โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.375 – กรรมสิทธิ์ปราการชาตง

 

“ถ้าคุณต้องการจริงๆ ทุกอย่างจะตกเป็นของคุณ และฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือแย่งส่วนแบ่งใดๆ”

 

“เยี่ยม! งั้นมาร่างสัญญากันเถอะ”

 

“นี่คุณจริงจังจริงๆ?” เกาหยูคังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

 

สถานที่อันโหดร้ายอย่างทะเลเหนือ จู่ๆก็มีคนต้องการจับจองเป็นเจ้าของ ยินดีโอบกอดมันอย่างกะทันหัน

 

ฉินเฟิงพยักหน้า “ผมไม่ได้ล้อเล่น ด้วยความแข็งแกร่งของผม เงิน 30,000 ล้านไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่การได้เป็นเจ้าของอาณาเขต มันจะช่วยให้ผมควบคุมสถานที่ได้อย่างสมบูรณ์”

 

แน่นอน ประโยคข้างต้นเดิมสมควรเป็นเกาหยูคังที่กล่าว ทว่าน่าเสียดาย ที่แม้เขาจะได้เป็นผู้การรัฐ แต่อำนาจก็ยังถูกถ่วงดุลโดยผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ ยกตัวอย่างง่ายๆ แม้จะมีหนึ่งในนั้นตายไปแล้ว แต่ผลประโยชน์ก็ยังไม่ตกมาถึงมือของเกาหยูคัง

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าสำหรับเลเวล C ปราการชาตงมันเล็กเกินไป

 

“ตกลง ยังไงซะนี่ก็ช่วยให้ฉันประหยัดเงินขึ้นเยอะ”

 

เกาหยูคังกล่าว จากนั้นเขาและฉินเฟิงก็ทำสัญญากัน ถ่ายโอนอำนาจและความรับผิดชอบเต็มที่ของปราการชาตง

 

เงื่อนไขคือ : กลุ่มพันธมิตรมนุษยชาติยังคงให้การสนับสนุนไม่เปลี่ยนแปลง แต่ฉินเฟิงจะไม่ได้รับเงินเดือน

 

อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ทั้งหมดที่จะได้รับจากปราการชาตงจะตกเป็นของเขา ส่วนเกาฉิง เขายังได้รับเงินเดือนจากพันธมิตรมนุษย์อยู่ แต่ไม่ได้รับปันผลหรือส่วนแบ่งอื่นๆ

 

ในกรณีนี้ เท่ากับว่าปราการชาตงได้กลายเป็นสถานชุมชนแห่งที่สองของฉินเฟิง!

 

ด้วยการเจรจาเพียงครั้งเดียว เกาหยูคังและฉินเฟิง ทั้งคู่ต่างก็พอใจ พวกเขาจับมือกันและกล่าวคำอำลา

 

เกาหยูคังไม่คิดรั้งอยู่ เขาออกจากเมืองนุ่ยเหมิงในวันเดียวกัน และในค่ำคืนนั้น ชายอีกคนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นในเมืองนุ่ยเหมิง

 

เขาคือชายที่เป็นมือขวาของฉินเฟิง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด –ซูซิงฝู

 

ซูซิงฝูไม่ได้เดินทางมาที่นี่ด้วยฮอลศึก แต่เป็นฉินเฟิงที่เปิดทางเข้าสุสานเทพสงคราม และสั่งให้ซูซิงฝูเดินทางมาที่นี่โดยตรง ช่างสะดวกสบายนัก

 

การสร้างปราการชาตงขึ้นมาใหม่ ฉินเฟิงต้องการคนมาคอยจัดการอย่างน้อยหนึ่งคน และซูซิงฝู คือคนที่เหมาะสมที่สุด

 

“ผู้ว่าการเขต ไม่สิ ถ้าเป็นที่นี่สมควรเรียกว่าท่านนายพลถึงจะถูก” ซูซิงฝูยิ้ม

 

ฉินเฟิงตบบ่าซูซิงฝู “นั่งก่อนเถอะ มาหารือเกี่ยวกับแผนการกัน แน่นอน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการสร้างปราการชาตงเฉยๆหรอกนะ”

 

“จริงๆแล้วตรงนี้ฉันก็สงสัยเหมือนกัน ว่าท่านนายพลเมาหรือไรถึงเลือกทำแบบนี้”

 

สถานที่อย่างชาตง อาจล่มสลายได้ตลอดเวลา รอยแยกมิติปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง ต้องทราบนะว่ามันไม่ใช่สถานที่ๆดี

 

“ถ้าสมมติว่า พวกเราสามารถเปลี่ยนทะเลทรายแห่งนี้ ให้กลายเป็นทุ่งหญ้าหรือพื้นที่เพาะปลูกได้เล่า? คุณมีความเห็นว่าอย่างไร?”

