ตอนที่ 195.2 การปะทะระหว่างลูกสะใภ้กับแม่สามี(2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

หลานถิงเป็นคนหัวฉลาดปากหวาน เมื่อเข้าใจความหมายของเหนียงเหนียงแล้วจึงย่อตัวถวายให้สนมวางใจ “หลานถิงได้รับความรักจากเหนียงเหนียง ย่อมยอมอุทิศตัวเพื่อเหนียงเหนียง เรื่องที่เหนียงเหนียงสั่งให้ทำ บ่าวจะทำคนเดียว สามคนนั้นจะไม่มีวันรู้ บ่าวรู้ดี ไม่ว่าเหนียงเหนียงทำสิ่งใดก็ล้วนแต่ทำเพื่อฉินอ๋อง แม้ว่าผู้อื่นไม่เข้าใจ สงสัยในตัวเหนียงเหนียง แต่บ่าวจะปกป้องเหนียงเหนียงให้ดีที่สุดเพคะ”

นัยน์ตาเฮ่อเหลียนซื่อมีปะกายแสงแวบผ่าน นางลุกขึ้นยืน จากนั้นพยุงนางขึ้นพลางเอ่ยอย่างนุ่มนวลกว่าก่อน “อื้ม”

วันรุ่งขึ้นภายในอารามฉางชิง อวิ๋นหว่านชิ่นร่ำเรียนภาคเช้าเสร็จ แม่ชีจิ้งอี้ให้มอมอจากกุฏิชีมาแจ้งให้นางเก็บข้าวของเครื่องใช้เตรียมตัวออกจากพระราชวังในวันที่สอง

มอมอเพิ่งจากไป บรรดาแม่ชีห้องเดียวกันต่างรุมล้อมแสดงความยินดีกันใหญ่

อวิ๋นหว่านชิ่นพูดคุยด้วยไม่นานก็เริ่มเก็บของ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือกับอุปกรณ์การแพทย์ที่เหยากว่างเย่าส่งมาให้ บรรดาแม่ชีที่ไม่มีกิจอันใดก็มาช่วยเก็บด้วยอีกคน ใช้เวลาเพียงครู่เดียวข้าวของก็ถูกเก็บเรียบร้อย จากนั้นมีเสียงสดใสของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านนอก

อวิ๋นหว่านชิ่นออกไปดูก็พบว่าเป็นหลานถิงกับจื่อซวงสองคน รู้สึกสงสัยจึงลงบันไดพลางถาม “มีกิจอันใดรึ”

หลานถิงพูดไปพลางยิ้ม “ก่อนหน้านี้พระยาชาฉินรับโทษ พระสนมอยากเรียกท่านไปพูดคุยด้วยแต่ไม่สะดวกมากนัก ตอนนี้สะดวกแล้ว พรุ่งนี้ก็จะได้ออกจากที่นี่ วันนี้พระสนมจึงให้พวกเราเชิญท่านไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ หลังจากนี้หากจะเข้าวังก็คงไม่ง่ายแล้วเจ้าค่ะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า กลับเข้าไปบอกกล่าวกับทุกคนเสร็จก็เดินตามสองคนนั้นไปยังตำหนักชุ่ยหมิง

เมื่อถึงหน้าประตูตำหนักชุ่ยหมิง หลานถิงกับจื่อซวงนำทาง อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบเห็นเกี้ยวคันเล็กจอดอยู่ตรงกำแพง คล้ายว่าเป็นพาหนะของขุนน้ำขุนนาง ด้านข้างเกี้ยวมีสาวใช้ยืนอยู่หนึ่งคน

นางชะลอการก้าวเท้า เกี้ยวคันนั้นดูก็รู้ว่าหาใช่เกี้ยวของหญิงในวัง การแต่งกายของบ่าวรับใช้ก็ไม่เหมือนนางกำนัลในวัง

หรือว่ามาจากด้านนอกพระราชวัง

ช่างเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากเสียจริง เพราะเฮ่อเหลียนซื่อไม่มีญาติอยู่ในต้าเซวียน เคยมาตำหนักชุ่ยหมิงอยู่หลายครั้งก็มิเคยเห็นการต้อนรับแขกนอกเลยสักครั้ง

“มีแขกมารึ” อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวข้ามประตูใหญ่ เดินไปพลางถามไป

