บทที่ 350 – สิ้นสุดสงคราม (4)
การพูดคุยของพวกเขากินเวลานานกว่าที่ซอลจีฮูคิดเอาไว้ และพอเขาออกมางานเฉลิมฉลองก็ถูกจัดขึ้นมาแล้ว
กลุ่มคนมากมายไม่ว่ากลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ต่างก็กระจัดกระจายกันออกไปทั่วป้อมปราการ ทุกๆคนที่กำลังกินดื่มได้หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ในตอนที่ซอลจีฮูหันสายตาไปในจุดที่มีเสียงดัง เขาก็เห็นกลุ่มเผ่าพันธุ์ต่างๆกลิ้งหัวเราะอยู่กับพื้น
ตรงกลางของกลุ่มคนที่กำลังเป็นที่สนใจนั่นก็คือโฮชิโนะ อุราระ
“แล้วก็นะ… อ๊ากกกก! ลำแสงได้พุ่งใส่เธออย่างแรงจนเธอล้มไปเลย…”
เธอทำเซไปเหมือนกับกำลังล้อเลียนความเมตตาอันบิดเบี้ยวที่ถูกคงามสงบนิ่งอันบ้าคลั่งโจมตี
พวกเขาดูจะกำลังพูดถึงเรื่องการต่อสู้ในอาณาจักรภูติกันอยู่
“เธอน่าสนใจนะ”
กาเบรียลพึมพำออกมา
ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับไป สมองของเขายังคงจมอยู่กับข้อเสนออันคาดไม่ถึงที่เพิ่งได้รับเมื่อครู่นี้อยู่
กาเบรียลได้ถามขึ้นพร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปในงานฉลองนี้
“ไม่สบายใจงั้นเหรอ?”
“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น”
หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซอลจีฮูก็ได้ตอบกลับไป
“ผมคิดว่ามันเป็นข้อเสนอที่ดี มนุษยชาติจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง”
“บางทีคำว่า ‘ปฏิวัติ’ ก็อาจจะเหมาะกว่า สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าแผนการนี้จะรุนแรงเกินไปใช่ไหม?”
“ผมก็ไม่ได้กังวลหรอกครับ แค่ว่า… ผมมีคำถาม”
“อะไรงั้นหรอ? ถามมาสิ”
“เรื่องเทวดาตกสวรรค์จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ?”
“พวกเราเหรอ? ตอนนี้ฉันยิ่งสนใจแล้วสิ”
“ผมได้ยินมาว่าเทวดาตกสวรรค์เป็นต่างเผ่าในพาราไดซ์ เหมือนกันกับพวกปรสิต”
กาเบรียลได้แทบจะชะงักนิ่งไป แต่เธอก็ยังเดินต่อได้
“เทวดาตกสวรรค์มาลงเอยอยู่ที่พาราไดซ์ได้ยังไงเหรอครับ”
กาเบรียลยิ้มแห้งๆ ออกมา
“อ่า นี่คือเหตุผลที่ไม่ควรจะไปให้คำสัญญากับใครในตอนอารมณ์ดีสินะ”
เธอได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย และมองมาที่ซอลจีฮู
“จริงๆ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก แต่ว่า… คุณอยากจะรู้จริงๆใช่ไหม”
“ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมสงสัยมาตลอดเลย”
“เข้าใจแล้ว คงไม่มีทางเลือกแล้วสินะ เรื่องมันก็ยาวหน่อย ฟังไหวใช่ไหม”
ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา
กาเบรียลสูดหายใจยาว และเลียริมฝีปาก
“ควรจะเริ่มตรงไหนดีนะ…”
หลังเงียบอยู่นาน เธอก็พูดต่อ
“เมื่อนานมาแล้วมีมหาสงครามเกิดขึ้น พูดให้ชัดคือสงครามระหว่างเทวดากับปีศาจ”
น้ำเสียงของเธอได้เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
ซอลจีฮูได้ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ
“มันเป็นสงครามทำลายล้างที่ซึ่งมีพลังอำนาจในระดับเดียวกันกับที่ราชินีปรสิตได้ใช้ออกมาเมื่อวันก่อน”
“ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบรุนแรงกันอยู่เป็นเวลานาน แต่ในท้ายที่สุดปีศาจก็มีชัยเหนือเหล่าเทวดา เทวดาได้ถอยกลับไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์อันเป็นบ้านเกิด อาณาจักรสวรรค์ และได้เริ่มวางแผนแก้แค้น ในเวลาเดียวกันนั้นปีศาจก็พยายามที่จะบุกอาณาจักรสวรรค์เพื่อทำการปิดหนทางกลับคืนมาของเทวดา นี่คือจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหม่”
“สิ่งที่เทวดาทำในตอนนั้นก็คือการอัญเชิญตันแทน ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็ต้องการที่จะปกป้องอาณาจักรสวรรค์ให้ได้ แต่พวกเราไร้ซึ่งพลังที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นแล้วพวกเราจึงฝืนบังคับอัญเชิญตัวแทนมาสู้แทนเรา”
‘ตัวแทน?’
ซอลจีฮูเอียงหัวอย่างสงสัย
คำว่า ‘ฝืนบังคับ’ ทำให้ซอลจีฮูสนใจมาก
“คุณคิดยังไงล่ะ”
ทันใดนั้นกาเบรียลก็หันมาถามเขา
“สมมติว่าคุณเพิ่งจะได้ปลดประจำการจากกองทัพ คุณคงจะมีความสุขที่ในที่สุดแล้วได้กลับบ้านไปพักผ่อน แต่แล้วจู่ๆ พอคุณลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คุณกลับต้องมาอยู่ในโลกใบใหม่ที่ขัดกับความต้องการของคุณเอง”
ถูกบังคังให้ตกอยู่ในสถานการณ์ไร้ซึ่งความฝัน หรือความหวังเพื่อต้องคอยต่อสู้กับปีศาจในฐานะตัวแทนของเทวดาโดยไม่อาจจะกลับบ้าน และยังต้องฝืนสังขารเพื่อเอาชีวิตรอดในทุกๆวัน…
เขาจะคิดยังไงกับคนที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานภาพแบบนี้
ใบหน้าซอลจีฮูได้ขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าพวกบ้า…”
เขารู้สึกเสียใจที่หลุดปากออกมา แต่ว่ามันก็สายไปแล้ว
ถึงแบบนั้นก็ตามเขาหมายความอย่างที่สบถออกมาจริงๆ
การบังคับอัญเชิญคนปลดประจำการ… ซอลจีฮูรู้สึกผิดกับคนๆนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
“เจ้าพวกบ้า… ใช่แล้ว เทวดาคงจะถูกมองแบบนั้นจากมุมมองของเทพยุทธนั่นแหละ”
