หนิงซีฮ่องเต้คิดไม่ถึงกับคำร้องขอนี้ ผู้หญิงในพระราชวังหากมีบุตรและได้รับบารมีเช่นนี้ คงยิ้มเบิกบานอย่างมากแม้กำลังฝัน นึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพยุงนางขึ้นมา “เจ้ากลัวว่าหน้าที่ฉินอ๋องมีมากขึ้น หากเกิดความผิดพลาด จะถูกคนจับผิด ถูกข้าลงโทษ ถูกขุนนางโจมตีงั้นรึ เจ้าวางใจเถิด ลูกชายข้าคนนี้ไม่ธรรมดา เวลาทำสิ่งใดมีความระเอียดรอบคอบเป็นที่สุด หาใช่เด็กน้อยที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าอีกต่อไป ให้ทำหน้าที่สำเร็จราชการแทน นั่นเพราะข้ามีความไว้ใจมากพอ”
เฮ่อเหลียนซื่อเอ่ยอย่างละล่ำละลัก “แต่ฉินอ๋องเพิ่งได้รับรางวัลพระราชทานจากการกำจัดกบฎเยี่ยนหยาง ได้เข้าเฝ้าในท้องพระโรง ได้ขยายจวน ได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในเวลาอันสั้น เกรงว่าอาจมิใช่เรื่องที่ดี องค์ชายท่านอื่นกับขุนนางต่างก็เห็นและอาจเกิดการอิจฉา คิดต่างว่าฝ่าบาททรงไม่ยุติธรรม ได้โปรดเรียกพระราชโองการกลับคืนเถิดนะเพคะ——”
“ไม่ยุติธรรม?” หนิงซีฮ่องเต้ทอดพระเนตรเฮ่อเหลียนซื่ออย่างไม่ละสายตา “ข้าละเลยเจ้าสามมานานหลายปีถึงเพียงนี้ ครั้งนี้ถือว่าข้าชดเชยให้ ไม่มีใครกล้าพูดว่าข้าไม่ยุติธรรมหรอก อวี้เยียน ข้าได้แจ้งพระราชโองการแล้ว เจ้าสามเองก็ว่าราชการมาได้หลายวันแล้ว เรื่องนี้เป็นเช่นนี้แล้วจะเรียกกลับคืนได้อย่างไรกัน บัดนี้เป็นช่วงเวลานำความสามารถคนออกมาใช้ ข้ายินยอมให้เขาได้รับสิ่งนี้ไป เจ้าผู้เป็นแม่ควรยินดีสิถึงจะถูก เหตุใดถึงพยายามเหนี่ยวรั้งความเจริญของเขาล่ะ ภายหลังเหตุการณ์กบฏเยี่ยนหยาง เจ้าสามกลับมาพร้อมชัยชนะ ได้รับรางวัลพระราชทาน เจ้าก็พลอยดีใจไปด้วยมิใช่รึ”
“ฝ่าบาท รางวัลพระราชทานสำหรับเหตุการณ์เยี่ยนหยางนั้น ฉินอ๋องรับไหวเพคะ หม่อมฉันเห็นเขาไม่ถูกผู้ใดดูถูกก็สุขใจมากแล้ว แต่วันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการทำหน้าที่สำเร็จราชการแทน ซึ่งหาใช่คนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ เกรงว่าฉินอ๋องรับไม่ไหวนะเพคะ——” สีหน้าเฮ่อเหลียนซื่อดูกังวลพิกล วิงวอนร้องขอด้วยความจนใจ
“พอเถิด นี่คือเรื่องดีของเจ้าสาม เจ้าเป็นอะไร ข้าเชื่อใจเจ้าสาม แต่เหตุใดเจ้าถึงกระทำทำลายขวัญลูกชายตนเองไม่หยุด นี่ข้าเพิ่งเคยเห็นแม่บังเกิดเกล้าขวางกั้นอนาคตอันดีของลูกชายเป็นครั้งแรก!” หนิงซีฮ่องเต้เหนื่อยล้ามาก สะบัดแขนเสื้อไม่อยากตรัสด้วยไปมากกว่านี้จึงเสด็จขึ้นเกี้ยวทันที
สนมเอกเฮ่อเหลียนเห็นฝ่าบาทไม่พอพระทัยจึงไม่กล้าร้องขอสิ่งใดอีก นางยืนอยู่กับที่ได้ครู่หนึ่งแล้วจึงดึงสติกลับคืนมาและขึ้นเกี้ยวตามไป
ค่ำคืนอันมืดมิด หนิงซีฮ่องเต้หันพระพักตร์กลับไปมองโครงร่างตำหนักเฟิงจ๋าอีกครั้ง ความเจ็บปวดกลางพระอุระยังคงเจ็บแปลบๆ ราวกับน้ำที่เหือดแห้งกลับมาเอ่อล้นอีกครั้ง
ภายในอารามฉางชิง อวิ๋นหว่านชิ่นได้ฟังเจิ้งหวาชิวเล่าถึงคืนก่อนนำพระศพฮองเฮาออกไปฝัง ฝ่าบาทกับสนมเอกเฮ่อเหลียนออกจากพระที่นั่งไปยังตำหนักเฟิงจ๋าอย่างลับๆ ภายหลังกลับมา ฝ่าบาทไม่สบอารมณ์มากนัก จนกระทั่งกลางดึก พระองค์อ้วกเลือดถึงสองครั้ง วันถัดมาอาการประชวรกำเริบหนักกว่าเดิม จนไม่สามารถลงจากพระแท่นบรรทมได้เลย
แต่เรื่องราวก็เป็นดั่งที่เจิงหวาชิวบอกกล่าว ภายหลังที่โลงศพของเจี่ยงซื่อถูกส่งออกจากพระราชวังได้สองวัน ตำหนักฉือหนิงก็ได้แจ้งว่าเจี่ยไทเฮาจะเสด็จมาพบอวิ๋นหว่านชิ่น
