเชื้อสี่ถึงห้าต้นงั้นเหรอ?

แค่จินตนาการก็ทำให้เขาขนลุกแล้ว

“และเหตุผลสุดท้าย…”

กาเบรียลได้ค่อยๆพูดออกมมา

“หากเราตัดสินใจแบกรับสองเงื่อนไขแรก และทำการโจมตี มันก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่าต้องเป็นการโจมตีสุดกำลัง… อืมม ให้พูดตรงๆเลยก็นะ แม้ว่าสถานการณ์จะดีกว่าในอดีตและกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แต่หากจะถามฉันว่ามนุษยชาติจะเต็มใจทำการโจมตีสุดกำลังหรือเปล่า ถ้างั้นฉันก็ขอตอบได้เลยว่าไม่”

ซอลจีฮูพูดไม่ออกแล้ว

เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย

แม้กระทั่งในสงครามนี้ก็มีเพียงแค่อีวากับฮารามาร์คเท่านั้นที่ให้การช่วยเหลือสุดกำลัง อีกสามเมืองที่เหลือแค่ส่งกำลังมาพอรักษาหน้าเท่านั้น และมีอีกสองเมืองที่ไม่ได้เข้าร่วมด้วยซ้ำไป

นอกไปจากนี้มุมมองของชาวโลกที่มีต่อพาราไดซ์ก็ยังไม่เปลี่ยน

“เพราะงั้นแล้วแทนที่จะเข้าโจมตีสจักรวรรดิโดยที่มีความเสี่ยงในการล้มเหลวสูงแล้ว ฉันขอแนะนำให้เราใช้เวลานี้ให้คุ้มค่ามากกว่า”

“มีอะไรที่คุ้มค่ากว่าอีกเหรอครับ?”

“ใช่แล้ว บางอย่างที่จะได้ประโยชน์กับพวกเรา ขอพูดตามตรง ฉันคิดว่าคุณควรจะใช้เวลานี้ในการรวมกลุ่มมนุษยชาติ”

รวมกลุ่มมนุษยชาติขึ้นใหม่

ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนไปเมื่อได้ยินในสิ่งที่คาดไม่ถึง

“คุณคงจะสงสัยสินะ”

ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา

กาเบรียลยิ้มขึ้น และจากนั้นก็หันไปมองราชาคนแคระที่นั่งอยู่

ไม่นานนักวิดาลิฟที่นั่งยิ้มก็ขยับปากออกมา