กาเบรียลดูจะไม่ใส่ใจคำพูดของซอลจีฮูเลย
“และไม่นานนักเจ้าพวกบ้าก็ต้องชดใช้”
“ชดใช้”
“ใช่แล้ว พอถึงจุดหนึ่งตัวแทนได้กลายเป็นบุคคลทรงพลังน่าเหลือเชื่อ พลังของเขาได้มากพอที่จะคุกคามทั้งเทวดา และรวมถึงปีศาจอีกด้วย”
“โอ้”
“เฮ้… ช่างเถอะ จะยังไงตัวแทนก็ได้ปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว และเริ่มแก้แค้นเทวดา และปีศาจที่ทำไม่ดีกับเขาไว้ อย่างแรกเขากับผู้ติดตามไปบุกอาณาจักรนรกที่เป็นบ้านเกิดของเหล่าปีศาจ และจากนั้นก็อาณาจักรสวรรค์ที่เป็นบ้านของเหล่าเทวดา”
“แบบนี้นี่เอง”
“ขอบอกไว้เลยนะว่าอาณาจักรนรกได้ยอมแพ้ในทันทีโดยไม่สู้ด้วยซ้ำ”
กาเบรียลแค่นเสียงออกมา
“มันน่าสมเพชมาก พวกนั้นขอร้องอ้อนวอนเขา ‘แค่ฆ่าปีศาจระดับสูงทั้งเจ็ด แล้วก็สิบสี่จ้าวปีศาจยังไม่พออีกเหรอ พวกเราก็เป็นเหยื่อเหมือนกันนะ ไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเรายอมทำทุกอย่างเลย พวกเรายอมกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านก็ได้’ เทพยุทธได้ยอมรับมัน และเขาก็ตั้งเงื่อนไขขึ้น”
“แล้วอาณาจักรสวรรค์ล่ะ”
“ถูกทำลาย”
กาเบรียลตอบสั้นๆ
ยังไงก็ตามน้ำเสียง และใบหน้าของเธอหม่นหมองผิดกับคำพูด
“พวกเราได้ส่งคำขอโทษให้เขาอย่างเป็นทางกาย และเขาได้ตอบกลับมาเป็นจดหมายสั้นๆพร้อมกับหัวของเทวดาที่เราให้เป็นคนส่งสาร เนื้อความในจดหมายนั่นบอกว่า… ‘จะอะไรอีกล่ะ ปีศาจฉันให้อภัยได้ แต่พวกนายไม่มีวัน’ อะไรทำนองนี้แหละ”
“ถ้างั้น…”
“ถูกแล้ว เทพยุทธได้บุกอาณาจักรสวรรค์ เขาได้ใช้เพลิงนรกกับกองทัพนรกเข้าทำลายทุกอย่าง และจับกุมเทวดาทั้งหมด เขากระทั่งชุบชีวิตเทวดาที่ตายจากการสู้รบกลับคืนมาด้วย”
กาเบรียลเม้มปากแน่น
“และจากนั้น… เทพยุทธได้โยนเทวดาทั้งหมดที่เขาจับไว้ลงไปในอาณาจักรนรก จากนั้นเขาก็สั่งให้ปีศาจทรมานเทวดาด้วยความเจ็บปวดกับความอัปยศจนไม่อาจจะจินตนาการได้เลย เขาไม่อยากให้ปีศาจฆ่าเขา เขาอยากที่จะทรมานเราไปตลอดกาล เขาบอกปีศาจว่าการจะตัดสินใจยอมไว้ชีวิตปีศาจนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าพวกปีศาจจะทำตามคำสั่งเขาได้ดีแค่ไหน”
“แล้วจากนั้นเกิดอะไรขึ้น”
“คุณคิดว่ายังไงล่ะ”
กาเบรียลตอบสั้นๆ
“นรกบนดินได้เริ่มต้นขึ้น หลังจากถูกทั้งทรมาน และสร้างความอัปยศ พวกเราเทวดาก็ไร้สิ้นซึ่งความสง่างาม และ…”
ตัดสินจากสีหน้าเธอแล้วมันคงเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่านึกถึงเลย กาเบรียลพูดต่ออย่างลังเลใจ
“เราจะทำยังไงได้ล่ะ พวกเรากลายเป็นทาสของปีศาจที่เราเกลียดนักหนา จนกระทั่งวันหนึ่งที่พวกเราได้รับโอกาส”
“โอกาส”
“พาราไดซ์”
กาเบรียลชี้ขึ้นฟ้า จากนั้นก็ชี้ลงบนพื้น
“เรื่องคือมีเทวดาคนหนึ่งได้ไปอยู่ฝั่งของเทพยุทธก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้น ฉันเดาว่าเธอคงจะรู้สึกสงสารเรา และขอร้องเทพยุทธ”
“ขอร้องให้ยกโทษให้งั้นเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิง เธออาจจะขอให้เรามอบโอกาสให้เราสักครั้ง ก็นะ ดูเหมือนทั้งสองคนจะเป็นคนรักกันทำให้เขาไม่อาจจะเมินเฉยต่อคำขอของเธอได้”
โอกาส
ซอลจีฮูได้คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมา
“ไม่มีทางน่า”
มุมปากของกาเบรียลได้ยกขึ้น
“ถูกแล้ว เทพยุทธได้ยึดพลังอำนาจ และพลังไปจากเรา จากนั้นก็พูดเรื่องพาราไดซ์ เขาบอกเราว่าราชินีปรสิตได้แย่งชิงความสงบสุขของดาวเคราะห์ดวงนี้ไป และสั่งให้เราจัดการราชินีปรสิตซะ เขาคงจะอยากให้เขาได้ลิ้มรสความลำบากแบบเดียวกันกับที่เราเจอก็ได้”
กาเบรียลหยุดนิ่งไป
“แล้วเราก็ถูกบังคับให้มาที่ดาวดวงนี้”
เธอได้มองขึ้นไปที่ดวงดาวบนท้องฟ้า และพยักไหล่ออกมา
“จบแล้วล่ะ คุณคิดว่ายังไงล่ะ”
ซอลจีฮูพูดไม่ออกแล้ว
จริงๆเขาหวังว่ามันจะเป็นเรื่องเหมือนเทพนิยายที่เผ่าพันธุ์นอกดาวดวงนี้มาช่วยมนุษย์สู้กับราชินีปรสิตผู้ชั่วร้ายซะอีก
“…”
แต่ความเป็นจริงมันเกินกว่าที่เขาคิดไปมาก
“ไม่ต้องรู้สึกสงสารเราหรอก อย่างที่ฉันพูดไปพวกเราแค่กำลังชดใช้ในสิ่งที่ได้ทำลงไป”
กาเบรียลเน้นย้ำออกมา
“สิ่งสำคัญคือพวกเราเทวดาตกสวรรค์ไม่มีทางเลือกที่ต้องมาช่วยพาราไดซ์ พวกเรายอมทำทุกอย่างเพื่อไขว้คว้าโอกาสที่มีมา ต่อให้นั่นจะเป็นแค่คำพูดลอยๆของเทพยุทธ แต่ฉันก็ยอมที่จะแลกชีวิตมากกว่าที่จะต้องไปกลายเป็นทาสของปีศาจอีกครั้ง”
ซอลจีฮูค่อยๆพยักหน้าออกมา
“ผมเข้าใจแล้ว คุณอยู่ข้างเดียวกับเราอย่างแน่นอน”
“ถูกแล้ว พวกเราทั้งคู่กำลังต่อสู้ในสงครามครั้งนี้เพื่อช่วยคนของเรา ดังนั้นคุณไม่ต้องกลัวเรื่องการทรยศหรอกนะ ขาวโลกอาจจะเป็นของยกเว้น… แต่บางทีหลังจากคืนนี้ไปอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็ได้”
กาเบรียลยิ้มขึ้น และส่ายหัวออกมาเป็นการบ่งบอกว่าเธอไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อีกแล้ว
“เอาล่ะถ้างั้นก็”
กาเบรียลได้รีบหันหน้าไปทางป้อมปราการ และเผยรอยยิ้มออกมา
“ตอนนี้ฉันได้ตอบคำถามคุณไปแล้ว ฉันขอตัวไปสนุกกับงานเฉลิมฉลองก่อนนะ… ฉันคงต้องขอตัวก่อนได้ใช่ไหม”
“?”
“คุณได้กลายเป็นฮีโร่ของสหพันธรัฐนับตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ฉันมั่นใจมากเลยว่าไม่ว่าจะเป็นใครในป้อมปราการนี้ต่างก็รู้จักชื่อคุณเป็นอย่างดี”
ซอลจีฮูเอียงหัวออกมา เขาก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเธออยากจะพูดอะไร
“บางเผ่าพันธุ์ก็อยากจะแสดงความขอบคุณในแบบของตัวเอง พวกเขาไม่ได้อยากจะทำอันตรายใดๆ แต่มันเป็นเพียงวัฒนธรรมของพวกเขา ดังนั้นอย่าคิดร้ายกับพวกเขานะ”
กาเบรียลได้จากไปพร้อมรอยยิ้มคลุมเคลือแบบนี้
แม้ในตอนแรกซอลจีฮูจะยังไม่ค่อนเข้าใจ แต่ไม่นานนักเขาก็จะได้รู้
เขาสังเกตว่ารอบตัวเขามีบางอย่างแปลกๆอยู่
คนต่างเผ่าพันธุ์จำนวนมากได้มารายล้อมเขา
ในตอนแรกเขาเห็นกลุ่มสาวงามที่นำโดยมนุษย์จิ้งจอกที่มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และรูปร่างอันยั่วยวน จากนั้นเขาก็เห็นเหล่าเด็กน้อย รวมทั้งเฮเรียวกับเฮย่าอีกด้วย กลุ่มเค้กข้าววสีสขาวกับสีเหลืองก็ยังส่ายหางมาหาเขาอย่างร่าเริง
พวกเธอทั้งหมดต่างก็รอคอยโอกาสที่จะได้เข้ามาพูดคุยกับเขา
“สวัสดีครับ…”
สาวงามมนุษย์จิ้งจอกได้พูดขึ้นเป็นคนแรก
เธอได้เดินเข้ามาหาเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มเขินอายบนใบหน้า
“หากคุณไม่ว่าอะไร ช่วยมากับเราสักเดี๋ยว…”
“เดี๋ยวก่อน~ รอก่อน~”
จากนั้นเส้นผมสีชมพูก็ได้ผ่านมาเบื้องหน้าซอลจีอุ
เทเรซ่าได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน ดูเหมือนเธอจะตามเขามาสักพักแล้ว
หญิงงามมนุษย์จิ้งจอกได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณเป็นใคร”
“เทเรซ่า ฮัสเซย์ เจ้าหญิงแห่งฮารามาร์ค”
เทเรซ่าพูดขึ้นอย่างมั่นใจพร้อมวางมือลงบนบ่าของซอลจีฮู
“แล้วชายคนนี้คือพระราชโอรสของกษัตริย์แห่งฮารามาร์ค หรือก็คือเขาเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ส่วนฉันคือเจ้าหญิงแห่งฮารามาร์คใ.. ตอนนี้คุณเข้าใจแล้วนะ?”
‘นี่ฉันไปเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’
ซอลจีฮูได้หันไปมองเทเรซ่าอย่างสับสน
สาวงามมนุษย์จิ้งจอกก็สับสนไปเช่นเดียวกัน
“ละ แล้ว”
“แล้วนั่นมันอะไรกัน ฉันจะบอกว่าเขาแต่งงานแล้วไง”
“ฉันคิดว่าคุณคงจะเข้าใจผิดนะ พวกเราแค่อยากจะคุยกับเขา”
“โอ้ งั้นสินะ ยังจะทำเป็นไขสืออีก ทั้งเธอแล้วก็ฉันต่างรู้กันดี แน่นอนว่ามันอาจจะเริ่มจากแค่การพูดขึ้น แต่จากนั้นก็จะมีอย่างอื่นขึ้นมาอีกแน่นอน”
เทเรซ่าได้กางแขนออกมา
“ฉันเคารพในวัฒนธรรมของพวกคุณ และฉันก็หวังว่าพวกคุณจะเคารพในวัฒนธรรมของเราด้วย กฎหมายของเราคือมีคู่สมรสเพียงคู่เดียว หากว่ามีการหลับนอนกับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา นั่นจะเท่ากับการทำผิดศีลธรรม และกฎหมายของเรา ฉันหวังว่าคุณคงจะไม่อยากให้วีรบุรุษแห่งสหพันธรัฐคนนี้ต้องมีเรื่องด่างพร้อยใช่ไหม”
เทเรซ่าได้พูดทั้งหมดนี้อย่างรวดเร็วราวกับจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ปฏิเสธเลย
สาวงามมนุษย์จิ้งจอกที่สับสนจนพูดไม่ทันได้แต่เงียบลงไป
“ชิ”
เธอได้เดาะลิ้นจากนั้นก็หันหน้าไป และกลุ่มสาวงามที่เหลือก็ยังจากไปด้วยความเสียใจเช่นกัน
“ฮึ่ม”
เทเรซ่าได้มองพวกเธอจากไปด้วยสายตาเป็นศัตรู จากนั้นเธอก็หันมามองข้างตัว
“เฮ้ พวกเธอน่ะ ได้ยินที่ฉันพูดไปแล้วใช่ไหม?”
