ตอนที่ 866 เข้าสู่หุบเขา

Elixir Supplier

ราคายังถือว่าพอรับได้สําหรับชายชรา

“พ่อดื่มน้ำแล้วจะนอนสักหน่อยไหม?”

“พ่อไม่เหนื่อยเท่าไหร่”หวังยี่หลงพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเขาไปที่คลินิกเขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยแต่หลังจากทานยาและฝังเข็มไปแล้วเขาก็รู้สึกกระฉับกระเฉงและเหนื่อยน้อยลง

“ถ้าอย่างนั้นผมไปที่แปลงสมุนไพรก่อนนะ”

“ไปเถอะ”

นอกจากงานที่เขาทําอยู่แล้ว หวังเจ๋อเชิงยังสนใจเรื่องการปลูกสมุนไพรด้วยหวังเย้าพูดเอาไว้ว่าตราบใดที่สมุนไพรสามารถเก็บเกี่ยวได้พวกมันก็สามารถนําไปขายได้ราคาหวังเย้ารู้จักกับ โรงงานผลิตยาที่ถูกสร้างขึ้นในเมืองเมื่อไม่นานมานี้แล้วเขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของของที่นั่นด้วยเมื่อถึงเวลาซื้อสมุนไพร ชาวบ้านในหมู่บ้านของเขาจะได้รับสิทธิพิเศษก่อนใครเพื่อนส่วนตอนนี้ในหมู่บ้านมีแค่เขากับหวังเฟิงหมิงเท่านั้นที่ปลูกสมุนไพร และพวกเขายังขยายการปลูกเพิ่มด้วย

สมุนไพรที่ปลูกไว้บนเขาเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี

หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว หวังว่าฉันจะขายได้ราคาดี

ในหมู่บ้านบนเขา มีรายได้เข้ามาแค่ไม่กี่ทางเท่านั้น พูดกันว่า ใครอยู่ใกล้ภูเขาก็พึ่งพาอาศัยภูเขาใครอยู่ใกล้ต้นน้ำก็หากินกับต้นน้ำ สิ่งที่เรียกว่าทําเงินจากภูเขาก็คือการปลูกพืชผักและต้นไม้ตอนนี้ยังมีวิธีหาเงินอีกทางหนึ่งนั่นก็คือการปลูกสมุนไพร

ไกลออกไปหลายพันไมล์ในยูนนานใต้ ภายในป่าลึก มีรถคันหนึ่งกําลังขับเข้าไปอย่างช้าๆตัวถนนเต็มไปด้วยดินโคลนและคับแคบ มันสามารถให้รถขับไปได้ที่ละคันเท่านั้นทั้งยังมีขรุขระไม่ราบเรียบ

ภายในตัวรถ หยางกวนเฟิงและชายหนุ่มอีกวัยประมาณสามสิบนั่งอยู่

“ให้ตายเถอะ นี่มันถนนแบบไหนกัน? นี่เป็นถนนที่คนในหุบเขาพันโอสถใช้เข้าออกจริงๆเหรอ?”ชายหนุ่มพร่ําบ่นด้วยความหงุดหงิด “โชคดีที่พวกเขามีรถโฟรวีลถ้าไม่อย่างนั้นคงเข้ามาไม่ ได้”

เขาถอนหายใจ การเดินทางบนถนนหนทางแบบนี้ทําให้กันของเขาระบมไปหมดแล้ว

“ไม่รู้ทําไมถึงยังมีคนมาอาศัยอยู่ในที่แบบนี้ได้”

“นี่ เล็กบ่นได้แล้ว ก่อนจะมาที่นี่ ผมได้ตรวจสอบในบันทึกของเขตนี้ดูแล้วแต่เดิมหุบเขาพันโอสถได้ใช้หุบเขาเป็นฐานที่มั่นของพวกเขาแล้วยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 400 ปีเลยนะ”

“มากกว่า 400 ปี? นั่นมันสมัยราชวงศ์หมิงใช่ไหม?” ชายหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ

“อย่างต่ก็ราชวงศ์หมิง หรืออาจจะก่อนหน้านั้น” หยางกวนเฟิงพูด

“ไม่คิดว่าพวกเขาจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานได้ขนาดนั้น!”

“ตอนที่คุณเข้าไป ให้ระวังเรื่องค่าพูดให้ดี อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าได้พูดออกไปแล้วอะไรที่ไม่ควรทําก็ห้ามทําเด็ดขาด”

“ผมเข้าใจแล้ว พูดให้น้อยและทําตามที่หัวหน้าสั่ง”

“ดี” หยางกวนหมิงพยักหน้าและจุดบุหรี่สูบ

“หัวหน้า เราจะเจออันตรายไหม?” อยู่ๆชายหนุ่มก็ถามขึ้นมา

“จะมีอันตรายอะไรล่ะ?”

“ไม่ใช่ว่าพวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องพิษหรอกเหรอ? พวกเราเข้าไปทั้งๆแบบนี้แล้วจะไม่โดนฆ่าตายโดยไม่รู้ตัวหรอกเหรอ? หลังจากที่พวกเราออกไปจากที่นี่ได้สักปีสองปีอยู่ๆเกิดมีแมลงระเบิดขึ้นในร่างกายของเราจะทํายังไง?พวกมันอาจจะคลานออกมาทางตา, หู, และจมูกแล้วก็กัดกินอวัยวะภายใน,เนื้อหนัง, แล้วก็ดูดเลือดจนเกลี้ยง เราคงต้องตายอย่างทรมานมากแน่ๆ

“ผมบอกคุณไปตั้งนานแล้ว ว่าให้อ่านิยายพวกนั้นให้น้อยลงหน่อย” หยางกวนหมิงพูด“พออ่านมากเข้าคุณก็เอามาจินตนาการเป็นตุเป็นตะไปหมดแบบนี้”

“แล้วหนอนคู่มันคืออะไรเหรอครับ?” ชายหนุ่มถาม

“ผมเดาว่า มันน่าจะเป็นแมลงพิษชนิดพิเศษ บอกตามตรง ผมไม่อยากเห็นมันเท่าไหร่หรอกนะ” หยางกวนหมิงพ่นควันบุหรี่ในขณะที่พูดอยู่

รถยังคงขับเคลื่อนเข้าไปในป่าลึกอย่างทุลักทุเล และถนนก็ดูเหมือนจะแคบลงเรื่อยๆ

“หรือข้างหน้าจะไม่มีถนนแล้ว?”

ในตอนที่ชายหนุ่มกําลังเป็นกังวลอยู่นั้น ถนนด้านหน้าก็ดูเหมือนจะกว้างและราบเรียบขึ้นรถจึงเคลื่อนต่อไปได้อย่างราบรื่น

ภายในป่า มีเงาสายหนึ่งวาบผ่านไปบนยอดไม้

“คุณได้ยินเสียงอะไรไหม?” หยางกวนเฟิงเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่อยู่รอบตัวเขา

“เสียง? เสียงอะไร? ผมไม่เห็นได้ยินเลย!”

“ผมอาจจะหูฟาดไปเองก็ได้” หยางกวนหมิงมองออกไปด้านนอก

พวกเขาขับเข้ามาในป่าโดยใช้เวลาไปสามชั่วโมงครึ่ง กว่าที่พวกเขาจะมองเห็นหุบเขาแต่ทางเข้าหุบเขามีแม่น้ำสายใหญ่ขวางกั้น โดยมีสะพานแขวนให้ข้ามไปได้เท่านั้นไกลออกไปมีรั้วไม้กั้นทางเข้าออกเอาไว้

“ที่นี่แหละ” หยางกวนเพิ่งพูด

“พระเจ้า ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสักที”

สะพานแขวนไม่ได้กว้างมากนัก มันกว้างไม่ถึง 2 เมตรด้วยซ้ํา ยานพาหนะจึงไม่สามารถผ่านไปได้พวกเขาจึงทําได้แค่ลงจากรถและเดินไปเท่านั้น

“โอ๊ย กระดูกผมแตกไม่เหลือชิ้นดีแล้ว” ชายหนุ่มยืดเนื้อยึดตัว

“หัวหน้า?” เขามองไปทางหยางกวนเพิ่งที่กําลังมองไปรอบๆหุบเขาอยู่

หยางกวนเพิ่งสังเกตโดยรอบอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “ที่นี่อันตรายมันง่ายต่อการป้องกันและโจมตีได้ยาก

