ตอนที่ 304 หึงหวง
ตอนที่ 304 หึงหวง

“องค์ชายสาม รีบเปิดดูเถิดเพคะ ด้านในคือหลักฐาน!” สวีซูกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

ซูหวานหว่านเริ่มกังวล “องค์ชายสาม เจ้า…”

“ถ้าอย่างงั้นเหตุใดคุณหนูจ้าวถึงมันไม่เปิดมันดูด้วยตัวเองเล่า?” สวีซูเอ่ยพลางพร้อมยิ้มบางและกระซิบข้างหูของซูหวานหว่านว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้สังเกตหรือว่าเช้านี้สาวใช้คนสนิทของข้าหายไป แน่นอนว่าเจ้าต้องรู้แน่นอนว่าของข้างในกล่องคือสิ่งใด ข้าเลยใช้โอกาสนี้ให้เจ้าแสดงความรักกับผู้ชายสักสองสามคนต่อหน้าองค์ชายสามจนเขาลืมไปเลย”

ว่าแล้วว่าอีกฝ่ายรู้ทันตน! ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว ส่วนริมฝีปากของสวีซูกระตุกขึ้นเล็กน้อย “ข้าอยากให้เจ้าหนีไปอีกสองสามวัน แต่ใครจะคิดว่าหลังเจ้าหนีออกมาแล้วจะมาหาข้าถึงหน้าประตูได้! มันทำให้ข้าตกใจจริง ๆ”

“…” ซูหวานหว่านมองไปที่สวีซูและเงียบไป

เมื่อเห็นท่าทางของซูหวานหว่าน สวีซูก็พึงพอใจมาก นางวางกล่องไม้ในมือของซูหวานหว่าน และทำท่าทางเหมือนจะกำลังจะร้องไห้ “ทำไมคุณหนูจ้าวถึงไม่ยอมเปิดออก? นี่คือหลักฐานยืนยันว่าตระกูลจ้าวไม่ได้ทำอะไรผิด!”

“นางไม่อยากรับก็ช่างปะไร! ส่งมันมาให้ข้า!” หลังจากนั้นฉีเฉิงเฟิงก็รับกล่องไม้ไปถือเอาไว้เอง

สวีซูรอดูว่าฉีเฉิงเฟิงจะทำอย่างไรต่อไป ทว่าชายหนุ่มทำเพียงชำเลืองมองกล่องไม้ใบนั้น หากแต่ก็ไม่ได้ทำสิ่งใดต่อ ก่อนที่เขาจะส่งกล่องไม้ให้กับผู้ติดตามของตนเองและกล่าว “นำกลับไปที่ตำหนัก แล้วเอามันไปเผาซะ!”

หลังจากพูดออกมาเช่นนั้น ฉีเฉิงเฟิงก็เหลือบมองซูหวานหว่านด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า “คุณหนูจ้าว… ไป ข้าจะพาตัวนางไปส่งที่ศาลต้าหลี่เอง!”

“เอ่อ…” สวีซูตกใจ ทำไมเหตุการณ์ถึงไม่เหมือนกับสิ่งที่นางคิดเอาไว้ หากนำกลับไปที่ตำหนักองค์ชายสามแล้วเปิดดู คนใช้อาจจะถูกวางยาแทน และฉีเฉิงเฟิงก็จะ… งั้นนาง…

ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว สวีซูอยากจะห้ามเอาไว้แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี เมื่อมองดูอีกครั้ง นางก็เห็นว่าฉีเฉิงเฟิงได้เดินออกไปแล้ว สวีซูจึงรีบเดินตามออกไปทันที

ก่อนจะออกจากจวนแม่ทัพ ฉีเฉิงเฟิงก็หยุดฝีเท้าและหันกลับไปสบตาของสวีซู ทันใดนั้นฉีเฉิงเฟิงก็แสยะยิ้มและพูดออกมาว่า “คุณหนูสวี เรื่องขับไล่วิญญาณชั่วร้ายเมื่อวานนี้ข้าได้ยินจากขันทีของข้าแล้ว ว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นข้าที่เข้าใจเจ้าผิดไป เมื่อวานจึงเผลอพูดจาไม่ดีออกไป โปรดอย่าถือสาข้าเลย”

“เหตุการณ์เมื่อวานนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามิได้มีปัญหาใด” หัวใจที่ว่าวุ่นของสวีซูพลันสงบลง แววตาที่เคยมองไปยังซูหวานหว่านด้วยความยั่วโมโห แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและเอ่ยว่า “องค์ชายสาม ซูเอ๋อร์รู้สึกไม่ค่อยสบาย คงไม่ออกไปไหนแล้ว ท่าน…”

“งั้นเจ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะเยี่ยมเจ้าใหม่” หลังจากพูดจบก็สั่งสาวรับใช้ว่า “คุณหนูสวีได้รับบาดเจ็บจากเรื่องเมื่อวานนี้ พวกเจ้ากลับไปที่ตำหนักของข้านำโสมอายุหนึ่งร้อยปีที่ข้าซื้อไว้เมื่อปีที่แล้วมาทำยาบำรุงให้กับคุณหนูสวีได้ดื่มเพื่อชำระพิษในร่างกาย”

“เพคะ” คนรับใช้ตอบรับ โดยมองไปที่คุณหนูสวีซูด้วยแววตาประจบสอพลอราวกับว่าสวีซูจะกลายเป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายสาม สายตาของสาวรับใช้เปล่งประกายระยิบระยับ สวีซูที่ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกพอมาก จึงพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง และมองดูฉีเฉิงเฟิงและคนอื่น ๆ เดินออกไป

หลังจากเดินออกมาจากจวนแม่ทัพได้สักพัก พวกเขาก็ยังไม่พบเจอรถม้าสักคัน ชายหนุ่มเดินนำอยู่ด้านหน้า โดยมีซูหวานหว่านเดินตามอยู่ด้านหลัง …โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองได้ชะลอฝีเท้าลงทำให้ระยะห่างระหว่างสองคน ห่างออกไปไกลกว่าเดิม

ทุกคนเดินออกมา และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาในวันนี้ พวกเขาจึงแสดงท่าทีเฉยเมยต่อซูหวานหว่านและเดินนำหน้านางขึ้นไปทันที

ท่าทางของฉีเฉิงเฟิงกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อเดินถึงรถม้า เขาก็หันหลังกลับอย่างช้า ๆ เห็นซูหวานหว่านยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นไม่ขยับเขยื้อน สายตาเหม่อลอยออกไปไกล ฉีเฉิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และเมื่อมองไปก็เห็นนางกำลังมองมายังเขา

ทันทีที่รู้ว่าซูหวานหว่านโกรธ ชายหนุ่มหมายจะเดินเข้าไปหานาง หากแต่ก็มีคนเดินเข้ามาขวางเอาไว้และกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันจะเป็นคนไปสั่งสอนนางเอง! ท่านไม่จำเป็นต้องต้องลงมือด้วยตัวเอง หม่อมฉันจะจัดการเอง!”

หลังจากพูดออกมาอย่างนั้น ชายร่างเล็กคนนั้นก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาซูหวานหว่าน และเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มประชดประชัน “คุณหนูจ้าว เหตุใดเจ้าถึงหน้าด้านแบบนี้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลจ้าวตอนนี้เป็นอย่างไร เจ้ายังมาแสดงกิริยาไม่สำรวมต่อฝ่าบาทอีก! ถุย!”

“…”

ซูหวานหว่านยังคงนิ่งเฉย แต่สีหน้าของนางพลันเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ ฉีเฉิงเฟิงก้าวเดินไปหานางอย่างช้า ๆ แต่พอเห็นสีหน้าของซูหวานหว่าน เขาก็ตอกหน้าชายคนนั้นว่า “ข้าจำได้ว่าที่คอกม้ายังขาดแรงงานอยู่หนึ่งคน เจ้าจงไปอยู่ที่นั่นซะ”

คอกม้า… งานที่คอกม้าเป็นงานหนัก! คนรับใช้คนนั้นไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉีเฉิงเฟิงถึงทำแบบนี้ จนกระทั่งคนใช้คนนั้นเห็นฉีเฉิงเฟิงจับไปที่ใบหน้าของซูหวานหว่านไว้ เขาถึงได้ตระหนักรู้!! ใบหน้าของเขาพลันซีดลงทันที เพราะมันคงยากนักที่จะแก้ตัว!

คนใช้คนนั้นกำลังเอ่ยขอร้องอ้อนวอน แต่ก็เห็นฉีเฉิงเฟิงกลับยิ้มและพูดกับซูหวานหว่านว่า “อย่าโกรธไปเลย ข้าลงโทษเขาให้เจ้าแล้ว พวกเรากลับไปพักผ่อนกันเถอะ”

ใครจะคิดว่าฉีเฉิงเฟิงจะไม่โกรธด้วย! และยังอารมณ์ดีแบบนี้อีก! อีกทั้งยังยิ้มอย่างสดใสให้ซูหวานหว่าน! แสดงว่าตอนอยู่ภายในจวนแม่ทัพเขาแกล้งทำอย่างงั้นหรือ? เมื่อคิดได้แบบนี้ เหล่าคนใช้ก็เพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นมันโง่เขลามาก ตอนนี้จึงรู้สึกเสียใจขึ้นมา

คนใช้คนนั้นคิดว่าซูหวานหว่านจะต้องโต้กลับชายหนุ่ม หากแต่เขากลับเห็นหญิงสาวเหลือบมองฉีเฉิงเฟิงแวบเดียวก่อนจะหันหลังเดินไปที่อื่น

“สาวน้อย เจ้าจะไปไหน? ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเถิด?”

ฉีเฉิงเฟิงรีบเดินตามนางออกไปและคนขับม้าก็เดินตามไปทันที “ฝ่าบาท ท่านต้องการใช้รถม้าหรือไม่?”

ฉีเฉิงเฟิงก็หันกลับไปมองแล้วตอบว่า “ไปให้พ้น!”

หลังจากพูดอย่างนั้น ฉีเฉิงเฟิงก็เดินตามซูหวานหว่านไปทันที หญิงสาวไม่ได้สนใจอีกฝ่าย แต่นางกลับเร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนฉีเฉิงเฟิงก็ก้าวเท้าให้ยาวกว่าเดิมและเดินตามซูหวานหว่านไป หลังจากที่เอ่ยถามอยู่หลายครั้ง นางก็ยังคงเฉยเมินต่อเขา ชายหนุ่มจึงส่งเสียงออกมาและเหลือบมองไปที่ซูหวานหว่าน เขาทุบหน้าอกของตัวเอง “ให้ตายสิ! ร่างกายของข้าดูเหมือนจะอ่อนแอ คล้ายจะไม่สามารถขยับตัวได้…”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ความรู้สึกกังวลก็เกิดขึ้นภายในใจและลืมสิ่งที่ฉีเฉิงเฟิงพูดตอนอยู่ภายในจวนแม่ทัพไปชั่วขณะ นางรีบหันกลับไปถามเขาด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรไป?”

มือของซูหวานหว่านวางลงบนไหล่ของฉีเฉิงเฟิง ชายหนุ่มจึงถือโอกาสนั้นรั้งตัวของหญิงสาวเอาไว้ในอ้อมกอด ทำให้ซูหวานหว่านถูกฉีเฉิงเฟิงกอดอย่างแนบแน่น ก่อนที่ฉีเฉิงเฟิงปิดตาลงช้า ๆ หายใจหอบและถี่ขึ้น ซึ่งทำให้ซูหวานหว่านเป็นกังวลมาก นางเขย่าตัวฉีเฉิงเฟิงและตะโกนออกมาว่า “ฉีเฉิงเฟิง อย่าทำให้ข้าตกใจนะ!”

ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “มันร้อนมาก…”

ร้อน? ซูหวานหว่านนึกถึงอะไรบางอย่างได้ “อย่าบอกนะว่าเจ้าเผอิญไปเปิดกล่องไม้นั่นเข้าแล้ว”

“ใช่แล้ว ข้าก็รู้สึกว่ามันแปลก ๆ เลยเปิดมันออกเพื่อที่จะดูของข้างใน ใครจะไปรู้ว่าในนั้นจะมีเพียงควันเท่านั้น และก็ไม่มีอะไรอีกเลย!” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาอย่างทรมาน เหลือบมองไปที่ซูหวานหว่าน ร่างกายของชายหนุ่มทรุดตัวลงบนพื้น ทำให้ซูหวานหว่านตกใจมาก หญิงสาวกอดฉีเฉิงเฟิงเอาไว้และได้และได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ

ในตอนนี้ ซูหวานหว่านไม่มีอารมณ์ที่จะมาโกรธแล้ว นางกอดฉีเฉิงเฟิงไว้และพยายามมองหารถม้า แต่ว่าคนขับรถม้าได้ขับออกไปแล้ว!

ไม่มีคนรับใช้องค์ชายสามอยู่เลย!

ซูหวานหว่านแอบกังวลภายในใจว่านางไม่สามารถส่งฉีเฉิงเฟิงกลับไปที่ตำหนักได้ทันที!

หากฉีเฉิงเฟิงเริ่มแสดงอาการ ฉีเฉิงเฟิงจะไม่ลงมือทำอะไรกับนางตรงนี้หรือ?

ซูหวานหว่านรู้สึกหงุดหงิด และก้าวเดินเร็วขึ้นพร้อมกอดฉีเฉิงเฟิงเอาในอ้อมแขนของนาง ทันใดนั้นนางก็พบว่าฉีเฉิงเฟิงกำลังใช้มือของตัวเองแตะไปที่คอของนางอยู่ และลูบไล้ไปมา!

“สาวน้อย ข้า…ข้าอยาก…”