 

“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก!” ปฏิกิริยาแรกของซูซิงฝูคือไม่เชื่อ เขาปฏิเสธทันควัน

 

แต่เมื่อซูซิงฝูมองไปยังใบหน้าของฉินเฟิง เขาก็เริ่มเกิดความลังเล

 

“คุณต้องการจะสื่ออะไรกันแน่? คุณสามารถทำได้จริงๆน่ะหรือ ช่วยบอกรายละเอียดให้ฉันฟังที!” ซูซิงฝูเริ่มรู้สึกตื่นเต้น

 

“นั่นคือไอเดียที่ตั้งใจจะทำ เอาไว้หลังจากผมได้ของบางอย่างกลับมา คุณจะได้เห็นเอง”

 

ขณะกล่าว ฉินเฟิงก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา

 

บนอุปกรณืสื่อสาร อาณาเขตทั้งหมดของทะเลทรายทะเลเหนือ ถูกร่างออกมาเป็นแผนที่ ปัจจุบันฉินเฟิงอยู่เหนือของทะเลทรายทะเลเหนือไปเล็กน้อย ชี้นิ้วลงบนแผนที่และกล่าวว่า “ผมต้องการสร้างปราการชาตงขึ้นใหม่ตรงนี้”

 

ตำแหน่งใหม่ อยู่ห่างจากที่ตั้งเดิมไปกว่า 10 ลี้

 

และนั่นเท่ากับขยับเคลื่อนเข้าไปใกล้ทะเลทรายมากกว่า 10 ลี้เช่นกัน

 

ซึ่งสำหรับมนุษย์ ตำแหน่งที่ตั้งแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับฉินเฟิง นี่จะกลายเป็นเอกลักษณ์ของปราการชาตงในปีต่อๆมา

 

และตั้งแต่ตอนนี้ จวบจนไปถึงอนาคต ปราการชาตง จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ถูกทำลายอีกต่อไป!

 

 

ปราการชาตงถูกก่อสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสนามรบไม่เคยรอใคร และชาตงเองก็ไม่ใช่สถานที่ชุมชน แต่เป็นป้อมปราการ พื้นที่ภายในมิต้องหรูหรานัก ล้วนเป็นบ้านเตี้ยๆ มีเพียงกำแพงเมืองเท่านั้นที่หนาแน่นทนทาน

 

ตรงส่วนกำแพงเมือง มันถูกปรับแต่งให้ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากเคยไปป้องกันกองทัพสัตว์ทะเลมาก่อน ฉินเฟิงเลยรู้สึกว่าวิธีวางแนวกำแพงป้องกันของเมืองไห่นั้นไม่เลว ตนจึงสั่งให้สร้างกำแพงเมืองเล็กๆขึ้นอีกชั้น ขยายออกไปวางหน้าปราการชาตง ทำเป็นทรงแนวครึ่งวงกลม ครอบคลุมทะเลทรายทะเลเหนือ นี่ก็เพื่อช่วยบดบัง , แยก และชะลอการรุกรานของสัตว์ร้าย

 

เพียงสัปดาห์เดียว ปราการชาตงก็ถูกก่อตั้งขึ้นอีกครั้ง ณ สุดขอบใกล้กับอาณาเขตของทะเลทรายทะเลเหนือ

 

เมื่อปราการสร้างเสร็จสมบูรณ์ อุปกรณ์ก็เริ่มถูกขนย้ายเข้ามา อาจเป็นเพราะมันอยู่ใกล้กับขอบทะเลทราย หรือบางทีเพราะการล่าช่วงที่ผ่านๆมาของฉินเฟิงโหดเหี้ยมเกินไป เลยไม่ค่อยมีสัตว์ร้ายบุกเข้ามา

 

ทางด้านไป๋หลี เธอมีภารกิจมากมายต้องลงมือทำ อย่างแรกเลยคือทุกวันเธอต้องแวะเวียนไปยังซากปรักหักพังของปราการชาตงเก่า เผื่อเกิดกรณีผุดรอยแยกมิติขึ้น จะได้สยบมันลง

 

แน่นอน ฉินเฟิงเองก็มิได้อยู่เฉย

 

“ผมจำเป็นต้องออกเดินทางสักพัก ช่วงเวลานี้ ไป๋หลีจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการต่อสู้  ส่วนคุณรับหน้าที่เป็นผู้พัฒนา เข้าใจไหม?”

 

ซูซิงฝูขมวดคิ้ว “คุณจะไปครั้งนี้ มีแผนอะไรรึเปล่า”

 

ฉินเฟิงผุดยิ้มจาง “คุณจะเชื่อไหม ถ้าผมบอกว่าจะไปหาต้นไม้มาปลูก?”

 

ซูซิงฝูส่ายมือ “ลืมมันเถอะ ถือซะว่าฉันไม่ได้ถามก็แล้วกัน”

 

ฉินเฟิงไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ในวันเดียวกันเขาได้เดินทางออกจากชาตง

 

แรกเริ่มเขาขับเมฆครามห่างจากอาณาเขตชาตง ก่อนจะเริ่มนำเครื่องลง

 

ไม่นาน แสงสีเงินก็ปรากฏขึ้น ก่อตัวเป็นช่องว่างมิติที่มีเสถียรภาพ ตามด้วยไป๋หลีก้าวออกมา

 

“จะเริ่มกันเลยไหม?”

 

ฉินเฟิงมองไป๋หลี

 

ไป๋หลีไม่เสียเวลาคิด วาดมือออกอย่างรวดเร็ว แสงสีเงินสาดไสว ก่อตัวขึ้นเป็นอีกช่องว่างมิติหนึ่ง

 

และช่องว่างที่ว่า มิได้เชื่อมต่อกับปราการชาตง

 

เช่นเดียวกับตอนที่ฉินเฟิงไปยังเมืองนุ่ยเหมิงก่อนหน้านี้ เบื้องหน้าเขาประตูมิติสู่สถานที่อื่น

 

“เนื่องจากฉันรู้แค่ตำแหน่งคร่าวๆ จุดที่โผล่ไปอาจอยู่สูงสักหน่อย ระวังตัวด้วยแล้วกัน” ไป๋หลีเตือน

 

ฉินเฟิงยกมือขึ้นทำท่าทางว่าโอเค และกระโจนเข้าไปในประตูมิติโดยตรง

 

ชั่วพริบตาเดียว ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกกลืนหายไป เฝ้ารอสักพัก ไป๋หลีก็ปิดมัน

 

ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงก็ผลุบออกจากช่องว่างมิติ และพบว่าใต้ฝ่าเท้าของเขา มันไม่มีอะไรให้เหยียบย่ำ เขามาโผล่กลางอากาศจริงๆ!

 

ยังไม่พอ รอบกายเขายังฟุ้งไปด้วยทะเลเมฆ

 

ทุกท่านคงพอจะจินตนาการได้ใช่หรือไม่ ว่าเขาโผล่มาในตำแหน่งที่สูงเพียงไร

 

ฉินเฟิงร่วงตกลงไปทันที

 

ทะลุผ่านก้อนเมฆ เสียงลมหวีดผ่านแก้วหู ในที่สุดแผ่นดินก็ปรากฏสู่สายตา

 

เบื้องล่างเขา คือป่าทึบอันกว้างใหญ่ สีเขียวมรกตดูละลานตา ลากยาวสุดสายตาราวกับเชื่อมต่อกับผืนฟ้า

 

“แกว๊กกก!”

 

เสียงขู่คำรามดังมาจากเบื้องหลังของฉินเฟิง

 

อันที่จริงอีกแค่ไม่กี่วินาทีฉินเฟิงก็ลงถึงพื้นแล้ว แต่เสียงคำรามของสัตว์ร้ายในเวลานี้ ไม่ว่าจะคิดยังไง ก็ย่อมไม่พ้นสัตว์ร้ายมีปีก

 

วู้มมม!

 

ฉินเฟิงเกร็งเท้า ย่ำลงในอากาศ ร่างเขาพลันกระชากไหว โฉบกายไปอีกทาง หางตาเหลือบมอง ว่าสิ่งมีชีวิตใดกันที่กำลังไล่ล่าตนเอง

 

ฉินเฟิงค้นพบว่าเบื้องหลังเขา เป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูดุร้าย

 

ทั้งเกรงว่ามันน่าจะมีความแข็งแกร่งในเลเวล C ปีกสยายกว้าง พุงใหญ่ย้อย ตรงส่วนหัวล้านมีขนเล็กน้อย

 

สภาพแลดูไม่น่ามอง

 

–เป็นอีแร้งเขมือบซาก!

 

สัตว์ร้ายที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในระดับหนึ่ง

 

ฉินเฟิงเดิมไม่คิดสนใจสัตว์ร้ายตนนี้ แต่เนื่องจากอยู่ในอากาศ ความเร็วของเขาจึงไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้

 

“แส่หาเรื่องนัก งั้นก็จัดไป!”

 

“โอบกอดทมิฬ!”

 

ฟุ่มมมม!

 

ในอากาศ เมฆดำลอยคลุ้งทันใด มันมืดมิดน่าหวาดกลัว หากแหงนมองจากเบื้องล่าง คล้ายกับพายุกำลังก่อตัว

 

แน่นอน ‘บางคน’ ก็สามารถตระหนักถึงมันได้เช่นกัน ว่านี่คืออบิลิตี้มืด

 

เมื่อโผล่มายังที่ใหม่ ฉินเฟิงไม่มีความตั้งใจใดๆที่จะปิดซ่อน

 

อีแร้งเขมือบซากถูกปกคลุมไปด้วยหมอกมืด สองปีกชะงักงันไปชั่วขณะ ส่วนฉินเฟิง เขาเกร็งตัว ทิ้งดิ่งลงอย่างรวดเร็ว

 

ยิ่งเร็วเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสามารถมองเห็นพื้นโลกเบื้องล่างได้มากเท่านั้น

 

และอย่างที่บอกไป มันคือป่าหนาทึบจริงๆ!

 

ไม่ว่าจะเป็นในสามเฉิง หรือสี่เมืองทะเลเหนือ ทิวทัศน์แบบนี้ไม่มีให้เห็น

 

แต่ปัจจุบัน ฉินเฟิงมิได้อยู่ในเขตเหล่านั้น

 

ช่องว่างมิติที่ไป๋หลีเปิดขึ้น มันได้ชักนำฉินเฟิงมาสู่อีกซีกโลกหนึ่ง!