“ที่หัวหน้าว่าอันตรายมันคือแบบไหนเหรอครับ? ตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว? ถ้ามีเครื่องบินหลายล่าบินมาที่นี่สถานที่อันตรายที่ว่าก็คงจะราบเป็นหน้ากลอง”

“ตอนอยู่บนรถ ผมบอกคุณว่ายังไง? ระวังปากตัวเองเอาไว้ให้ดี? เข้าไปข้างในกันได้แล้ว”

แกร็ก!แกร็ก!แกร็ก!แกร็ก! สะพานแขวนสั่นไหวตามการเดิน

ด้านล่างสะพานคือแม่น้ำเชี่ยวกราก

“หวังว่ามันจะไม่พังก่อนนะ!”

“หุบปากของคุณซะ!” หยางกวนเพิ่งคาราม

ทั้งสองเดินข้ามสะพานแขวนด้วยความหวาดระแวง ด้านนอกหุบเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งกําลังยืนรออยู่

“สวัสดี ผมชื่อเมี่ยวชิงเฟิง ยินดีต้อนรับสู่หุบเขาพันโอสถ”

“ขอบคุณ” หยางกวนหมิงพูดก่อนที่เขาจะแนะน่าตัว

“เชิญ” เมียวชิงเฟิงนําทางพวกเขาอยู่ด้านหน้า และพาพวกเขาเข้าไปด้านในหุบเขา

บ้านแต่ละหลังในหุบเขาถูกสร้างตามลักษณะของพื้นที่ ทั้งหมดเป็นบ้านไม้และมีอาคารหลักอยู่หนึ่งหลังไม่มีอาคารที่สร้างจากคอนกรีตให้เห็นทําให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติและดั้งเดิมคนในหุบเขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่ดูเหมือนจะมาจากการทอด้วยมือ แม้แต่รถจักรยานสักคันก็ไม่มีให้เห็นคนนอกทั้งสองดูเหมือนกับคนในยุคปัจจุบันที่ถูกส่งไปยังโลกยุคโบราณ

“ที่นี่?”

“ขอโทษนะครับ ที่นี่พวกคุณมีทีวีกับคอมพิวเตอร์ไหมครับ?” ชายหนุ่มถาม

“มีครับ แต่ไม่มาก” เมี่ยวชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ ก็ยังดีผมคิดว่าตัวเองย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณซะแล้ว!”

เมียวชิงเฟิงเดินนําพวกเขามายังบ้านไม้หลังใหญ่ที่สุดในหุบเขาแห่งนี้

“รอสักครู่นะครับ ผมจะเข้าไปแจ้งกับเขาก่อน”

“ได้ครับ”

ไม่นาน เขาก็เดินออกมาจากบ้านปละเชิญพวกเขาเข้าไป ภายในบ้านไม้พวกเขาเห็นชายวัยกลางคนที่ดอายุราวสี่สิบใบหน้าของเขามีสีเหลืองออกทองจางๆและแววตาที่เป็นประกาย

“ยินดีต้อนรับแขกจากแดนไกล”

“ขอโทษที่ต้องมารบกวนนะครับ” หยางกวนเฟิงพูด

“ผมชื่อ เมี่ยวซีเหอ ผมเป็นผู้นําของป้อมการภูเขาแห่งนี้ มีเรื่องอะไรที่ทําให้แขกผู้มีเกียรติทั้งสองถึงกับต้องเดินทางไกลขนาดนี้ได้?”

“เอ่อ เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ ห่างจากที่นี่ไปหลายร้อยไมล์ ได้เกิดคดีใหญ่คดีหนึ่งขึ้นแล้วมีหลักฐานจากการชันสูตรศพที่พบว่า มันมีความเกี่ยวข้องกับหุบเขาพันโอสถแห่งนี้พวกเราเลยต้องเดินทางมาสืบที่นี่เพื่อว่าเราจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม”หยางกวนเฟิงพูดออกมาโดยไม่คิดปิดบัง

“ลักษณะของผู้ตายเป็นแบบไหนเหรอครับ” เมี่ยวซีเหอถาม

“การตายของพวกเขาไม่มีอะไรผิดปกติเลย แต่มีการพบพิษอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาครับ”หยางกวนเฟิงตอบ

เมี่ยวซีเหอเงียบไปครู่หนึ่ง

“ผมไม่รู้ว่าคุณได้ข้อมูลมาได้ยังไง แต่คุณแน่ใจได้ยังไงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเรา?”

“ผมต้องขอโทษด้วยที่บอกเรื่องนี้กับคุณไม่ได้” หยางกวนเพิ่งพูด เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเขากําลังพึ่งพาข้อมูลชิ้นเดียวที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของมันด้วยซ้ํา

“ถ้ายังไง ให้ชิงเฟิงพาพวกคุณเดินดูรอบๆดีไหม เผื่อว่าพวกคุณอาจจะได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ก็ได้?”

“ดีครับ ผมคงต้องรบกวนพวกคุณแล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจ”

หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากบ้านไม้แล้ว พวกเขาก็เริ่มเดินไปรอบๆหมู่บ้านในฐานะที่เม่ยวชิงเฟิงเป็นคนน่าทางเขาได้แนะนําภาพรวมของหมู่บ้าน เช่น มีคนอาศัยอยู่จํานวนเท่าไหร่และปกติพวกเขาจะทําอะไรกันบ้าง

ในตอนที่หยางกวนเฟิงฟังไปอยู่นั้น เขาก็คอยสํารวจผู้คนภายในหุบเขาไปด้วยพวกเขายังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรม, พวกเขาดํารงชีวิตอยู่ด้วยการทํานา,ทํางานเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น,และพักผ่อนหลังพระอาทิตย์ตกดินสิ่งที่เห็นจากใบหน้าของพวกเขาก็คือความสงบสุขและพึ่งพอใจ
นี่อาจจะเป็น “สรวงสวรรค์” อย่างที่เถาหยวนหมิงพูดเอาไว้

*เถาหยวนหมิงกวีเอกในสมัยราชวงศ์ตงจิ้น*

“ทําไมที่นีถึงถูกเรียกว่า หบเขาพันโอสถ เหรอครับ?” อยู่ๆหยางกวนเฟิงก็ถามขึ้นมา

“เพราะที่นี่มีสมุนไพรอยู่นับพันชนิดยังไงล่ะครับ” เมี่ยวซึ่งเพิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม

“นับพันชนิด? เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ใช่ครับ ภูเขาที่อยู่รอบๆพวกเราเต็มไปด้วยสมบัติ คุณคงจะรู้ว่ายาของเขตเมียวมีชื่อเสียงขนาดไหนในหุบเขาแห่งนี้มีวิธีการทํายาเฉพาะของชาวเมียวอยู่ถ้าพวกคุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนก็บอกพวกเราได้เราสามารถจ่ายยาให้คุณที่นี่ได้เลยผมรับประกันว่าคุณจะหายดีแน่นอน”

“จริงเหรอ?”

“จริงสิครับ”

“เอ่อคือ ช่วงนี้ผมมีอาการปวดคอ” ชายหนุ่มพูด “คุณช่วยดูให้หน่อยได้ไหมครับว่ามันเป็นเพ ราะอะไร?

“ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอกครับ ไปกันเถอะ ผมจะพาคุณไปหาคนที่รู้เรื่องเอง” เมี่ยวชิงเฟิงพูด

เพี้ยะ! หยางกวนเฟิงตบศีรษะด้านหลังของชายหนุ่ม

“โอ๊ย ผู้กองทําไมอะไรน่ะ? เอ่อ ผมขอโทษ ผมขอโทษครับ!”

เมี่ยวชิงเฟิงพาทั้งสองมาที่บ้านไม้ไผ่หลังหนึ่ง ด้านในมีชายชราวัยหกสิบอยู่คนหนึ่งผมของเขาเป็นสีขาวทั้งหัวแต่กลับยังดูกระฉับกระเฉงดีเขาดูประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเดี๋ยวชองเพิ่งพาคนมาด้วยอีกทั้งยังเป็นคนที่แต่งตัวแตกต่างไปจากคนที่นี่