จื่อซวงหันกลับมาพลางลังเลแวบหนึ่ง กำลังจะตอบแต่ชื่อสยาได้รับคำสั่งจากเฮ่อเหลียนซื่อให้ออกมาต้อนรับ เพิ่งเดินถึงประตูเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมาถึงแล้วจึงเอ่ยต้อนรับพลาง “พระยาชาฉินมาถึงแล้วหรือเจ้าคะ เหนียงเหนียงกำลังรอท่านอยู่ที่ห้องบุปผาเจ้าค่ะ” จากนั้นจัดแจงกับจื่อสยาและหลานถิง “ข้าพาพระชายาฉินเข้าไป พวกเจ้าไปเตรียมน้ำที่ครัวเถิด แล้วนำลองกองผลไม้ปีใหม่ ขนมต่างๆ ที่ได้รับพระราชทานจากไทเฮามอบให้กับตำหนักชุ่ยหนิงมาด้วย อย่าได้ละเลยพระชายาเอกเชียวล่ะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินว่าสนมให้นำผลไม้พระราชทานจากไทเฮาออกมา ก็เอ่ย “มิเป็นไร นั่นเป็นของพระราชทานจากไทเฮาให้กับเสด็จแม่ ข้าจะรับได้อย่างไร”

ชื่อสยาเป็นคนซื่อที่สุดในบรรดาหลานถิงและคนอื่น คิดอย่างไรก็จะพูดอย่างนั้น “พระชายาเอกเกรงใจทำไมกันเจ้าคะ ไทเฮาพระราชทานให้กับตำหนักต่างๆ ทุกปี ปีใหม่ทั้งที เหนียงเหนียงก็หามีโอกาสได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับพระชายาฉินไม่ ของพระราชทานที่สนมได้รับจะกินหมดคนเดียวได้อย่างไรกัน มีพระชายาเอกมากินด้วยกำลังดีเลยเจ้าค่ะ”

“นั่นสิเจ้าคะ สนมมีฉินอ๋องเป็นลูกชายคนเดียว แล้วจะให้ลูกสะใภ้อย่างพระชายาเอกลำบากได้อย่างไรกัน” จื่อสยาอายุน้อยที่สุด เวลาพูดสิ่งใดก็มักตรงไปตรงมา หลานถิงหัวเราะจากนั้นต่างคนต่างแยกกันไปเตรียม

ห้องบุปผาของตำหนักชุ่ยหนิงที่ใช้สำหรับต้อนรับแขกจะอยู่ด้านหลัง ระยะทางค่อนข้างไกล ชื่อสยาพาอวิ๋นหว่านชิ่นเดินลัดเลาะจากด้านซ้ายของห้องโถงเอก

เดินได้ครู่หนึ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถาม “อาการปวดศีรษะของเสด็จแม่หายดีแล้วหรือยัง”

ปวดศีรษะ ชื่อสยาหันกลับมาตอบ “อาการปวดศีรษะของสนมเอกมิได้กำเริบนิเจ้าคะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าแปลกใจ แล้วเหตุใดหลานถิงจึงโกหกกับตนว่าหลายวันนั้นอาการปวดศีรษะของสนมเอกกำเริบ จึงพักผ่อนอยู่แต่ในห้องไม่ก้าวออกจากประตูแม้แต่ก้าวเดียวเล่า

นางมิได้พูดอะไร ยิ้มอย่างแผ่วเบา “อ่อ ข้าคงจำผิด”

ชื่อสยาเป็นคนตรงไปตรงมา จึงมิได้คิดมาก เพียงหันหน้ากลับไปเรื่องนี้ก็หายเป็นปลิดทิ้ง จึงนำทางต่อไป

เมื่อเดินถึงด้านนอกห้องบุปผา ชื่อสยาเข้าไปรายงานก่อน

อวิ๋นหว่านชิ่นยืนรอใต้ระเบียงทางเดินตรงลานกว้าง ตอนชื่อสยาเดินเข้าไปประตูมิได้ปิดสนิท จึงทำให้มีเสียงหวานของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมา

แม้ว่าเสียงพูดไม่ดังฟังมิได้ความ แต่ก็เล็ดลอดออกมาเบาๆ

เป็นเสียงแขกผู้หญิงที่มาตำหนักชุ่ยหมิงในวันนี้

กำลังคิดเดา ชื่อสยาเปิดประตูเดินออกมา “สนมเอกเชิญพระชายาเอกเจ้าค่ะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นถือชายกระโปรงขึ้นก้าวเท้าเข้าไปยังห้องบุปผา ภายในห้องมีเตาเผาวางอยู่ บรรยากาศเงียบสงบไร้ความคึกคักตามเทศกาล

เจี่ยงฮองเฮาเพิ่งสวรรคตไม่นาน แม้ว่าพิธีถูกจัดแบบเรียบง่าย แต่แต่ละตำหนักกับบรรดาขุนนาง ยังคงปฏิบัติสวมใส่ชุดไว้ทุกข์สำหรับฮองเฮาตามกฎเกณฑ์ของต้าเซวียน ขุนนางที่มีตำแหน่งกับสนมพึงสวมชุดไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดวัน งดงานสังสรรค์

เฮ่อเหลียนซื่อสวมชุดไว้ทุกข์ทำให้ความงามลดลงบ้างเล็กน้อยแต่เพิ่มความเรียบหรูจนแทบไม่มีใครเทียบได้ เวลานี้ถือเตาอุ่นมือด้ายทองนั่งอยู่ด้านบนสุดของห้องบุปผา กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านล่าง เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นั้นประจบสอพลอเก่งพอควร

เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่น เสียงพูดเฮ่อเหลียนซื่อก็ชะงัก “ชิ่นเอ๋อร์มาแล้วหรือ นั่งสิ” จากนั้นออกคำสั่ง “ด้านนอกอากาศหนาว นำเตาอุ่นมือให้พระชายาเอกหนึ่งอัน…แล้วก็ให้หลานถิงนำน้ำชามาโดยเร็ว”

แขกผู้หญิงหันหลังให้กับอวิ๋นหว่านชิ่น แต่เรือนร่างนั้นผอมเพรียวซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นหญิงสาวผู้นั้นยืนขึ้นหันกลับมา จากนั้นเดินเข้ามาน้อมทักทายภายใต้การให้สัญญาณโดยเฮ่อเหลียนซื่อ “พระชายาฉิน”

ใบหน้าหานเซียงเซียงงดงามราวกับดอกท้อในเดือนสาม ไม่รู้เป็นเพราะอุณหภูมิในห้องอบอุ่นมากไป หรือพูดคุยกับเฮ่อเหลียนซื่อโดยใช้อารมณ์มากไป ใบหน้านางนั้นมีสีแดงก่ำ เวลาโน้มตัวลงทรวดทรงองเอวผอมบางยิ่งนัก

อวิ๋นหว่านชิ่นหันกลับไปหาคนที่อยู่ด้านบนพลางยิ้มอ่อน “ที่แท้แขกของเสด็จแม่คือคุณหนูหานนี่เอง” พูดเสร็จ ก็นั่งลงบนเก้าอี้วงกลมหมู่ตันด้วยท่านั่งที่ตนนั่งสบาย จากนั้นรับเตาอุ่นมือมาโอบไว้

หานเซียงเซียงมิเห็นว่านางให้ตนลุกขึ้น ร่างกายยังค้างอยู่ที่การย่อน้อมทักทาย จึงเหลือบมองเฮ่อเหลียนซื่อ เมื่อสนมเอกให้สัญญาณจากนั้นถึงนั่งลง

เฮ่อเหลียนซื่อยิ้มพลางเอ่ย “ใช่ พอได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ วันนี้มีเวลาว่างพอดีข้าเลยให้คนส่งข่าวไปให้หานถง ให้ส่งคุณหนูหานเข้ามาเป็นแขกพูดคุยกับข้าเสียหน่อย” ชะงักแวบหนึ่งแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไหนๆ ก็ต้องมาเป็นครอบครัวเดียวกันในไม่ช้าไม่เร็ว”

หานเซียงเซียงหน้าแดงเขินอายก้มศีรษะลง สองมือกำชุดแน่น

อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบจับฝาปิดถ้วยน้ำชาเบาๆ ปัดเป่าความร้อนและจิบหนึ่งคำ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเฮ่อเหลียนซื่อ

เฮ่อเหลียนซื่อคิดเดาว่านางอาจไม่เข้าใจ ใบหน้ายิ้มแย้มยังปรากฏ “เรื่องงานอภิเษกของฉินอ๋องที่ฮองเฮากับฮ่องเต้ได้ปรึกษากันก่อนหน้านี้ ถูกละเลยไปเพราะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นภายในพระราชวัง บัดนี้เรื่องของฮองเฮาถูกจัดการเรียบร้อย เรื่องราชการก็เฉกเช่นเดียวกัน ทุกอย่างได้กลับสู่สภาพเดิมที่ควรเป็น เมื่อวานตอนข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท พระองค์ทรงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก พระองค์มีพระประสงค์ทำตามความปรารถนาของฮองเฮา ข้าเห็นฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้วจึงมิได้พูดอะไรมาก จึงทำได้เพียงทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ชิ่นเอ๋อร์ พวกเจ้าเพิ่งเข้าพิธีด้วยกันไม่นาน ข้ารู้ว่าหากเพิ่มคนในเวลานี้ อาจะทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจมากนัก แต่นี่เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้…เจ้าคงไม่เกลียดชังข้าหรอกใช่หรือไม่”