มาหานางงั้นรึ มาเพราะรู้ว่ารากชีวิตของตนอยู่ที่นี่มากกว่ากระมัง เฮ่อเหลียนซื่อหน้านิ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “ฉินอ๋องมาแล้ว ยังไม่รีบไปยกน้ำชามาอีก”
หลานถิงกับชื่อสยามองหน้าซึ่งกันและกันและเข้าใจความหมายของเจ้านายจึงพาบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ออกไป
เฮ่อเหลียนซื่อตบมือหานเซียงเซียง แปะๆ เบาๆ ครั้งนี้ เอ่ยพลางยิ้ม “เจ้าเด็กโง่ ยังนิ่งอยู่ใยกัน ไปหยิบเตาอุ่นมือของข้ามาให้ฉินอ๋องสิ ถึงแม้ว่าเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วก็เถิด แต่อากาศก็ไม่ได้อุ่นไปกว่าตอนหิมะตกเลยแม้แต่น้อย ฉินอ๋องเพิ่งมาจากด้านนอกคงหนาวไปหมดแล้วทั้งตัว”
หานเซียงเซียงเข้าใจดีว่าสนมเอกกำลังสร้างโอกาสให้ตน จึงหยิบเตาอุ่นมือดิ้นทองขึ้นมาอย่างระวัง
สีหน้าของซย่าโหวซื่อถิงแย่ลงกว่าเดิม หันหน้าหาเสด็จแม่แต่สนมกลับตั้งใจหลบสายตา พอหันมาอีกทีหญิงสาวผู้อ่อนแอก็เดินมาหาตนแล้ว
หานเซียงเซียงได้กลิ่นหอมอำพันทะเลจากเรือนร่างของชายหนุ่ม เขาช่างสง่างามราวกับเทพเจ้าบนฟ้าสวรรค์ ดวงใจน้อยๆ เต้นกระสับกระส่าย นางยื่นเตาอุ่นมือออกไป “ฉินอ๋อง”
ซย่าโหวซื่อถิงยกมือขึ้นมา หานเซียงเซียงรู้สึกว่าปลายนิ้วของเขาสัมผัสโดนตัวเองก็ยิ่งรู้สึกเขินจนชวนให้เพ้อฝัน แต่แล้วเขากลับปัดเตาอุ่นมือทิ้งพร้อมขมวดคิ้วแน่น “ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
หานเซียงเซียงตะลึงงัน ชายหนุ่มไม่คิดออมมือแม้แต่น้อยและไม่สนว่าจะทำให้ตนบาดเจ็บหรือไม่ ขณะที่ปัดเตาอุ่นมือทิ้ง ตัวนางก็เอนไปตามแรงแทบล้มลง
โชคดีที่จางเต๋อไห่ช่วยพยุงไว้ทันท่วงที และสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของร่างกาย ดวงตาแดงก่ำน้ำตาคลอ
เฮ่อเหลียนซื่อรู้ว่าลูกชายมิสามารถแสดงอารมณ์กับตนได้ จึงได้ระบายใส่หานเซียงเซียง แต่ก็อยากที่จะเลี่ยงการตำหนิได้ “ลูกทำเช่นนี้กับคุณหนูหานได้อย่างไรกัน นางอุตส่าห์ยื่นเตาอุ่นมือให้กับเจ้าด้วยใจ ก็เพียงเพื่อดูแลเจ้าเท่านั้น” เอ่ยพลางหันไปดึงมือหานเซียงเซียงขึ้นมาดูว่ามีบาดแผลตรงไหนหรือไม่
หานเซียงเซียงได้รับการปกป้องจากสนมเอก คงมิต้องพูดความไม่ยุติธรรมที่ได้รับ มันเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกเป็นเม็ดๆ ราวกับสร้อยไข่มุกที่เส้นด้ายขาด แม้ว่าน้ำตาบังจนพร่ามัว แต่ก็ยังทอดสายตาไปยังฉินอ๋องไม่ห่าง
ซย่าโหวซื่อถิงฟังหูไว้หูอย่างไม่สนใจ “ข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาดูแล” จากนั้นเดินเข้าไปจับมืออวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นมาต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในห้อง “เพราะพระชายาของลูกอยู่ตรงนี้” พูดอยู่พลางจูงมือนางไว้และเดินกลับมา
หานเซียงเซียงเห็นมือของเขาสองคนจับกันแน่นก็พลางอึ้ง น้ำตาหยุดไหล และรู้สึกหวาดกลัว
เฮ่อเหลียนซื่อปลอบใจด้วยการตบมือเบาๆ สีหน้าแสดงความเย็นชาออกมาเล็กน้อย ช่างทำให้ผู้อื่นรู้สึกอยู่ไม่สุขอย่างไรอย่างนั้น “ได้ ในเมื่อวันนี้พวกเจ้าสามคนอยู่กันพร้อมหน้า ข้าขอพูดเลยก็แล้วกัน เสด็จพ่อของเจ้าตัดสินพระทัยแล้วว่าจะให้คุณหนูหานเข้ามาเป็นพระชายารองในจวนฉิน พระราชโองการได้ร่างเสร็จแล้ว และจะถูกประกาศออกไปในเร็วๆ นี้ งานไหว้ทุกข์ของฮองเฮาคือยี่สิบเจ็ดวัน ภายหลังหนึ่งเดือน ก็จะดำเนินการสู่ขอกับตระกูลหานให้กับเจ้า ไม่ช้าและไม่เร็วคุณหนูหานก็ต้องเป็นอนุภรรยาของเจ้าอยู่ดี วันนี้ที่เจ้าเสียมารยาท แม่จะคิดว่าเจ้ายังไม่รู้จักคุณหนูหาน แต่หลังจากนี้เจ้าห้ามกระทำเช่นนี้อีกเป็นอันขาด!”
