นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาเร็วที่สุดนับตั้งแต่ภัยพิบัติสิ้นสุดลง

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงดันน้ำทะเลเกินจะทนไหว พวกมารล้วนหายไปสิ้น

พวกมันถูกบดขยี้โดยตรงจนกลายเป็นผงละเอียดก่อนสลายไปที่ก้นทะเลลึกอย่างช้าๆ

มีเพียงกู่ฉิงซานที่ยังอยู่ก้นทะเล

ดาบคลื่นเสียงโผล่ขึ้นมาจากทะเลเพื่อทำให้เขายังอยู่ในที่โล่งแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานมองไปยังความว่างเปล่า

บนบหน้าต่างต้นเพลิง แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กยังลอยขึ้นมา

“เพราะพวกมารตายภายใต้การบีบอัดของทะเล ท่านจึงไม่สามารถได้รับพลังวิญญาณจากการต่อสู้ครั้งนี้”

หลังจากกู่ฉิงซานอ่านจบ แถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กนี้หายไป แถวตัวอักษรขนาดเล็กชุดใหม่ปรากฏขึ้นต่อทันที

“พลังวิญญาณอยู่ในสภาพสูญสลาย ไม่มีตัวตนอื่นที่สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ ได้ ตัดสินจากหลักการไม่สูญเปล่า ระบบนี้ได้เริ่มรวบรวมพลังวิญญาณสูญสลายที่ยังหลงเหลืออยู่”

“พลังวิญญาณถูกเก็บไว้สามหมื่นแปดพันสามร้อยยี่สิบเก้าแต้ม”

“ท่านได้รับพลังวิญญาณเหล่านี้”

กู่ฉิงซานตกตะลึง

แบบนี้ก็ได้หรือ

เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ต้นเพลิง ต่อให้ข้าไม่ลงมือฆ่าก็ได้พลังวิญญาณอย่างนั้นหรือ”

“ปกติแล้วจะไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่จะปล่อยให้พลังวิญญาณเหล่านี้สูญสลาย ดังนั้นพวกเรายังต้องเก็บรวบรวมเพื่อใช้พวกมัน” หน้าต่างต้นเพลิงกล่าว

กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก

คำสั่งที่ไม่ใช่คำสั่ง

ไม่สิ ที่จริงมันยังมีหลักการอยู่

ไม่เอาด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ตอนนี้ไม่มีลม

ภัยพิบัติลมผ่านไปแล้ว

อากาศเต็มไปด้วยเสียงแปลกประหลาด

ลำแสงเพลิงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนตกลงบนบ่าของกู่ฉิงซานอย่างแผ่วเบา

หากมองใกล้ๆ จะพบว่าเปลวเพลิงนั้นแทบจะโปร่งแสง ไม่ส่งผลใดๆ กับร่างกายของกู่ฉิงซานแม้แต่นิดเดียว

เปลวเพลิงขยายตัวอย่างรวดเร็วก่อนกระจายทั่วร่างของกู่ฉิงซาน แต่กู่ฉิงซานทำเพียงแค่รอโดยไม่ขยับไปไหน

นี่คือไฟที่ทำลายทุกสิ่ง มันเข้าลึกถึงจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณของกู่ฉิงซาน หากขยับตามใจ เขาจะถูกเผาเป็นเถ้าทันที

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ

ในที่สุดเปลวเพลิงปกคลุมกู่ฉิงซานอย่างสมบูรณ์

การตอบสนองอันแสนวิเศษได้เกิดขึ้น

เปลวเพลิงไม่มีสิ้นสุดกระจายออก ก่อตัวเป็นฉากโลกต่อสายตาของกู่ฉิงซาน

เปลวเพลิงสลายหายไป

โลกกลับมาเห็นเด่นชัด

ภูเขา ท้องนภาสีคราม แม่น้ำลำธาร ภูตที่มาๆ ไปๆ

นี่คือโลกอิสรภาพ

คาดไม่ถึง สิ่งที่สะท้อนกับความคิดของเขากลับกลายเป็นโลกอิสรภาพ!

สิ่งที่เรียกว่าภัยพิบัติไฟจะนำวิญญาณของผู้ฝึกยุทธไปสู่สวรรค์แห่งหนึ่ง

นักพรตต้องยอมให้วิญญาณกลับคืนสู่ร่างกายภายในระยะเวลาที่กำหนด

เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าวิญญาณยังอยู่ในสวรรค์แห่งหนึ่งแล้วไม่ยอมกลับมา เช่นนั้นร่างกายของผู้ฝึกยุทธจะถูกไฟแผดเผา

แบบนี้ การก้าวข้ามภัยพิบัติก็จะล้มเหลว

วิญญาณของนักพรตจะยังอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล

ทว่า มีผู้ฝึกยุทธมากมายที่ยอมอยู่ที่โลกอิสระแห่งนี้แทนที่จะกลับออกมา

เพราะนี่คือสวรรค์อันแสนวิเศษ

ต่อให้ร่างกายของผู้ฝึกยุทธถูกไฟแผดเผา แต่วิญญาณยังคงอยู่ในโลกอิสรภาพ มีชีวิตอยู่ได้หนึ่งหมื่นปี

ในทางตรงกันข้าม ต่อให้ผ่านภัยพิบัติจนพัฒนาได้สำเร็จ ผู้ฝึกยุทธยังยังต้องผ่านความยากลำบากมากมาย ยังคงต้องก้าวต่อไปไม่หยุดยั้ง

แทนที่จะตายด้วยภัยพิบัติอย่างหนึ่ง คงดีกว่าที่จะให้วิญญาณอยู่ในโลกแห่งนี้อย่างเป็นอิสระหนึ่งหมื่นปี

ที่นี่ ผู้ที่พยายามเอาชนะภัยพิบัติจะกลายเป็นเป้าวิจารณ์ของสาธารณะ

วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จะทำทุกสิ่งเท่าที่เป็นไปได้เพื่อปิดกั้นนักพรตผู้อยากพัฒนา

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจก่อนเตรียมพร้อม

เขาก้าวไปข้างหน้า

เพียงพริบตา ร่างกายของเขายังถูกห้อมล้อมโดยภัยพิบัติไฟ แต่วิญญาณออกจากใต้ทะเลก่อนเข้าสู่โลกอิสรภาพ

วินาทีต่อมา

กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนลานกว้าง

เสียงจากทุกทิศทางเข้าสู่หู

เสียงหัวเราะ เสียงสนทนา เสียงครื้นเครง

เสียงเริงร่า เสียงขับร้อง เสียงตะโกน

งานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่กำลังจัดอยู่ในลาน

ใครบางคนกล่าวเสียงดัง “ฮ่าๆๆ มีสหายเต๋าคนใหม่มาที่นี่ในวันนี้ ทุกคนยินดีต้อนรับ”

หลายคนยังคงดื่มอย่างสนุกสนาน

แต่หลายคนมองกู่ฉิงซานด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

กู่ฉิงซานประสานมือแล้วกล่าวว่า “สหายเต๋าทุกท่าน สุภาพเกินไปแล้ว”

ใครบางคนกล่าวอย่างยินดีว่า “ข้าก็เป็นสหายเต๋าเช่นกัน มาดื่มกัน!”

กู่ฉิงซานเดินชนแก้วสุรากับทุกคนจริงๆ

“ไม่ทราบว่าจะให้เรียกสหายด้วยชื่ออะไร”

“แซ่กู่”

“กลายเป็นว่าสหายเต๋ากู่มาภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เพื่อยินดีกับพรอันนิรันดร์อย่างนั้นหรือ”

“ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินเรื่อนี้มา ข้าก็แสวงหามาตลอด เส้นทางการฝึกฝนจึงไกลออกไปเรื่อยๆ แทนที่จะห่วงความเป็นความตายอยู่ทุกวัน คงดีกว่าที่จะกลับสู่สถานที่นี้เพื่อยืนดีกับพรนิรันดร์ตลอดกาล”

กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้นแล้วหัวเราะ

หลังจากพูดจบ เขาหยิบสุราอีกแก้วขึ้นมายกดื่มอย่างรวดเร็ว

“ในที่สุดก็ได้กล่าวลากับการฝึกฝนอันแสนสาหัส มาเถอะ ข้าขอคารวะทุกท่าน!” เขากล่าวเสียงดัง

เขาดื่มอีกแก้ว

นี่ทำให้บรรยากาศงานเลี้ยงถึงจุดสุดยอดทันที

ผู้คนรอบข้างต่างมีความสุขก่อนชูแก้วขึ้นตอบรับ

ใครบางคนกล่าวชื่นชม “สหายเต๋าคนนี้มีจิตใจและนิสัยดียิ่งนัก อาจจะมีภูตตกหลุมรักสหายเต๋าคนนี้ก็เป็นได้”

พวกแม่ชีแอบหัวเราะขณะป้องปาก

ชายหนุ่มคนนี้หล่อเหลา สามารถเข้าโลกอิสรภาพได้ตั้งแต่อายุขนาดนี้ แถมไม่ถนัดการฝึกฝนเสียด้วย

เขาเพิ่งมาจากภายนอก ไม่เหมือนกับคนข้างในนี้ เขาอยากรู้และสนใจสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

เขาเป็นผู้ชายที่ดี

เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า “สหายเต๋ามาทำอะไรที่นี่หรือ”

เสียงแจ่มใสและอ่อนหวานดังขึ้น

ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก

เห็นได้ชัดว่าเสียงดังกล่าวอยู่ใกล้ น้ำเสียงไม่ได้เต็มไปด้วยจิตสังหารแต่อย่างใด

กู่ฉิงซานหันไปมอง

ใบหน้าของหญิงสาวยังเหมือนเดิม ยังงดงามสดใสไม่แปรเปลี่ยน

นี่คือเสน่ห์ตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์พวกนาง

มีข่าวลือว่าในบรรดาหกภพ หญิงสาวจากเผ่าพันธุ์นางน่าทึ่งและมีเสน่ห์เย้ายวนมากที่สุด

หลังจากได้เห็นใบหน้า จักรพรรดิแห่งสวรรค์ไม่ลังเลที่จะเปิดฉากสงครามเพื่อแต่งงานกับหญิงสาวจากเผ่าพันธุ์ดังกล่าว

ฉับพลันมันเหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งได้พบกันเมื่อวาน

นางมองเขาแล้วยิ้มออกมา “ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพิเศษจากวิชาของท่าน”

วิชา…อะไรนะ

อาจจะไม่ใช่วิชาวิเศษก็ได้

แต่ถ้าพูดกันตามตรง หากเปิดเผยว่าตัวเองคือผู้ใช้วิชาดาบก็จะทำให้หลายคนไม่สบายใจ

ทำไมผู้ใช้วิชาดาบถึงอยากดื่มด่ำและใฝ่ฝันถึงความตายล่ะ

นั่นสินะที่หมายถึงวิชา

กู่ฉิงซานมองนางแล้วกล่าวอย่างสงบว่า “ข้ากำลังฝึกฝนวิชาน้ำแข็งน่ะ”

หญิงสาวประหลาดใจแล้วกล่าวว่า “นี่ ข้าอยากสู้กับท่านจังเลย”

“ข้าเพิ่งมาถึงวันนี้เอง ถ้าดื่มก็คงไม่เป็นไร แต่ไม่เห็นจะต้องสู้กันเลย”

ตอนนี้ นักพรตคนอื่นเกลี้ยกล่อมหญิงสาวว่าไม่เหมาะนักที่จะสู้กันในวันแรก

หญิงสาวถูกเกลี้ยกล่อมจนใจอ่อน

นางกล่าวอีกครั้งว่า “วิชาวิญญาณเยือกแข็งหายาก ทำไมสหายเต๋าถึงไม่แสดงสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า ขอข้าชมหน่อยก็แล้วกัน”

หลังจากกู่ฉิงซานได้ยินดังนั้น เขาเหมือนกับถูกต้อนจนมุม

เขามีวิชาเยือกแข็งของเทพแห่งความเย็นยะเยือก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในร่างของเทพ ดังนั้นพลังของวิชาจะลดทอนไปมาก ทำให้ไม่ถึงในระดับสูงสุดของระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์

แต่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ที่เห็นจุดสูงสุดของระดับเบิกเนตรนิมิต วิชาเยือกแข็งในมือยังนับว่าดูดี

เขาสร้างสะพานเยือกแข็งยาวลากจากกลางลานไปจนสุดขอบฟ้า

สะพานเยือกแข็งก่อตัวเป็นภูเขาเขียวขจีกลางอากาศ

“ดี!”

“วิชาดี!”

“วิเศษ!”

เหล่านักพรตส่งเสียงชื่นชมเสียงดัง

“น่าเสียดายที่วันนี้ดึกมากแล้ว จึงต้องมีการจัดงานเลี้ยงขึ้นอีกรอบ ไม่อย่างนั้น คงต้องไปเดินเล่นที่ภูเขาลูกนั้นแทนแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเสียดาย

“หลายปีนั้นยาวนาน สหายเต๋ากู่ เจ้ามีโอกาสเหลือเฟือ” ใครบางคนกล่าว

“ถูกต้องเลย”

“ใช่ ครั้งต่อไปข้าจะไปกับสหายเต๋ากู่”

ทุกคนเห็นด้วยพร้อมกับรอยยิ้ม

หลังจากกู่ฉิงซานแสดงทักษะกับคำพูดที่กล่าวเมื่อครู่ พวกนักพรตจึงยิ่งเข้าใกล้เขามากขึ้น

งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป

กู่ฉิงซานเป็นนักดื่มที่ดี กระตือรือร้น พูดจาดีและรู้ว่าอะไรน่าสนใจ เขากลายเป็นหนึ่งในนักพรตที่ช่างพูดและมีอารมณ์ขันอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปหนึ่งคืนครึ่ง

ในที่สุดงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง

ตอนนี้

หญิงสาวเดินเข้ามาแล้วหยิบแก้วสุราก่อนมองกู่ฉิงซาน

“สหายเต๋ากู่ ท่านอยากคุยกับข้าในตอนเย็นหรือไม่” หญิงสาวถาม

ทุกคนหัวเราะเสียงดัง

ผู้ใช้วิชาหนุ่มจำนวนมากเผยความอิจฉาและหึงหวงขึ้นมา

“ข้าต้องการแบบนั้นพอดี”

กู่ฉิงซานถือแก้วสุรา ยกขึ้นจิบแล้วยิ้มออกมา

“โรงฝึกของข้าอยู่ที่ยอดเขาหมิงเช่อ ท่านมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก คงไม่คุ้นชินเส้นทางนัก ให้ข้าจัดการเองเถอะ” หญิงสาวกล่าว

กู่ฉิงซานตอบเป็นพิธีว่า “โปรดนำทางให้ด้วย ภูตตัวน้อย”

หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อขยับร่างกาย นางพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา

กู่ฉิงซานตามหลังไปติดๆ

นักพรตคนอื่นมองเขาจากไป ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะห้ามอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไร สหายเต๋ากู่คนนี้คือคนวิเศษ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” หญิงสาวกล่าว

หญิงสาวอีกคนประสานรับเช่นกัน “พี่หย่าจื้อไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเจ้าถึงไม่แสดงความมั่นใจสักหน่อยล่ะ”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ผู้ฝึกฝนส่วนใหญ่ต่างเสียสติ

มีเพียงผู้ใช้วิชาหนุ่มเพียงหยิบมือยังคงสงสัย

หญิงสาวอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวประชดประชันว่า “เจ้ายังอยากไปยอดเขาหมิงเช่ออยู่ไหมล่ะ”

คำพูดแบบนั้นช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

ต่อให้นักพรตจะมีความคิด จู่ๆ พวกเขาจะโพล่งออกไปไม่ได้ในเมื่อทั้งสองมีความรักกัน พวกเขาจะกลายเป็นคนเลวแม้จะทำดีก็ตาม

งานเลี้ยงในตอนนี้สิ้นสุดลงแล้ว

กู่ฉิงซานเหาะไปตามหญิงสาวขณะลงบนภูเขา

โดยไม่พูดจาสักคำ หญิงสาวพาเขาผ่านส่วนหนึ่งของถนนบนภูเขา จากนั้นเข้าไปในน้ำตก ข้ามสะพานขนาดเล็กตรงลำธาร จู่ๆ ด้านหน้าก็เปิดออก มันคือตำหนักหลังหนึ่ง

“ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” หญิงสาวกล่าว

ความเฉยชาบนใบหน้าของนางพลันหายไปก่อนเผยรอยยิ้มสดใสออกมา

“ท่านคงคาดไม่ถึงล่ะสิ”

“ข้าคาดไม่ถึงว่าเจ้าจะรอข้าอยู่ที่นี่ เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

“แน่นอนว่าเป็นไปได้สิ”

หญิงสาวมองเขาอย่างละเอียด นางมองเขาราวกับอยากประทับรูปลักษณ์นั้นเอาไว้ในใจตลอดกาล

“ข้าทิ้งรอยน้ำตาไว้กับท่าน นั่นคือวิชาพิเศษของอสุรา สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต”

นางกล่าวอย่างเงียบงัน