บัดนี้ตำแหน่งตงกงว่างเปล่า ตามกฎเกณฑ์แล้วนั้น ก่อนออกจากพระราชวัง เจี่ยไทเฮาจะเรียกหญิงสาวผู้เป็นสมาชิกราชวงศ์ที่กำลังรับโทษมาถามไถ่สองสามประโยค หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติก็จะดำเนินการปล่อยตัวกลับจวน
ในวันนี้ หม่าซื่อพาอวิ๋นหว่านชิ่นมายังตำหนักฉือหนิง
เมื่อได้รับการอภัยโทษแล้ว นี่ก็เป็นการมาเป็นพิธีเท่านั้น
วันเวลาที่ได้ออกจากพระราชวัง เจี่ยไทเฮาลงไว้เป็นสามวันหลังจากนี้ ด้วยเรื่องของฮองเฮาที่เกิดขึ้นทำให้พระนางรู้สึกว้าวุ่นภายในพระทัยไม่น้อย อีกทั้งยังต้องดูแลเรื่องต่างๆ ของวังหลังแทนเป็นการชั่วคราว ยุ่งมากจนแทบปลีกตัวมิได้ พอถามไถ่ได้ไม่กี่ประโยค พระนางก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจึงไม่ได้ตรัสอะไรเพิ่ม สั่งให้อวิ๋นหว่านชิ่นกลับอารามฉางชิงไปก่อน
เมื่อออกจากตำหนักฉือหนิง หม่าซื่อยิ้มพลางเอ่ย “ยินดีด้วยเจ้าค่ะพระชายาฉิน ใกล้จะได้พบกับฉินอ๋องอีกครั้งแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวขอบคุณและแยกทางกับหม่าซื่อ เพิ่งเดินลงบันไดเตรียมตัวกลับอารามฉางชิง ก็เห็นบ่าวรับใช้หน้าคุ้นเดินมาทางไปตำหนักเฟิงจ๋า
นั่นคือหลานถิง
ได้พบหน้ากับอวิ๋นหว่านชิ่นพอดี หลานถิงจึงหยุดย่ำเท้าจากนั้นเดินเข้ามาทักทายพลางถวายความเคารพ “พระชายาฉินมาตำหนักฉือหนิงด้วยหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นบอกกล่าวจุดประสงค์การมาตำหนักฉือหนิง ใบหน้าของหลานถิงเผยความดีใจ “ถ้าเช่นนั้นดีมากเลยเจ้าค่ะ ในที่สุดพระชายาเอกก็จะได้กลับจวนอ๋องเสียที ฉินอ๋องต้องดีใจเป็นแน่ บ่าวจะกลับไปแจ้งให้สนมเอกรับทราบ สนมจะได้วางใจเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางรีบร้อน จึงเอ่ยถาม “ทำไมรึ สนมเอกให้เจ้ามาตำหนักฉือหนิงด้วยเหตุอันใด”
หลานถิงเอ่ยตอบอย่างสุภาพ “ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าช่วงนี้ฮองเฮาเพิ่งเสด็จสวรรคต เรื่องต่างๆ ในพระราชวังล้วนแต่ได้รับการจัดการโดยไทเฮา เจ้านายตำหนักต่างๆ จึงถวายพระพรและทำการรายงานกับตำหนักฉือหนิงทั้งหมด บางครั้งก็จะส่งบ่าวรับใช้ข้างกายอย่างพวกเรามารายงานเรื่องหยุมหยิมประจำวันให้แก่หม่าซื่อรับทราบ”
บ่าวรับใช้สี่คนที่ฉินอ๋องส่งเข้ามายังพระราชวัง มีแต่หลานถิงคนนี้ที่ได้รับความชมชอบจากสนมเอกเฮ่อเหลียน ทุกครั้งที่อวิ๋นหว่านชิ่นได้พบกับเฮ่อเหลียนซื่อ นางจะอยู่ข้างๆ แทบทุกครั้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าหงึกๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เมื่อเห็นหลานถิงกำลังจะเดินไป นางเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้จึงเรียกไว้ “นี่ หลานถิง”
“เจ้าคะ”
“วันที่สามของปีใหม่ เสด็จแม่พำนักอยู่ตำหนิงชุ่ยหมิงหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นแสร้งถามอย่างไม่ตั้งใจ
วันที่สามของเดือนนี้ เป็นวันที่เจี่ยงฮองเฮาถูกคนจากสำนักพระราชวังคุมตัวไปยังตำหนักเฟิงจ๋า
หลานถิงชะงักครู่หนึ่ง รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “เหตุใดพระชายาฉินถึงเอ่ยถามเรื่องนี้หรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ “ไม่มีอันใดหรอก แค่นึกสงสัยเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าการฉลองปีใหม่ในพระราชวังจะเหมือนกับพื้นเมืองหรือไม่ ก่อนวันตรุษจีนสามวันแรกพวกเราจะไปเยี่ยมเยียนแขก เป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุด ไม่รู้ว่าเจ้านายตามตำหนักต่างๆ ปกติทำสิ่งใดกัน พวกเจ้าเคยออกไปเดินพักผ่อนหย่อนใจกับเสด็จแม่บ้างหรือไม่”
นัยน์ตาหลานถิงมีบางอย่างผ่านไปเพียงแค่แวบเดียว นางอ๋อหนึ่งคำแล้วเอ่ย “ในวังจะเดินไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกันอย่างพื้นเมืองได้อย่างไรกัน สองสามวันนั้นเหนียงเหนียงเกิดไม่สบายจึงพักผ่อนอยู่แต่ในตำหนัก ส่วนพวกเราก็เฝ้าปรนนิบัติรับใช้อยู่แต่ในห้องเช่นเดียวกัน ไม่ได้ก้าวขาออกไปแม้แต่ข้างเดียวเลยเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว “เสด็จแม่ไม่สบายรึ อาการเป็นอย่างไรบ้าง เรียกหมอหลวงมาดูแล้วหรือยัง”
หลานถิงส่ายหัว “ขอบพระทัยพระชายาฉิน สนมมีอาการปวดศีรษะเสมอมา คนในตำหนักชุ่ยหมิงต่างก็รู้เรื่องนี้ดี รู้สึกว่าจะเป็นอาการจากเมื่อตอนอยู่เดือน เวลาเจอลมพัดอาการจะกำเริบได้ง่าย หลายเดือนมานี้อากาศหนาว อาการก็กำเริบบ่อยครั้ง เป็นอาการเดิมๆ คุ้นชินกันไปแล้วเจ้าค่ะ พักผ่อนวันสองวันก็จะดีขึ้น เพลานี้มิเป็นไรแล้ว วางใจเถิดเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ เจ้าไปทำธุระต่อเถิด”
หลานถิงย่อตัวทำความเคารพ จากนั้นเดินเข้าไปยังตำหนักฉือหนิง
หลานถิงรายงานเรื่องหยุมหยิมประจำวันให้แก่หม่าซื่อเสร็จ จากนั้นเดินกลับตำหนักชุ่ยหนิงอย่างรวดเร็ว
ภายในตำหนักชุ่ยหนิง เฮ่อเหลียนซื่อใช้มือเท้าแก้มขาวนวลดั่งหยกพนักพิงอยู่บนที่นั่งนุ่ม กำลังพักผ่อนหลับตาพริ้ม
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องฮ่องเต้ให้องค์ชายทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการ ศีรษะก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาราวกับถูกดึงเป็นพักๆ
ตอนนี้ นางเห็นหลานถิงเปิดผ้าเดินเข้ามา หรี่ตามองพลางเอ่ย “กลับมาแล้วหรือ รายงานทุกสิ่งให้กับไทเฮาแล้วใช่หรือไม่”
หลานถิงสั่งให้ชิงฉัน ชื่อสยาและจื่อซวงออกไปก่อน จากนั้นเดินไปปิดประตูผ้าม่านแน่นหนา “เพคะ” จากนั้นเดินเข้าใกล้ที่นั่งนุ่ม เอ่ยเล่าด้วยเสียงเบา “เมื่อตอนเดินไป บ่าวได้พบกับพระชายาฉินตรงหน้าประตูตำหนักฉือหนิงเพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เห็นนางเรียกสามคนนั้นออกไปจึงเอ่ยถาม “มีอันใดหรือไม่”
หลานถิงตอบ “พระชายาฉินถามถึงวันที่สาม ท่านได้ออกจากตำหนักชุ่ยหมิงหรือไม่เพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อมิได้ลุกตัวขึ้น แต่มือที่เท้าแก้มไว้ลื่นไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว “แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร”
หลานถิงเอ่ยต่อ “บ่าวตอบว่าสนมอาการปวดศีรษะกำเริบ พักผ่อนอยู่แต่ในตำหนักเพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อมิได้พูดสิ่งใด แต่ศีรษะเหมือนมีบางอย่างยิ่งดึงยิ่งตึง เจ็บจี๊ดตุบๆ จนแทบสงบใจไม่ได้ แต่กลับพยักหน้าหงึกๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล “บ่าวรับใช้ที่องค์ชายสามส่งมา เจ้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุด ทำงานเก่งที่สุด ฉะนั้นเวลามีเรื่องให้ทำ ข้าก็ไว้ใจเจ้าคนเดียวเท่านั้น”