ซย่าโหวซื่อถิงยังคงกุมมือหญิงข้างกายแน่น เหลือบมองหานเซียงเซียงทีหนึ่ง “ข้าไม่รู้จักได้อย่างไร ไม่เพียงแต่รู้จัก แต่รู้จักเป็นอย่างดีต่างหาก การที่เสด็จพ่อเปลี่ยนพระทัยกะทะหัน ก็เพราะเสด็จแม่เป็นคนไปกล่าวโน้มน้าว”
เป็นเช่นนี้เอง ที่ฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัยกะทันหันอย่างไร้เหตุผล อวิ๋นหว่านชิ่นมองเฮ่อเหลียนซื่อหนึ่งที
เฮ่อเหลียนซื่อกริ้ว “แม้ว่าแม่เป็นคนพูดแล้วอย่างไรกันเล่า คุณหนูหานเป็นหญิงอ่อนน้อมจิตใจดี แล้วยังมีใจให้กับเจ้า คิดคะนึงหาเจ้าเสมอ ยอมละทิ้งทุกอย่างได้เพื่อเจ้า มีนางดูแลเจ้า เจ้าต่างหากที่ได้รับวาสนานี้ วันนี้ข้าได้พูดคุยกับนาง ข้าชอบกิริยาของนางมาก การที่จวนอ๋องมีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน มันคือโอกาสการผลิดอกออกผล ยิ่งสามารถช่วยให้ครอบครัวของเจ้าสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น หรือเจ้าคิดว่าการที่แม่ไปขอเรื่องนี้กับฝ่าบาท เป็นเรื่องที่ผิดงั้นรึ ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังคิดจะให้ข้าไปคุกเข่าร้องขอให้ฝ่าบาทเรียกพระราชโองการกลับคืน มิต้องจัดงานอภิเษกให้กับเจ้าอย่างนั้นรึ เจ้าถึงจะพอใจ”
ซย่าโหวซื่อถิงนิ่งเงียบครู่ใหญ่ มองหน้าหญิงตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าเขากำมือแน่นมากขึ้นกว่าเดิม แล้วก้มีเสียงดังขึ้นหู “ฝั่งเสด็จพ่อ ลูกจะไปพูดอยู่แล้ว” ชะงักทีหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ขอเพียงเสด็จแม่ โปรดอย่าทำสิ่งใดอีก”
เพียงแค่ประโยค “ขอเพียงเสด็จแม่โปรดอย่าทำสิ่งใดอีก” เฮ่อเหลียนซื่อตัวชา
ลูกชายคนนี้ ให้ความเคารพและเกียรติกับตนเสมอมา แต่น้ำเสียงเมื่อครู่คือท่าทีของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ออกคำสั่งกับขุนนาง
ได้กุมอำนาจราชการไม่กี่วัน ความทะเยอทะยานที่ซ่อนข้างในถูกปลุกให้ตื่นแล้วหรืออย่างไร
“แม่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะข่มขู่แม่บังเกิดเกล้าเพราะพระชายาเอกของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าควรดีใจที่เจ้าเก่งกาจสามารถ หรือควรโกรธดี” เฮ่อเหลียนซื่อกล่าวด้วยความทอดถอนใจ
ซย่าโหวซื่อถิงหลีกเลี่ยงหัวข้อการสนทนานี้ด้วยการเอ่ย “เดิมทีเสด็จแม่ก็ชอบใจชิ่นเอ๋อร์”
เฮ่อเหลียนซื่อยิ้มฝืนและยังคงควงแขนหานเซียงเซียง “เจ้าไม่ต้องต้องบ่ายเบี่ยงเป็นเรื่องอื่น ท้ายที่สุดแล้วเจ้าหมายถึงข้าสู้พระชายาเอกของเจ้าไม่ได้ สำคัญไม่เท่านางก็เท่านั้น ข้าตั้งครรภ์เจ้ามาสิบเดือน สุดท้ายกลับต้องพบเจอเช่นนี้ ข้าเลี้ยงลูกชายข้าเสียเปล่าจริงๆ…ท้ายที่สุดแล้วก็ยังสู้เมียใหม่คนหนึ่งไม่ได้ เจ้าเป็นลูกชายที่กตัญญูของข้าจริงๆ”
ซย่าโหวซื่อถิงออกแรงมากขึ้นอีก กำแน่นจนมืออวิ๋นหว่านชิ่นเหงื่อแทบไหล “หากเกิดอันใดขึ้นกับเสด็จแม่ แม้ว่าต้องจบชีวิตลูก ลูกก็จะปกป้องให้ถึงที่สุดเช่นกัน” ชะงักครู่หนึ่ง จึงเห็นสีหน้าเฮ่อเหลียนซื่อดูคลายลง “แต่ ชิ่นเอ๋อร์เป็นชีวิตของลูก”
ใบหน้าเฮ่อเหลียนซื่อกลายเป็นซีดขาว รู้สึกชาถึงขั้นใช้นิ้วจิกเข้าตรงกลางฝ่ามือ
ทันทีที่คำพูดของฉินอ๋องกล่าวออกไป ใจลึกๆ ของหานเซียงเซียงเหมือนมีบางอย่างกำลังล่มสลาย น้ำตาที่คลอเบ้าในที่สุดก็ไหลลงมาพรากๆ หากมิใช่เพราะได้การประคองจากสนมเอก เกรงว่าร่างกายก็คงยืนไม่ไหวเช่นกัน
ซย่าโหวซื่อถิงจิ้มมือฝ่ายตรงข้ามเพื่อบอกเป็นนัยว่าไปกันเถิด จึงเอ่ยกับเฮ่อเหลียนซื่อ “วันนี้ตำหนักชุ่ยหมิงมีคนมาหามาก เสด็จแม่ก็คงเหนื่อยล้าแล้ว ไปพักผ่อเถิด” พูดจบก็ดึงมืออวิ๋นหว่านชิ่นหันหลังทันที
เฮ่อเหลียนซื่อรู้ดีว่าลูกชายอาจเดินไปหาฝ่าบาท พอได้สติจึงขัดขวาง “งานอภิเษกนี้เป็นคำขอสุดท้ายของฮองเฮา ในเมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้ว พระองค์ไม่มีวันเปลี่ยนพระทัยเป็นแน่ หากเจ้าเล้าหรือมาก ก็มีแต่เอาไข่ไปกระทบหิน ฮ่องเต้จะทรงกริ้วเท่านั้น ซื่อถิง! ความตั้งใจของเจ้าตลอดเวลาที่ผ่าน คิดว่าแม่ไม่รู้หรือไร เจ้าเพิ่งจะทำหน้าที่สำเร็จราชการไม่นาน เพิ่งสัมผัสการมีผลงาน หรือเจ้าคิดอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมงั้นรึ!”
ค่ำคืนที่เสด็จไปเยี่ยมเจี่ยงซื่อพร้อมฮ่องเต้ ฮ่องเต้สิ้นหวังดั่งใจที่ตายด้าน โอบกอดชุดเด็กทารกนั้นอย่างรู้สึกผิดจนแทบดึงตัวเองกลับคืนมาไม่ได้ พลางรู้สึกเจ็บปวดคล้อยตาม
ฮ่องเต้ ไม่มีวันเปลี่ยนพระทัยเป็นแน่ ขอคำเล็กๆ เพียงเท่านี้ ฮ่องเต้จะต้องทำเพื่อฮองเฮาอย่างแน่นอน
หากทำให้ทรงกริ้ว ลดหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ยังมิเป็นไร กลัวก็แต่ฮ่องเต้จะนำความรู้สึกผิดต่อฮองเฮาพาลใส่ลูกชาย นอกจากนี้อาจต้องรับโทษอื่นๆ อีกด้วย
แม้ว่าเฮ่อเหลียนซื่อมิได้พูดออกมา แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็คิดไว้แต่แรกแล้ว เมื่อได้ฟังบทสนทนานี้ นางหยุดย่ำเท้าและดึงมือของเขาไว้
เขาเอียงศีรษะหันมามองด้วยแววตาตล้ายว่าไม่พอใจเท่าไหร่ เสียงเอ่ยเด็ดขาด “ยังไม่ไปกันอีก”
กลับรู้สึกเพียงถูกคลายมือออก นางหันศีรษะกลับและเดินเข้าไป “เสด็จแม่ให้หม่อมฉันคุยกับท่านอ๋องสามสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ”