“แล้วนางกำนัลผู้นั้นถูกจับได้อย่างไร” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยถาม
นัยน์ตาเฮ่อเหลียนซื่อนิ่งเรียบ แต่ข้างในนั้นเดือดปุดราวกับคลื่นใต้น้ำ ถึงกับต้องถามจนถึงที่สุด
หลานถิงเอ่ยตอบ “เหมือนว่าภายในห้องของนางกำนัลผู้นั้นมีมีดชุดที่ลายและแบบแบบเดียวกันถูกพบเข้าโดยบังเอิญ หลายวันมานี้ฝ่าบาททรงตรวจสอบพอดีว่าผู้ใดยื่นมีดให้กับฮองเฮา แล้วเช้าวันนี้นางกำนัลถูกจับได้ พอสอบสวน นางก็สารภาพหมดเปลือก ฝ่าบาทจึงทรงกริ้วมาก ได้ยินมาว่าเวลานี้ได้จับตัวนางกำนัลผู้นั้นไว้แล้ว”
เฮ่อเหลียนซื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมิกล่าวแต่อย่างใด จึงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบขรึมนั้นโดยหันไปหาหลานถิง “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทก็คงวางพระทัยได้เสียที”
หานเซียงเซียงไหลไปตามน้ำสนมเอก เอ่ยด้วยเสียงใส “นั่นสิเพคะ ฟ้าสวรรค์มีตา สิ่งใดที่เคยกระทำ อย่างไรเสีย ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องพบความผิดพลาดในสักวัน”
เฮ่อเหลียนซื่อมองหานเซียงเซียงด้วยความพึงพอใจทีหนึ่ง เอ่ยเสียงนุ่มนวล “แต่เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องภายในซึ่งมิควรพูดออกไป หากคุณหนูหานออกจากพระราชวังไป อย่าได้พูดออกไปเชียว”
หานเซียงเซียงลุกขึ้นพรวดด้วยความหวาดเกรง “สนมเอกเชื่อใจเซียงเซียง มองเซียงเซียงเป็นดั่ง…” เหลือบมองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยความระมัดระวัง “…มองเป็นดั่งคนในครอบครัวเดียวกัน เซียงเซียงจะทำให้สนมเอกเดือดร้อนได้อย่างไรกันเพคะ เรื่องนี้จะถูกปิดอย่างแน่นอน บิดาและมารดาก็จะมิรับรู้แม้แต่คำเดียวเพคะ”
เฮ่อเหลียนซื่อยิ้มปริ หันหน้าไปทางลูกสะใภ้เรือนเอกที่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา ราวกับว่าสัมผัสไม่ได้เลยว่าระหว่างตนกับคุณหนูหานพูดคุยกันราวกับเป็นลูกสะใภ้กับแม่สามี จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่รึ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น “เรียนเสด็จแม่ ไม่มีอันใดเพคะ เพียงแค่รู้สึกว่านางกำนัลคนหนึ่ง ช่างกล้าหาญยิ่งนัก แม้จะเป็นนางกำนัลผู้นั้นจริง ตอนนั้นหาตัวไม่พบ เวลาผ่านไปนานถึงเพียงนี้จู่ๆ ก็หาตัวพบ ก็น่าแปลกเพคะ”
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนซื่อเปลี่ยนเป็นเย็นชา น้ำเสียงกลับไม่เปลี่ยน “ชิ่นเอ๋อร์รู้สึกว่าจับผิดคนงั้นรึ หลักฐานพร้อมเพียงนี้ แล้วนางกำนัลก็ยอมรับเสียด้วย เจ้าเด็กคนนี้นี่ ชอบคิดมากอยู่เรื่อย มิสู้เรียนรู้กับคุณหนูหาน แม้ว่ายังมิออกเรือน แต่เต็มไปด้วยท่าทางของผู้เป็นภรรยาและแม่ที่ดี”
ระหว่างคำและประโยคนั้น สะท้อนให้ลางๆ ถึงความไม่ชอบใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นถึงความพยายามกดอารมณ์ของตัวเองไว้ น่าสงสัยเป็นอย่างมากแต่มิได้พูดสิ่งใดต่อ
หานเซียงเซียงเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของสนมเอกเฮ่อเหลียน กลัวว่าจะไม่ปลื้มใจจึงเอ่ยขึ้นกะทันหัน “สนมเอกอย่าโกรธเลยนะเพคะ พระชายาฉินมิได้มีเจตนา อาจเพียงแค่สงสัยจึงพูดเช่นนั้นออกมาเพคะ”
“สงสัย?” เฮ่อเหลียนยืนขึ้น ใบหน้าอันอ่อนหวานในวันปกติหายไปอย่างรวดเร็ว “ก่อนหน้านี้แอบไปฉังชวนกับแม่ทัพเสิ่นก็เพราะสงสัย แอบเข้าร่วมขบวนผู้ประสบภัยของเมืองเยี่ยนหยางก็เพราะสงสัย กลับมาได้รับโทษแต่ไม่สำนึกผิด ยังคิดสงสัยอยู่อีกหรือ ฉินอ๋องมิกล้าสอนเจ้า แต่ข้าในฐานะแม่สามี ข้าทนนิสัยนี้ของเจ้าไม่ได้ เราสองคนหาได้เหมือนลูกสะใภ้กับแม่สามีอย่างประชาชนทั่วไปไม่ ที่ได้พบหน้ากันทุกวัน วันนี้ได้พบหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย ข้าต้องตั้งกฎสอนเจ้าแล้วเสียจริง!”
สนมเอกโมโหมากจนบ่าวรับใช้ถึงกับตกใจ ต่างพากันเงียบมิกล้าขยับ
ส่วนหานเซียงเซียงแม้เพิ่งเคยพบเฮ่อเหลียนซื่อ แต่นางนั้นรู้ว่าสนมเป็นคนอ่อนน้อม การปฏิบัติต่อผู้อื่นล้วนมีแต่ความนอบน้อมอ่อนหวาน แม้กระทั่งเมื่อครู่นี้ก็ปฏิบัติกับตนอย่างสุภาพและนุ่มนวล หากเกิดการโมโหขึ้นแสดงว่ามีเรื่องเกิดขึ้นแล้วจริง หาใช่การหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้จึงหันไปเกลี้ยกล่อม “…พระชายาฉิน ท่านยอมรับผิดกับสนมเอกเถิด อย่างน้อยก็เป็นแม่สามีนะเจ้าคะ สนมเอกเป็นผู้โอบอ้อมอารี หากพูดกันชัดแจ้งแล้วก็คงไม่มีอันใด…”
กลับเห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดสีเรียบใบหน้าขาวดั่งหยกหันไปสบตาเขม่น นางกลืนคำพูดกลับไป ก็มีเสียงลอยออกมา “คุณหนูหานรู้หรือเจ้าคะว่าข้ากับสนมเอกเป็นลูกสะใภ้กับแม่สามี การที่คุณหนูแทรกแซงเรื่องภายในครอบครัวผู้อื่นเช่นนี้ จะเรียกว่าเกลี้ยกล่อมหรือยุแยงดีล่ะ”
เสียงที่กล่าวไม่ดัง อารมณ์ที่แสดงก็เรียบ ไม่มีอาการโมโหแม้แต่น้อย และหากคิดว่าเป็นการตำหนิหรือด่าทอก็ยิ่งไม่ถึงระดับนั้น นี่เป็นการโต้กลับตนซึ่งหน้าครั้งแรกของอวิ๋นหว่านชิ่น หานเซียงเซียงถึงกับชะงักและรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่สุด
เฮ่อเหลียนซื่อเห็นทุกอย่าง ภายในใจเต้นตึกตักจังหวะเร็วมากในทันใด และอดกลั้นต่อไปไม่ไหวพลันโพล่งออกไป “คุณหนูหานพูดผิดตรงไหน ไม่ช้าและเร็วก็ได้เข้าจวนอ๋องอยู่ดี แม้ว่าตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าหนึ่งขั้นก็ตาม นางก็มีสิทธิ์ออกเสียงได้เช่นกัน! หากจวนอ๋องมีหญิงสาวเรียบร้อย อ่อนหวาน ไม่แก่งแย่งชิงเช่นนี้มาดูแล จวนฉินอ๋อง นี่สิถึงจะมีความสงบสุข ลูกของข้าถึงจะไร้ความกังวลต่อสิ่งที่อยู่ด้านหลัง!”
ประโยคนี้เป็นคำพูดห้วงลึกของเฮ่อเหลียนซื่อ ไม่เพียงแต่ต้องการให้หานเซียงเซียงเข้าจวนอ๋อง หากว่าเป็นไปได้ ก็อยากจะให้นางดำรงตำแหน่งแทนที่พระชายาฉินไปเลยยิ่งดี
ชื่อสยา หลานถิงและคนในเหตุการณ์ถึงกับหวาดกลัวไปหมด
บรรยากาศตึงเครียด เย็นเชียบ และดำดิ่งราวกับหยาดหิมะละลายที่เกาะตัวเป็นแท่งน้ำแข็งตกสู่ก้นลึกของแม่น้ำ ถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ในเร็วๆ นี้
ณ เวลานั้น เสียงจางเต๋อไห่ดังเข้ามาถึงห้องบุปผา “พระสนม ฉินอ๋องมาพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนซื่อชะงักแล้วเอ่ย “ให้เข้ามา”
ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ดีเหมือนกัน
สนมเอกลุกขึ้นยืนยื่นมือออกหนึ่งข้าง “เซียงเซียง”
ไม่ให้นางกำนัลประคองก็ว่าแล้ว ลูกสะใภ้เรือนเอกก็อยู่ทั้งคน แต่กลับเลือกให้คุณหานผู้ไม่มีตำแหน่งใดมาประคอง…ช่างไม่ไว้หน้าพระยาชาฉินเลยแม้แต่น้อย บ่าวรับใช้ต่างพากันก้มหน้าหวาดกลัว
หานเซียงเซียงได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ แต่กลับลังเลไม่กล้าเดินเข้าไป กลัวว่าจะทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นอิจฉาโมโหอีก แต่พอถูกสนมเอกเร่งหนึ่งทีก็กล้าเดินเข้าไปประคอง
เฮ่อเหลียนซื่อไม่แม้แต่จะหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น มีเพียงประคองหานเซียงเซียงเดินไปยังหน้าประตูเพื่อต้อนรับฉินอ๋องพร้อมกัน
จางเต๋อไห่เดินนำหน้า ด้านหลังมีชายหนุ่มสวมฉลองพระองค์ลายมังกรถักด้ายทอง สวมฉลองพระบาทสีน้ำตาล กำลังก้าวเท้าเข้ามายังด้านใน
ใจของหานเซียงเซียงเต้นแรงจนแทบทนไม่ไหว ครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้า ก็เมื่อครั้นกลับเข้าเมืองหลวงจากการไปล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงตรงหน้าประตูเมือง นางเปิดผ้าม่านรถม้าออกเพื่อแอบมองเขาหนึ่งที
การได้พบหน้าเพียงแวบเดียวในตอนนั้น ทำให้นางคิดถึงเขาทุกวัน
เพลานี้ชายหนุ่มมีอำนาจอยู่ในมือ มันยิ่งทำให้เขาดูสง่ากว่าเดิม
สายตาทอดไปยังชายหนุ่ม เขาหยุดก้าวเท้าทันทีที่เข้ามาด้านใน นัยน์ตาสีดำคู่นั้นหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนซื่อกับตน วินาทีนั้นใจเต้นเร็วขึ้นอีก แต่แล้วกลับเห็นเขาขมวดคิ้ว หาได้ถวายความเคารพทันทีไม่ แล้วก็มองผ่านไปยังคนที่อยู่ด้านหลังและไม่ขยับตัว
สีหน้าแววตาของซย่าโหวซื่อถิงนิ่งสงัด ราวกับไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก การที่เสด็จแม่ให้ลูกสะใภ้เรือนเอกอยู่ด้านหลังแล้วประคองผู้อื่นมาต้อนรับตน นี่มันคือสิ่งใดกัน
เฮ่อเหลียนซื่อมองสีหน้าลูกชายออกว่าไม่พอใจ นางเอกก็เช่นเดียวกัน เพียงแค่ปฏิบัติกับพระชายาเอกของเขาอย่างไม่ยุติธรรมเล็กๆ น้อยๆ ถึงขั้นลืมแม้กระทั่งการถวายความเคารพกับตน หากเป็นเรื่องใหญ่จะไม่เหลวไหลไปมากกว่านี้หรือ
ทีแรกยังเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทบอกองค์ชายให้รับนางเข้ามา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกทำผิดกับการตัดสินใจในตอนนั้น
เฮ่อเหลียนซื่อเปล่งเสียงเย็นชา “ฉินอ๋องทำงานส่วนราชการเสร็จทั้งหมดแล้วหรือ เหตุใดถึงมีเวลาว่างมาถึงตำหนักแม่ได้”
ซย่าโหวซื่อถิงหยุดมองอวิ๋นหว่าชิ่น เอ่ยตอบอืมหนึ่งคำอย่างใจไม่อยู่กับตัว “งานส่วนราชการทำเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ ก็เลยมาเยี่ยมเสด็จแม่”