เรื่องทั้งหมดถูกโยนให้กับฮ่องเต้ แล้วอย่างไรล่ะ อวิ๋นหว่านชิ่นวางถ้วยน้ำชา “หากเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ก็คงค้านมิได้เพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อรู้สึกดีใจได้เพียงแวบเดียว ก็เห็นนางพูดต่อจากที่ยังพูดไม่จบ “…เพียงแต่ว่า ตั้งแต่ที่ฮองเฮาเข้าตำหนักซือฝา ฮ่องเต้ก็มิเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เหตุใดถึงพูดขึ้นมาอีกครั้งหรือเพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อรู้ดีว่านางสงสัยตน ว่าอาจเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องงานอภิเษกกับฮ่องเต้ ชำเลืองมองหานเซียงเซียงทีหนึ่ง จึงเอ่ยเสียงเรียบ “ใครจะรู้กัน บางทีคุณหนูหานมีชะตาได้เข้าจวนอ๋องกระมัง”
วันนี้หานเซียงเซียงเอาอกเอาใจสนมเอก ใช้หมดแล้วทุกวิธี นางปรนิบัตรับใช้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ จนสร้างความชอบใจให้กับสนมเอกเป็นอย่างมาก ภายหลังอวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้ามา ก็รู้ตนต่ำต้อยกว่าหนึ่งขั้นอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนว่าตนทำเรื่องผิด จึงมิกล้าพูดอะไรมาก และก้มศีรษะอยู่ตลอดเวลา เมื่อฟังถึงตรงนี้นางนั่งนิ่งต่อไปไม่ไหว
นางจับกระโปรงยืนขึ้น ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำ หันหน้าเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่นและคุกเข่าลงฟุบ “พระชายาเอก คำมั่นสัญญาของเซียงเซียงที่สวนหลวง วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นมิแปรเปลี่ยน! เซียงเซียงขอเพียงได้อยู่ข้างกายฉินอ๋อง และไม่ขอสิ่งใดอีก ขอเพียงได้พบหน้าท่านอ๋องเพียงแวบเดียวก็พอใจแล้ว ข้าจะไม่ชิงรักกับพระชายาเอกแน่นอน! เมื่อได้เข้าจวนอ๋อง พระชายาเอกมองข้าเป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งก็พอแล้วเจ้าค่ะ——”
การคุกเข่าของนางทำให้ชื่อสยาและคนอื่นต่างพากันตกตะลึง
เฮ่อเหลียนซื่อเผยสีหน้าเอ็นดูจึงเดินเข้าไปพยุงหานเซียงเซียงลุกขึ้นด้วยตัวเองพลางเอ่ย “เจ้าเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ เหตุใดถึงกลายเป็นผู้ต่ำต้อยน่าสงสารถึงเพียงนี้ บิดาของเจ้าแม้ว่าตำแหน่งอาจสู้เจ้ากรมอวิ๋นไม่ได้ แต่ก็มีตำแหน่งภายในพระราชวัง เป็นผู้ได้พบพระพักตร์ฮ่องเต้ มิจำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ เพื่อให้พวกเจ้าได้พูดคุยกันดีดี สร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มิได้เรียกมาเพื่อให้เจ้าร้องห่มร้องไห้เช่นนี้เลย”
หานเซียงเซียงฟังคำสอนของเฮ่อเหลียนเสร็จถึงเก็บน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาและกลับไปนั่งยังที่นั่ง แต่ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างกลับจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่นเพื่อรอคำตอบจากนาง
เฮ่อเหลียนซื่อหันไปทางลูกสะใภ้ที่กำลังลิ้มรสความหอมหวานของน้ำชาและไม่ปริปากเอ่ยแม้แต่คำเดียว และหันมองหานเซียงเซียงผู้เชื่อฟังตนทันทีที่เอ่ยกล่าวพลางขมวดคิ้ว จากนั้นเปล่งเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง “ชิ่นเอ๋อร์เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ! เจ้าดูสิ คุณหนูหานถึงขั้นร้องขอเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีกหรือ” ชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดต่อด้วยเสียงที่เริ่มเข้มขึ้น “ในฐานะเรือนเอก ก็ควรมีกิริยาที่สมกับเป็นเรือนเอกหน่อย”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
อวิ๋นหว่านชิ่นวางถ้วยน้ำชาลง จากนั้นหันไปหาหานเซียงเซียง “เมื่อได้เข้าจวนอ๋อง ให้มองว่าเป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่ง”
“เจ้าค่ะ!” หานเซียงเซียงพยักหน้าหงึกๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยแฝงด้วยความประชดประชัน “คนที่นอนข้างกายท่านอ๋องได้ ให้ข้ามองเป็นบ่าวรับใช้ คนในจวนก็คงมิกล้าหรอกกระมัง วันหนึ่งเจ้าทำให้ท่านอ๋องสามมีความสุข ไม่แน่สุดท้ายแล้วอาจกลายเป็นข้าที่กลายเป็นบ่าวรับใช้ของเจ้าแทน”
บ่าวรับใช้หลายคนแอบยิ้มเบาๆ
หานเซียงเซียงสีหน้าตึงเครียด น้ำตาคลอ เฮ่อเหลียนซื่อเปลี่ยนสีหน้าในทันใด “ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าพูดหยาบคายเกินไปหรือไม่ ยังใช่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งพระชายาเอกอยู่หรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงใช้น้ำเสียงอ่อนน้อม “เสด็จแม่เพคะ บทเพลงหยางชุนไป๋เสวี่ย[1] บทเพลงซย่าหลี่ปาเหริน[2] ต่างมีส่วนดีของตนเอง เวลาพูดพูดให้ชัดแจ้งย่อมดีกว่าอมไว้ในปากไม่กลืนไม่คาย ตอนนั้นท่านแม่ของหม่อมฉันเป็นหญิงไม่หยาบคาย เมื่อเห็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องหนีลำบากมาขออาศัย ด้วยความเป็นเรือนเอก ท่านก็ต้อนรับอย่างโอบอ้อมอารี ยามเห็นน้องสาวคนนั้นกับสามีมีความสัมพันธ์คลุมเครือ ก็ยังคงความสุภาพไว้ เมื่อเห็นสองคนนั้นมีสัมพันธ์จนตั้งครรภ์ท้องใหญ่ ก็ยังคงกัดฟันอดกลั้นรักษาความเป็นฮูหยินเอาไว้ สุดท้ายแล้วท่านแม่อัดอั้นจนจากไป หากในตอนนั้นท่านแม่ปฏิบัติหยาบคายเพียงเล็กน้อย ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดให้น้องสาวออกจากเรือนไปตั้งแต่ตอนนั้น บัดนี้ท่านแม่อาจยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย”
บรรยากาศภายในห้องอึมครึม ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ย เหลือเพียงเสียงลมหายใจ
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เฮ่อเหลียนซื่อถึงถอนหายใจหนึ่งเฮือกและกลับไปยังที่นั่ง มองหน้านางพลางเอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นเช่นใดเจ้าก็มิยินยอมใช่หรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นพลันหยิบถ้วยน้ำชาที่เติมน้ำชาจนเต็ม จิบหนึ่งอึกให้ชุ่มคอแล้ววางลง จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพถ่อมตน “ความเป็นเรือนเอกที่เสด็จแม่กล่าวเมื่อครู่นี้ หม่อมฉันมิเคยรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาด้วยการให้จากพระสวามี”
เฮ่อเหลียนซื่อยังมองไม่ละสายตาพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเริ่มเย็นชา “แท้จริงแล้วหานซื่อแต่งเข้าจวน มิต้องขอการยินยอมจากเจ้า เมื่อใดที่พระราชโองการถูกประกาศ เรื่องนี้ก็จะเป็นไปตามนั้น วันนี้ที่เรียกเจ้ามา เพียงเพราะเจ้าเป็นพระชายาเอกเท่านั้น ถึงได้บอกกับเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ายืนกรานด้วยท่าทีเช่นนี้ งั้นก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ได้ทำหมดแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นลิ้มรสน้ำชาอย่างนิ่งเงียบ ท่าทีเช่นนี้แล้วมันเป็นอย่างไรรึ ท่าทีนี้แหละที่ต้องแสดงออกมาอย่างไม่ปิดกั้น หากความคิดจะเพิ่มคนเข้าไปยังจวนอ๋องของเฮ่อเหลียนซื่อไม่ถูกห้ามไว้ ในภายหลังอาจมีเช่นนี้อีกเป็นแน่
เมื่อพูดกันถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้นางได้รู้ นางสามารถเพิ่มคนได้ตามความประสงค์ แต่หากผู้นั้นได้เข้าไปแล้วจะมีชะตาชีวิตเป็นเช่นไรนั้นก็อยู่ที่นางแต่เพียงผู้เดียว
เฮ่อเหลียนซื่อสังเกตเห็นสีหน้าเย็นเยือกแปลกประหลาดของนาง ภายในใจรู้สึกหวาดเกรง ถ้วยน้ำชาดินสีม่วงในมือ ตรงช่องว่างระหว่างนิ้ว มีเสียงแกร็กเบาๆ ดังขึ้น เวลาผ่านไปครู่หนึ่งถึงนิ่งสงบ จากนั้นก็ดื่มน้ำชากับสองคนตามปกติอีกทั้งยังพูดคุยกันเรียบๆ บ้านๆ หามิเรื่องไม่สบอารมณ์ไม่
บรรยากาศกลับคืนสู่ก่อนหน้านี้
นั่งได้ครู่หนึ่ง เสียงเท้ากระทบพื้นก็ดังขึ้น หลานถิงเดินเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นเดินมากระซิบข้างหูสนมเอกซุบซิบกันครู่หนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเฮ่อเหลียนซื่อ ทั้งยังหันศีรษะไปถามเสียงเบาด้วยความสงสัย “จริงรึ”
“เพคะ เมื่อตอนจางเต๋อไห่ไปรับของที่กองกิจการภายใน ได้ยินคนในวังพูดเช่นนั้น คนนั้น น่าจะกำลังไปสำนักพระราชวังเพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “ตาข่ายสวรรค์ ห่างแต่ไม่รั่ว[3]”
หานเซียงเซียงเห็นสีหน้าเฮ่อเหลียนซื่อซีดขาว มือเท้าสั่นคลอนเบาๆ ก็อดเป็นห่วงมิได้ “สนมเอก เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อมองหานเซียงเซียงกับอวิ๋นหว่านชิ่นหนึ่งที ท่าทางคล้ายว่ามีเรื่องยากจะที่จะปริปาก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถอนหายใจพลางแจ้ง “หลานถิง เจ้าบอกกับพระชายาฉินและคุณหนูหานเถิด”
หลานถิงเห็นเจ้านายสั่งเช่นนั้น แล้วคนในห้องก็เป็นคนกันเองทุกคน จึงไม่ปิดบังต่อไป หันหน้าเข้าหาสองคนที่นั่งอยู่ด้านล่างแล้วเล่าเสียงเบา “เมื่อครู่หนี้จางเต๋อไห่บอกว่า จับนางกำนัลหญิงภายในพระราชวังได้หนึ่งคน ถูกส่งตัวไปยังกรมยุติธรรมแล้ว ตั้งแต่ที่ฮองเฮาถูกกักตัวตำหนักซือฝา ก็ทรงซ่อนมีดไว้เล่มหนึ่ง แล้วผู้ที่ยื่นมีดเล่มนั้นให้ก็คือนางคนนั้นเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งตัวตรง “นางกำนัล” พูดออกมาพลางหันหน้ามองเฮ่อเหลียนซื่อหนึ่งที
ภายในใจหานเซียงเซียงก็ตะลึงอึ้งไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาเสด็จสวรรคตกะทันหัน กลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ท่านพ่อเองก็เคยพูดถึงเมื่อตอนกลับเข้าจวน เพียงแต่ว่าโอรสแห่งสวรรค์ได้ประกาศแจ้งแล้วว่าสิ้นพระชนม์เพราะประชวร บรรดาขุนนางจะกล้าพูดสิ่งใดอีก
แต่มาวันนี้ได้ยินว่า——ฮองเฮาแอบซ่อนมีด
เป็นเช่นนั้นจริงด้วย การสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาหาใช่การสิ้นอย่างปกติไม่ เกรงว่าอาจมีเงื่อนงำ และอาจเกี่ยวข้องกับมีดเล่มนั้น
ความลับแห่งราชวงศ์อันใหญ่หลวงนี้ สนมเอกไม่ปลีกตัวออกเลยสักนิด ไม่เพียงแต่ไม่ให้ตนออกไปด้านนอกก่อน แต่ยังให้ตนนั่งฟังไปพร้อมกับพระชายาฉิน มั่นใจได้เลยว่านางถูกมองเป็นคนกันเอง หานเซียงเซียงรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด
ณ ตอนนั้น หลานถิงตอบคำถามอวิ๋นหว่านชิ่น “เจ้าค่ะ เป็นนางกำนัลในตำหนักเฟิงจ๋า เคยได้รับพระคุณจากฮองเฮา ยามวันที่ฮองเฮากลับตำหนักเฟิงจ๋าเพื่อรวบรวมหลักฐาน ฮองเฮาเคยให้สัญญาณแก่นางให้นางเตรียมมีดสั้นให้กับตน จากนั้นกันคนอื่นออกไปด้วยความตั้งใจ แล้วได้รับมีดเล่มนั้นมาจากสวนดอกไม้ในตำหนัก”
[1] หยางชุนไป๋เสวี่ย เป็นบทประพันธ์ดั้งเดิมชั้นสูงสมัยจั้นกั๋ว ภายหลังมีนัยแฝงว่าเป็นศิลปะวรรณกรรมชั้นสูงที่ไม่มีความนิยม
[2] ซย่าหลี่ปาเหริน เป็นบทประพันธ์พื้นบ้านสมัยจั้นจั๋ว ภายหลังมีนัยแฝงว่าเป็นศิลปะวรรณกรรมที่มีความนิยม
[3] ตาข่ายสวรรค์ ห่างแต่ไม่รั่ว อุปมาว่าสวรรค์มีความยุติธรรม