เธอได้หันไปยิ้มอ่อนโยนให้กับเหล่าตัวน้อย และโบกมือให้กับพวกเธอ
“แบร่!”
“บู๋ ผมชมพู”
เฮเรียว เฮย่า แล้วก็เหล่าตัวน้อยที่เหลือต่างก็ทำหน้าล้อเลียนออกมา
“เชอะ”
เหล่ากลุ่มเค้กข้าวสีขาวกัวสีเหลืองก็ยังฮึดฮัดจากไป
“เจ้าหนูพวกนี้นี่”
เทเรซ่าแค่นเสียงออกมา และจับมือซอลจีฮูที่ยืนนิ่งสับสนไว้
“ทำไมนานจัง พวกเขาคุยเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“ระ เรื่องสำคัญน่ะ ไว้ฉันจะบอกทีหลังนะ”
“พวกแฟรี่ได้ขอให้นายแต่งงานเพื่อแลกกับพรแห่งภูติหรือเปล่า”
“อ่า… ก็ใช่ แต่ว่ากาเบรียลได้ปฏิเสธพวกเธอแทนฉันแล้ว”
“ดีมาก ตอนนี้ฮารามาร์คจะเป็นพันธมิตรกับเทวดาตกสวรรค์”
เทเรซ่าได้ลากมือซอลจีฮูเดินต่อ
“เจ้าหญิง เราจะไปไหนงั้นเหรอ”
“ไปที่ที่จะไม่มีปัญหา”
“โอเค แต่ว่าทำไมต้องถือมีดด้วยล่ะ”
“คุณซอลจีฮู นายคงจะไม่รู้สินะว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเลวร้ายขนาดไหน สหพันธรัฐโดยเฉพาะแฟรี่ถ้ำกับพวกกลุ่มมนุษย์สัตว์ไม่ใช่พวกที่จะวางแผนล่วงหน้า พวกเขาจะพุ่งเขาชนตรงๆ”
“พุ่งเข้าชน”
“ถูกแล้ว เห็นก่อนหน้านี้ไหมล่ะ พวกเธอกำลังจะกระโจนเข้าใส่นายแล้ว”
เทเรซ่าเบิกตากว้างเพื่อมองระวังรอบตัว และซอลจีฮูได้แต่หันหลังกลับไปอย่างเศร้าใจ
ความจริงคือ…
‘อยากจะกัดเค้กข้าวอีกจัง…’
เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เล่นกับก้อนขนนุ่มนิ่มน่ารักพวกนั้น
***
เช้าวันถัดมามนุษยชาติก็ได้ไปจากป้อมปราการไทกอล
พวกเขาได้เริ่มการเดินทางกลับบ้าน และสหพันธรัฐก็ได้มองส่งพวกเขาจากไป
ยังไงก็ตามก่อนที่พวกเขาจะจากมาได้เกิดอุบัติเหตุเล็กๆขึ้นที่ซึ่งต้นไม้โลกจับซอลจีฮูไว้ไม่ยอมปล่อยให้เขาไป จากนั้นก็มีบางคนได้บอกให้มนุษยชาติปล่อยซอลจีฮูไว้ และสถานการณ์ก็ได้แปรเปลี่ยนเกือบเป็นการต่อสู้กัน แต่จนท้ายที่สุดแล้วทุกๆอย่างก็ผ่านมาด้วยดีทำให้ซอลจีฮูถูกปล่อยตัวเดินทางไปที่อีวา
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่้เขาได้ทิ้งบางอย่างเอาไว้
เขาตัดสินใจที่จะวางแก่นแท้แห่งปริมาตรที่ได้มาจากเจดีย์แห่งความฝันไว้ข้างต้นไม้โลก
แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาได้รับการอนุญาติจากโรเซร่าในความฝันมาแล้ว
สหพันธรัฐก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
โรเซร่าจะเป็นตัวช่วยสำคัญกับสหพันธรัฐในกรณีที่ปรสิตจะบุกป้อมปราการไทกอลอีกครั้ง
ถึงร่างกายพวกเขาจะเหนื่อยจากการต่อสู้รุนแรง แต่เท้าที่ก้าวอยู่ของพวกเขาช่างเบาหวิว
ทุกๆคนต่างก็ตื่นเต้น พวกเขาได้รับชัยชนะครั้งใหญ่จากการต่อสู้กับปรสิต
มันเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะก้าวเดินอย่างรวดเร็ว แต่กว่าพวกเขาจะรู้ตัว อีวาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมซะแล้ว
ในคืนนั้นมนุษยชาติได้หยุดพักในระยะที่อีกแค่หนึ่งวันก็ถึงอีวาเพื่อตั้งแคมป์กันในป่า
ทุกคนได้มารวมตัวกันรอบกองไฟ และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาม หัวข้อหลักเลยก็คือแต้มคุณูปการ
ตัดสินจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว มันดูชัดมากว่าจะมีหลายคนได้เลื่อนเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง
ซอลจีฮูก็ยังคาดหวังไว้มากเช่นกัน
‘ระดับ 6 มันแน่นอน บางทีอาจจะไปถึงระดับ 7 ได้เลยด้วย… แถมอาจจะยังได้ข้ามการทดสอบอีกด้วย’
เขาวาดฝันไว้นานแล้วว่าจะกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษ ในคืนนั้นเขาตื่นเต้นและกังวลจนนอนไม่หลับ
ไม่นานนักเขาก็ต้องคลานออกมาจากเต็นท์ เขานอนไม่หลับ แถมยังหิวอีกด้วย
เขาอยากจะหาอะไรกินเล่นก่อนที่จะกลับไปนอน
แคมป์นั้นเงียบสนิท
แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้กังวลเรื่องการเฝ้ายามเลยเนื่องจากพวกเขาได้เดินทางพร้อมกับกองทัพทหาร
ซอลจีฮูที่หาของกินได้มองไปด้านข้างโดยไม่รู้ตัว
‘นั่นมัน…’
เขาสังเกตเห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดคลุมสีขาวแบบดั้งเดิมกำลังเอนหลังหลับตาพิงต้นไม้อยู่
“คุณแบคแฮจู”
แบคแฮจูลืมตาขึ้นเล็กน้อย
“ทำไมไม่นอนเหรอครับ”
“…”
หญิงสาวได้ก้มหัวลงเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร
เธอได้หลับตาลงไปอีกครั้ง
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้หลับเลย มันแค่ว่าเธอกำลังคิดอยู่กับตัวเอง
‘เธอเป็นคนแปลกๆนะ’
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจมองดูใบหน้าไร้อารมณ์ของแบคแฮจู
เธอดูจะไร้อารมณ์อยู่บ่อยครั้ง แต่บางครั้งเธอก็เรียกชื่อเขาหรือกระทั่งเล่นมุกระหว่างการต่อสู้อีกด้วย และจากนั้นตอนนี้เธอก็กลายเป็นเงียบไปอีกแล้ว
ความจริงแล้วในวันนี้ซอลจีฮูกับคนอื่นๆได้พยายามคุยกับแบคแฮจูตลอดการเดินทาง แต่แบคแฮจูแทบไม่ได้ตอบกลับมาเลย
เพราะท่าทีเย็นชาของเธอนี้ทำให้เธอดูโดดเดี่ยวมาก
แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ดูจะพอใจกับสถานการณ์ของเธอมาก…
‘ถึงแบบนั้นฉันก็ควรจะตอบแทนเธอ’
ซอลจีฮูได้สรุปออกมา
จากนั้นเขาก็ฮัมเพลงกับตัวเองพร้อมหยิบเอาเข็มขัดที่ได้จากเทเรซ่าออกมา
“ราเมนคือของว่างยามดึกที่ดีที่สุด”
นับตั้งแต่ที่เขาประสบกับความอดอยากในระหว่างการหลบหนีจากศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยนดัชชี่แล้ว เขาก็มีนิสัยยอมกักตุนอาหารติดตัว
เข็มขัดที่มีเวทมนต์รักษาสภาพเหมาะที่สุดแล้วที่จะเก็บอาหาร
“ลั๊ล ลาาา…”
ซอลจีฮูได้ฮัมเพลงพร้อมตั้งใจ และหยิบราเมนกับขวดน้ำเปล่าออกมา
‘ต้มน้ำให้เดือด ใส่น้ำให้พอดี เดี๋ยวนะฉันใส่อีกหน่อยดีกว่า แล้วตอนนี้ก็แค่รออีกสี่นาที…’
เขาได้ตั้งใจมากกว่าปกติ
ริมฝีปากซอลจีฮูได้โค้งเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นเส้นราเมนได้เริ่มเหลืองพอดี
ไข่ลวกด้านบนของราเมนยิ่งทำให้เขาน้ำลายไหล
‘ขอบคุณสำหรับอาหารครับ’
ซอลจีฮูได้ประสานมือด้วยกันก่อนที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมา
“ฟู่… ฟู่…”
เขาได้เจาะกลางไข่ และคีบเอาเส้นขึ้น
หลังจากเป่าเส้นราเมนร้อนๆแล้ว เขาก็ค่อยๆยกมันเข้าปาก
จากนั้นเอง
“ฟู่… หืม”
ซอลจีฮูกระพริบตาออกมาอย่างสงสัย
มีเงาทาบผ่านมาทับตัวเขา
เขาได้มองกลับหลังไปโดยไม่รู้ตัว และ…
“…”
แบคแฮจูที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้จู่ๆก็มายืนอยู่ข้างๆเขา ดวงตาของเธอกำลังจับจ้องไปที่… ราเมน
“คุณแบคแฮจู”
“…”
แบคแฮจูไม่ได้ตอบกลับมา
เธอยืนนิ่งจ้องมองราเมน
จมูกของเธอบานขึ้นเล็กน้อยจากกลิ่นหอมของราเมน
มันอาจจะเป็นเขาคิดไปเอง แต่เธอให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่าปกติเล็กน้อย
‘นี่เธอ… อยากกินราเมน’
ซอลจีฮูได้แต่เกาหัวออกมา
เขาค่อนข้างจะตกใจ
เขาไม่ได้ถามออกไปก็เพราะรู้ว่าเธอจะไม่ตอบ
“เอ่อ…”
ซอลจีฮูได้ส่งตะเกียบในมือให้กับแบคแฮจูอย่างสับสน
“เอาสักหน่อยไหมครับ?”
สายตาแบคแฮจูได้หันไปสนใจตะเกียบ
เธอได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างรวดเร็วจากนั้นก็จ้องที่ราเมนอีกครั้ง
“…”
อึก
เสียงกลืนน้ำลายได้ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบนี้