เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1203 ไร้ยางอายอย่างที่สุด

แปลโดย iPAT

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลัวหรือไม่? แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าเจ้ากล้าหรือไม่!” ผู้อมตะเผ่าไป่ซูเย้ยหยัน

เขามีสายเลือดเผ่าไป่ซูและมีจักรพรรดิสวรรค์ไป่ซูอยู่เบื้องหลัง กระทั่งชูตู๋ก็ไม่สามารถกดขี่เขา

ฟางหยวนมองคนผู้นี้โดยไม่เกรงกลัว

เห็นได้ชัดว่าการขโมยรังอินทรีย์ของฟางหยวนทำให้เกิดความเกลียดชังขึ้นในกลุ่มผู้อมตะเผ่าไป่ซู

ฟางหวนกวาดตามองไปรอบๆและเห็นความสงสัยในตัวเขาจากคนอื่นๆโดยเฉพาะเซี่ยอู่เหิง

‘ไม่สู้!?’

‘เขาเป็นคนเช่นไร?’

‘ขี้ขลาด!’

‘ฮ่าฮ่า ข้าไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหว’

‘ในอนาคตเมื่อเรื่องราวของข้าถูกบันทึก การเอาชนะตัวละครเล็กๆของเผ่าเย่หลิวย่อมไม่ถือเป็นสิ่งใด’

ทุกคนคิดไปต่างๆนานา

เป็นเพียงเวลานี้ที่เย่หลิวชุนซิงเปิดปากกล่าวด้วยความโกรธ “ฮืม ไร้สาระ! ช่างกล่าวถ้อยคำใหญ่โตนัก มาสู้กับข้าหากมีความกล้า!”

“เจ้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ” ฟางหยวนมองเย่หลิวชุนซิงด้วยสายตาดูแคลน

ดวงตาของผู้อมตะหลายคนเบิกกว้างขึ้น

พวกเขาอยากถามจริงๆว่า หากเย่หลิวชุนซิงมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ แล้วผู้ใดมีคุณสมบัติ? เจ้ามีสิ่งใด? ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้านำความมั่นใจนี้มาจากที่ใด? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นปีศาจอมตะไร้หัวนอนปลายเท้า สามารถต่อสู้กับเย่หลิวชุนซิงถือเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว

แต่ชัดเจนว่าฟางหยวนไม่มีความคิดเช่นนี้

กลุ่มผู้อมตะเริ่มพูดคุยและโห่ร้อง

หลังจากไม่นานการแสดงออกของกงหว่านถิงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “พอแล้ว! พวกเจ้าพยายามทำให้การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้เป็นเรื่องตลกงั้นหรือ?”

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะเงียบเสียงลงทันที

จากนั้นกงหว่านถิงก็หันหน้าไปทางชูตู๋ “เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายของเจ้าพยายามก่อกวนเพื่อชะลอการแข่งขัน”

ชูตู๋ไม่ตอบแต่หันหน้าไปทางฟางหยวน

ฟางหยวนไม่สนใจสายตาของชูตู๋ เขาหันไปด้านข้างและชี้นนิ้วออกไป “เจ้า!”

“ข้า?” อดีตผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าไห่ตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะชี้มาที่เขา

“ออกไปสู้ หากเขาชนะเจ้า นั่นหมายความว่าเขามีคุณสมบัติบางอย่างให้ข้าเคลื่อนไหว” น้ำเสียงของฟางหยวนเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส กระทั่งผู้อมตะฝ่ายเดียวกันยังแทบไม่สามารถอดทน

สายตาของผู้อมตะคนอื่นๆหันมาที่ผู้อมตะผู้โชคร้ายผู้นี้และทำให้เขารู้สึกกดดันทันที

เขาโกรธมาก “เจ้ามีสิทธิ์สั่งให้ข้าออกไปงั้นหรือ? ข้าเป็นสมาชิกเผ่าไป่ซู กระทั่งจักรพรรดิอมตะชูตู๋ก็ต้องให้เกียรติข้า!”

ผู้อมตะผู้นี้ตัดสินใจปฏิเสธ แต่หลังจากนั้นเขากลับได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง

“เย่หลิวชุนซิงแข็งแกร่งมาก เขาชนะไปแล้วสี่รอบติดต่อกัน หากคนผู้นี้ออกไป ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้ามประสบความสำเร็จมากขึ้นงั้นหรือ?”

“ฮืม คนผู้นี้เป็นเพียงตัวละครเล็กๆ เย่หลิวชุนซิงสามารถเอาชนะคนระดับนี้สองคนได้อย่างง่ายดาย”

“เขาเป็นอดีตผู้อมตะเผ่าไห่ แม้เขาจะเปลี่ยนแซ่เป็นไป่ซู แต่เขาจะสามารถต่อสู้เป็นตายกับผู้อมตะตระกูลฮวงจินได้งั้นหรือ?”

เมื่อบทสนทนาลักษณะนี้ดังขึ้น เขารู้ตัวทันทีว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปสู้รบ

เขามองฟางหยวนด้วยสายตาดุร้าย แต่โชคไม่ดีที่ฟางหยวนหันหน้ากลับไปแล้ว

ผู้อมตะเผ่าไป่ซูโกรธและเสียใจมาก

ไม่มีสิ่งใดผิดความคาดหมาย

อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ผู้นี้อ่อนแอกว่าเย่หลิวชุนซิงอย่างชัดเจน หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าประมาณสิบครั้ง เขาก็แพ้

“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อจะสามารถต่อสู้ในรอบนี้และสร้างความกระจ่างให้กับพวกเรา” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมากล่าวประชดประชันฟางหยวน

ฟางหยวนตะคอก “อ่อนแอ!”

อดีตผู้อมตะเผ่าไห่แทบไม่สามารถระงับความโกรธ “ข้าอ่อนแอเกินไปจริงๆ แต่ข้าหวังว่าท่านจะแสดงความสามารถบางอย่างออกมา”

แต่คำกล่าวต่อไปกลับทำให้เขายิ่งโกรธ

“ใช้เวลาต่อสู้นานเกินไปสำหรับคนอ่อนแอเช่นเจ้า ข้าอาจประเมินเย่หลิวชุนซิงสูงเกินไป ตอนนี้ข้าไม่มีความสนใจที่จะต่อสู้กับเขาแม้แต่น้อย”

“เจ้า!” อดีตผู้อมตะเผ่าไห่รู้สึกพูดไม่ออก

เซี่ยอู่เหิงมองฟางหยวนด้วยความรู้สึกสงสัยที่รุนแรงขึ้น

“ดูเหมือนผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูก็เป็นเพียงตำแหน่งเท่านั้น” เย่หลิวชุนซิงเย้ยหยัน

“จักรพรรดิอมตะ เจ้าเคยเห็นเขาต่อสู้บ้างหรือไม่?” เย่หลิวชุนซิงกล่าวต่อ

ชูตู๋เงียบ เขารู้สึกได้ถึงพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของฟางหยวน แต่เขาตัดสินใจที่จะรอดู

“ผู้อาวุโสหลิวกวนซื่อ หากท่านมีทักษะบางอย่างก็ออกไปฆ่าเขาซะ!” ผู้อมตะเผ่าไป่ซูหัวเราะเย้ยหยัน

ฟางหยวนส่ายศีรษะและโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย “เจ้าจะเข้าใจความสามารถของข้าได้อย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าไม่มีความหวังที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นข้า”

เย่หลิวชุนซิงสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป เขารู้ว่าไม่สามารถบังคับให้ฟางหยวนเข้าสู่การต่อสู้

ในความเป็นจริงหลังจากต่อสู้ห้ารอบติด เขารู้สึกอ่อนเพลียมาก แม้เขาจะยังมีพลังงานอมตะเหลืออยู่ แต่สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

เมื่อเห็นเขาเก็บดวงดาวและกำลังจะจากไป ผู้อมตะฝ่ายชูตู๋เริ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เย่หลิวเสี่ยวจินออกมาต้อนรับเย่หลิวชุนซิงที่ประตูทางเข้าวังตะวันตก

แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าฟางหยวนจะเปิดปากกล่าวในจังหวะนี้ “ดูสิ เขากลัวข้าจริงๆ แม้ข้าจะไม่ได้เข้าสู่สนามประลอง เขาก็ยังหวาดกลัวข้า ตอนนี้เขาไม่สามารถอดทนได้อีกและเลือกที่จะจากไป”

เย่หลิวชุนซิงหยุดเท้าลงทันที

ดวงตาของเซี่ยอู่เหิงเบิกกว้างขึ้น เขาจ้องมองฟางหยวนและคิด ‘ในโลกใบนี้มีคนไร้ยางอายถึงเพียงนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ? นี่ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ พี่ชูมอบตำแหน่งผู้อาวุโสสุงสุดลำดับที่สองให้กับเขาบางทีอาจเป็นเพราะความไร้ยางอายนี้!’

มุมปากของเย่หลิวเสี่ยวจินกระตุกด้วยความโกรธ

การแสดงออกของเย่หลิวซุ้ยหงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหรี่ตามองฟางหยวนอย่างพิจารณา

เย่หลิวชุนซิงส่ายศีรษะและเดินต่อโดยไม่หันกลับไปมองฟางหยวน

ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “เย่หลิวชุนซิง เจ้าหัวควาย โคตรเง้าสิบแปดชั่วคนของเจ้าล้วนเป็นโคกระบือทั้งหมด!”

เงียบกริบ…

หลังจากนั้นความโกลาหลจึงปะทุขึ้น

เจ้าเป็นคนเช่นไร? เจ้ามาจากที่ใด?

ผู้อมตะทั้งหมดกรีดร้องอยู่ในใจ

ผู้ใดจะคิดว่าฟางหยวนที่ดูสง่างามกลับสถบเรื่องไร้สาระและต่ำตมออกมาในที่สาธารณะ แม้พวกเขาจะรักการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังรักษาภาพลักษณ์ของตนเองเสมอ ท้ายที่สุดพวกเขาต่างยกย่องว่าตนเองเป็นคนชั้นสูง การด่าทอผู้คนในลักษณะนี้เป็นเพียงการทำลายชื่อเสียงของพวกเขาเท่านั้น

“ภาพลักษณ์ที่ดีของเขาช่างสูญเปล่าจริงๆ” ผู้อมตะหลายคนมองฟางหยวนและส่ายศีรษะ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความประทับใจที่ดีต่อภาพลักษณ์ของฟางหยวนถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์

ฟางหยวนหัวเราะและเดินเข้าสู่สนามรบ “เย่หลิวชุนซิง ข้าอยู่ที่นี่แล้ว แต่เจ้ากลับไม่กล้าสู้กับข้างั้นหรือ?”

เย่หลิวชุนซิงหยุดและหันหลังกลับ

บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที

ในวังตะวันตก เย่หลิวซุ้ยหงนั่งตัวตรงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ชุนซิง ระวังคนผู้นี้ เขากำลังวางแผนการบางอย่าง กลับมา!”

การแสดงออกทั้งหมดของฟางหยวนทำให้เย่หลิวซุ้ยหงรู้สึกถึงแผนร้าย

ฟางหยวนหัวเราะเสียงดัง “หนูสกปรกไร้ค่า เผ่าเย่หลิวมีเพียงคนขี้ขลาดเช่นนี้งั้นหรือ?”

คำพูดปั่นประสาทลักษณะนี้ถูกโยนออกไปทีละดอก

ผู้อมตะทั้งหมดต่างตกตะลึง

กระทั่งชูตู๋ยังต้องการยกมือขึ้นปิดใบหน้าของตนเอาไว้ ฟางหยวนทำลายภาพลักษณ์ของนิกายชูลงอย่างสมบูรณ์

นี่เป็นครั้งแรกที่ชูตู๋ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการตัดสินใจของตนที่ส่งฟางหยวนออกมาว่าถูกต้องหรือไม่

แต่ไม่ว่าผู้ใดจะกล่าวอย่างไร คำยั่วยุของฟางหยวนก็มีผล

ฝ่ายธรรมะจัดการได้ง่ายกว่าปีศาจอมตะหรือผู้บ่มเพาะสันโดษในบางแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากเผ่าหรือมีสายเลือดใด พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามสาปแช่งหรือดูแคลนในที่สาธารณะ

กองกำลังที่ยิ่งใหญ่รวมตัวกันด้วยสายสัมพันธ์ทางสายเลือด พวกเขาให้ความสำคัญกับสายเลือดและชื่อเสียงของบรรพบุรุษ

นี่คือศีลธรรมพื้นฐานของพวกเขา!

“ชุนซิงกลับมา! ข้าจะต่อสู้กับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของนิกายชูด้วยตนเอง!” เย่หลิวซุ้ยหงลุกขึ้นยืน

ฟางหยวนรู้สึกผิดหวังอยู่ภายในแต่ภายนอกเขายังหัวเราะ “เย่หลิวชุนซิง ถึงเวลาที่ต้องต่อสู้แล้ว”

เย่หลิวชุนซิงโบกมือให้กับเย่หลิวซุ้ยหงก่อนจะหันหน้าไปทางฟางหยวน “เนื่องจากเจ้าต้องการโอกาส ข้าก็จะต่อสู้กับเจ้า มันเป็นเพียงว่าข้าต่อสู้มาห้ารอบแล้วและต้องการพักผ่อนสักเล็กน้อย”

นี่เป็นคำขอที่ยุติธรรมมาก

ฟางหยวนเย้ยหยันแต่เป้าหมายของเขาก็บรรลุแล้ว

ฟางหยวนอนุญาตทันที “พักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าต้องการ ข้าสามารถให้เวลาเจ้าสองหรือสามวัน หากไม่พอข้าก็จะให้เวลาเพิ่มอีกสองหรือสามปี ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ฮ่าฮ่า หนึ่งชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว” เย่หลิวชุนซิงยิ้มด้วยฟันที่กัดแน่น

ฟางหยวนไร้ยางอายเกินไป เป็นธรรมชาติที่เย่หลิวชุนซิงจะโกรธมาก

แต่เขายังตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเอง เขาต้องการเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลังจิต

เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจะทำให้หลิวกวนซื่อผู้นี้ได้ลิ้มรสพลังอำนาจของเขา!

หนึ่งชั่วโมงยาวนานราวกับหนึ่งปี ผู้อมตะทั้งหมดแทบไม่สามารถรอคอย

ในที่สุดเย่หลิวชุนซิงก็เดินเข้าสู่สนามรบและเผชิญหน้ากับฟางหยวน

“หลิวกวนซื่อ ข้า…” เย่หลิวชุนซิงกำลังจะกล่าวแต่แสงสีเงินกลับปะทุขึ้นจากร่างของฟางหยวนเรียบร้อยแล้ว

ฟางหยวนเปลี่ยนร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาลและพุ่งออกไป

“น่ารังเกียจ!”

“เขาลอบโจมตี!”

ผู้อมตะฝ่ายธรรมะอุทานด้วยความโกรธ