บทที่ 246 ชั่วร้าย ไม่มีใครสนเฟิ่งชิงเฉิน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ผู้คนถกเถียงกันมากมาย แต่ท่านจักรพรรดิ เสด็จอาเก้า องค์รัชทายาท และพวกซู่ชินอ๋อง ต่างไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร หรือเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะตัดสินใจ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้แค่หนึ่งในพันเท่านั้น พวกเขาก็ต้องเดิมพัน เพื่อให้ได้ ม้าเหงื่อโลหิตและม้าดำชางชาน ความแข็งแกร่งของทหารม้าตงหลิงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

แน่นอนว่า ไม่ใช่การนำม้าทั้งสองตัวนี้มาเป็นม้าออกศึก แต่เป็นการนำม้าศึกสองตัวนี้มาเพื่อสืบพันธุ์ เพียงแค่มีสายเลือดของพวกมัน ม้าตัวนั้นก็จะแข็งแกร่งกว่าม้าทั่วๆไป

ส่วนมือคู่นี้ของเฟิ่งชิงเฉินล่ะ จะมีใครสนใจบ้าง? ก็อาจจะมีอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเมื่อมีม้าที่ล้ำค่าทั้งสองตัวอยู่ตรงหน้า มือคู่นี้ของเฟิ่งชิงเฉินก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง

เฟิ่งชิงเฉินยังคงมองทั้งสองมือของตนเองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าภายในใจของนางมีความเศร้าสลดอยู่มากเพียงไหน ในสายตาของคนเหล่านี้ มือทั้งสองของนางที่น่าสนใจที่สุดยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับม้าเพียงตัวเดียว

หัวเราะเบาๆ และเก็บความโศกเศร้าในใจเอาไว้ เฟิ่งชิงเฉินเก็บมือทั้งสองข้างของนางกลับมา “คุณหนูซูหว่านท่านล่ะ? องค์หญิงเหยาหวาต้องการมือทั้งสองของข้า คุณหนูซูหว่านท่านล่ะต้องการอะไร?”

เฟิ่งชิงเฉินกล่าวถามเบาๆ ด้วยท่าทางที่ไม่ได้ใส่ใจ ใส่ใจแล้วอย่างไรล่ะ นอกจากตัวเองแล้วก็ไม่เห็นจะมีใครที่สนใจ

“หมอเฟิ่ง มือทั้งคู่ของเจ้าช่างงดงามจริงๆ แต่น่าเสียดายองค์หญิงเหยาหวาพอใจมันแล้ว หมอเฟิ่ง ข้าชอบดวงตาของเจ้า” หรือก็หมายถึง ซูหว่านต้องการดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งชิงเฉิน

ดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งชิงเฉินชัดเจนและสดใส ดวงตาที่ราวกับว่ามีแสงลึกลับไหลเวียนอยู่ข้างใน และไม่มีใครสนใจมันมาก่อน เมื่อซูหว่านพูดขึ้นมา ผู้คนถึงได้ค้นพบว่าดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เหมือนสามารถสื่อสารได้ และเหมือนสามารถมองทะลุจิตใจของผู้คนได้

“ดวงตาหรือ? แววตาของคุณหนูซูหว่านก็ดีเหมือนกัน ดวงตาคู่นี้ถือเป็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพอใจเป็นอันดับสองเลย” เฟิ่งชิงเฉินกะพริบตาด้วยท่าทางเหน็บแนม ดูไม่เหมือนตื่นเต้นและหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

หรือว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ตื่นเต้นไม่หวาดกลัวอย่างนั้นหรือ?

ผู้คนมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างสับสน

ไร้สาระ เฟิ่งชิงเฉินจะไม่กลัวไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร นางไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่า……

คนเหล่านี้จะให้สิทธิ์ในการปฏิเสธแก่นางหรือไม่?

คำตอบคือไม่

ไม่เห็นความไม่สนใจและเย็นชาที่แสดงออกทางสายตาของจักรพรรดิหรือ ไม่เห็นดวงตาที่ปิดสนิทของเสด็จอาเก้าหรือ ไม่เห็น……ความรู้สึกกดดันที่แสดงออกทางสายตาขององค์หญิงเหยาหวาและคุณหนูซูหว่านหรือ

นางเป็นแบบนี้ ซูหว่านและเหยาหวาก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน แต่เดิมก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

“ในเมื่อพวกเราปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็จะลงไปเปลี่ยนชุด” เฟิ่งชิงเฉินทูลลาจักรพรรดิ และทุกคนก็ทูลลาพากันเยื้องกรายออกไป ในเวลาเพียงไม่นาน ผ้าสีแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับผีเสื้อที่บินออกมา

แต่ไม่ว่าผีเสื้อจะสวยสักเพียงใด แต่ก็มีอายุขัยเพียงวันเดียว…….

เฟิ่งชิงเฉิน แท้จริงแล้วเจ้ามีความมั่นใจว่าจะชนะหรือไม่!

ในใจของทุกคน เป็นเหมือนกับเชือกที่มัดตึง รอคอยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะแก้เชือกนี้ให้คลายออกหรือจะทำให้มันตึงจนขาด!

เรื่องการเดิมพันของเฟิ่งชิงเฉินกับเหยาหวา ไม่นานฮองเฮาก็ได้รับรู้

“ตอนนี้นางไปเปลี่ยนชุดขี่ม้าแล้วหรือ?” ปลอกเล็บที่แหลมคม แตะเบาๆที่พนักแขน ก็สามารถเห็นได้อย่างไม่ชัดเจนนักว่าสีบนพนักแขนถูกกระทบจนหลุดออกมา

“ตอบคำถามของท่านจักรพรรดินี ใช่เพคะ” นางสนมในวังคุกเข่าอยู่กับพื้นไม่กล้าลุกขึ้น

ใบหน้าของฮองเฮามีรอยยิ้มที่สุภาพเยือกเย็น หากมองอย่างละเอียดจะพบว่ารอยยิ้มนี้น่ากลัวมาก “เจ้าคิดว่าตอนที่เฟิ่งชิงเฉินจะทำให้ม้าศิโรราบ หากนางเคลื่อนไหวมากเกินไป จนเสื้อผ้าฉีกขาดออกจนเปิดเผยร่างกายต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก จะเป็นอย่างไร?”

ฮองเฮาไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะชนะหรือไม่ แต่นางจะไม่ปล่อยเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้แน่

เฟิ่งชิงเฉินเป็นสิ่งของอะไร นางทำร้ายองค์หญิงอันผิงจนหมดสติ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังอยู่ที่สนามม้านี้ขัดขวางทางของลูกสาวนางอีก

ถ้าเฟิ่งชิงเฉินแพ้จะเป็นผลดีที่สุด เป็นโชคดีแก่นาง และนางจะไม่ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินมีชีวิตที่สงบสุข

ไม่มีใครให้ความสำคัญเรื่องการสูญเสียพรหมจารีก่อนแต่งงาน แต่ถ้าเป็นความขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องแบบนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เฟิ่งชิงเฉินจะรอดจากเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

“จักรพรรดินี ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”

“เอาชุดไปให้มาก ให้นางได้เลือกอย่างดี แล้วจัดคนที่คล่องแคล่วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง เมื่อถึงเวลาก็จะไม่มีใครสงสัย” หรือก็คือการเตรียมชุดขี่ม้าของเฟิ่งชิงเฉิน ทุกๆตัวต่างล้วนมีปัญหา ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเลือกตัวไหน ผลสุดท้ายนางก็จะต้องขายหน้าอยู่ดี

“จักรพรรดินีพูดถูก ข้าน้อยจะไปทำตามที่สั่ง” นางสนมชรายิ้มแล้วออกไป

……

ที่สนามม้ามีสถานที่สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผู้หญิงโดยเฉพาะ สนามม้าแห่งนี้เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิและพระสนมของพระองค์ใช้เพื่อความสนุกสนาน เมื่อจักรพรรดิสนใจหรือมีพระสนมคนไหนต้องการที่จะเป็นที่โปรดปราน เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนชุดขี่ม้าเพื่อแสดงแด่จักรพรรดิ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีสถานที่สำหรับผู้หญิง

“แม่นางเฟิ่ง ชุดขี่ม้าที่ท่านต้องการ” นางสนมสิบคนถือชุดขี่ม้ามาสิบตัวมาที่เบื้องหน้าเฟิ่งชิงเฉิน ให้นางเลือก

สุรุ่ยสุร่ายเสียจริง ไม่แปลกใจที่ใครๆก็อยากจะเป็นผู้ครอบครองแผ่นดิน ได้เป็นจักรพรรดินี่มันช่างดีจริง เพียงแค่การขี่ม้าก็มีชุดให้เลือกใส่มากกว่าสิบชุด เป็นความฟุ่มเฟือยที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

รูปแบบแตกต่างกันไม่มาก เฟิ่งชิงเฉินลังเลที่จะเลือกระหว่างสีดำกับสีแดง

ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินชอบทั้งสองสีนี้ เพียงแต่ทั้งสองสีนี้เมื่อเปื้อนเลือดก็สามารถเห็นได้ไม่ชัดเจน

การสยบม้าให้เชื่องเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการได้รับบาดเจ็บ หากใส่เสื้อผ้าสีอ่อน เมื่อได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถเห็นเป็นเรื่องใหญ่ได้ ทำให้คนที่มองเห็นคิดว่าตนเองนั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก

แต่สีดำกับสีแดงนั้นไม่เหมือนเช่นนั้น แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บจนเลือดไหล แต่เพราะสีเข้มทำให้คนอื่นมองเห็นไม่ชัดเจน ทำให้ศัตรูเกิดความสับสน และทำให้อีกฝ่ายไม่มั่นใจในสถานการณ์ของตนเอง

นี่เป็นเหมือนการต่อสู้ของคนสองคน หากเจ้าที่ใส่ชุดสีขาวและมีเลือดเปื้อนไปทั้งตัว ในเวลานี้อีกฝ่ายก็รับรู้ว่าเจ้าคงหายใจอยู่ได้อีกไม่นาน ต่อให้อีกฝ่ายเองก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว แต่ก็อดทนกัดฟันลงดาบให้เจ้าอีกครั้ง เจ้าก็ตายแล้ว

แต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นชุดสีดำหรือชุดสีเข้มก็จะไม่เป็นเหมือนเช่นนั้น ต่อให้เลือดไหล สีที่เข้มนั้นก็จะทำให้คนอื่นมองเห็นได้ไม่ชัด อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเจ้าในตอนนั้นยังคงเหลือแรงอยู่มากแค่ไหน ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนก็ไม่สามารถมั่นใจได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะสามารถเอาชนะเจ้าได้

เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าสีแดงบนตัวของตนเอง เฟิ่งชิงเฉินก็เลือกชุดขี่ม้าสีดำ นางสนมในวังก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยนางถอดเสื้อผ้า นางกำลังจะปฏิเสธแต่ก็พบว่าชุดขี่ม้าของวังนั้นช่างซับซ้อนจนนางไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงให้นางสนมในวังช่วยเหลือนางเปลี่ยนเสื้อผ้า

นางสนมก้มศีรษะอย่างเชื่อฟัง หลังจากถอดเสื้อคลุมออก นิ้วชี้ที่ขีดลงบนหลังของเฟิ่งชิงเฉิน จากบนลงล่าง ทิ้งรอยแดงสีอ่อนที่เบาบางเอาไว้

นำชุดขี่ม้าสีดำตัวนั้น สวมใส่ให้เฟิ่งชิงเฉินจนเสร็จ นิ้วชี้ก็ป้ายลงที่ด้านนอกของชุดอีกครั้ง และทิ้งร่องรอยที่เหมือนกับน้ำเอาไว้บนชุดอีกครั้ง

เฟิ่งชิงเฉินที่กำลังหันหลังให้ จึงไม่ได้รู้ชัดถึงการกระทำเล็กๆเหล่านี้ และเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้สังเกตเห็นเช่นกัน

“เครื่องประดับเหล่านี้ไม่ต้องหรอก แค่สวมปลอกแขนกับสนับเข่าให้ข้าก็พอ” สิ่งของเหล่านี้ทำมาจากหนังวัว เพื่อการปกป้องหัวเข่าและมือทั้งสองข้างโดยเฉพาะ

โดยปกติแล้วมีให้สำหรับพระสนมเท่านั้น ถึงอย่างไรสำหรับผู้หญิงเหล่านี้ร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ในเวลานี้จะให้เฟิ่งชิงเฉินโดนเอาเปรียบได้อย่างไร

หลังจากสวมใส่เรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ให้นางสนมทั้งหมดออกไป นำปิ่นปักผมบนศีรษะออกมา และรวบผมมัดอย่างเรียบง่ายเท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินจับที่จี้หยกที่หน้าอก ที่เสด็จอาเก้าได้ให้ไว้ เฟิ่งชิงเฉินลังเลเล็กน้อย นำมาแขวนรวมกับหยกที่คอ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย

หยกนั้นคืออะไรนางเองก็ไม่รู้ และไม่รู้ว่าใครให้มา เพียงแค่รู้สึกว่าของสิ่งนี้ก็ไม่เลวนัก และจี้หยกที่เสด็จอาเก้าให้ไว้นั้นเป็นสิ่งของที่มีค่า แน่นอนว่าต้องรักษาไว้ให้ดี

นางหยิบหน้ากากที่แช่ยาออกมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบยาระงับประสาทชนิดรุนแรงออกมาสองอัน ไม่ต้องพูดถึงว่านางใช้เล่ห์เหลี่ยม นางไม่มีทางเลือกอื่นและไม่สามารถล้อเล่นกับมือและดวงตาของตนเองได้