ตอนที่ 434 ความจริงเกี่ยวกับโรคระบาด

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 434 ความจริงเกี่ยวกับโรคระบาด

“สถานการณ์ขององค์ชายเจ็ดมิสู้ดีเท่าไร เขาคงมิยอมอยู่เฉยเป็นแน่”

อันหลิงเกอปรายตามองครู่หนึ่ง จ้าวหลานหยู่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยมิต้องสงสัย

ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังไปตรวจสอบเรื่องโรคระบาดแต่นึกมิถึงว่าระหว่างทางหนอนกู่ในกายอันหลิงเกอจักเกิดกำเริบขึ้นมาพอดี

“อึก ! ”

“เป็นอันใดไป!” มู่จวินฮานตกใจมาก ช่วงนี้พวกเขามิทันได้ดูวันเวลาและมิคิดว่าอาการของอันหลิงเกอจักกำเริบวันนี้พอดี

ผู้บังคับรถม้าจึงรีบไปตามท่านหมอมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขากำลังรอมู่จวินฮานออกคำสั่งว่าควรทำเช่นไรต่อไป

มู่จวินฮานมองท่านหมอที่ถือกล่องยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปในห้องแล้วบอกว่า “เข้ามา ดูสิว่าอาการป่วยของนางเป็นเช่นไร”

มู่จวินฮานรู้ดีว่าตอนนี้หมอธรรมดามิสามารถรักษานางได้

ทว่าตอนนี้ซูโจวมิอยู่ด้วยจึงมีเพียงหมอธรรมดาพวกนี้ที่พอช่วยได้บ้าง

ท่านหมอจึงรีบเดินเข้าไปแล้วตรวจร่างกายของอันหลิงเกออย่างชำนาญ ก่อนขมวดคิ้วแน่นแล้วส่ายหน้าไปมา “อาการเช่นนี้คงโดนพิษแต่ก็เหมือนมิใช่…ยากจัดการได้จริง ๆ ”

เมื่อได้ยินท่านหมอกล่าว มู่จวินฮานก็มีสีหน้ามิพอใจขึ้นมาทันที “ช่วยให้นางสงบลงก่อนแล้วกัน”

อันหลิงเกอรู้สึกทรมานมาก ท่านหมอจึงต้องทำตามคำสั่งของมู่จวินฮานเท่านั้น

เมื่อเห็นบุรุษท่าทางน่ากลัวตรงหน้าแล้ว ท่านหมอก็มีเหงื่อซึมตามหน้าผาก จากนั้นก็รีบพยักหน้าตอบรับ “ข้าจักพยายาม ข้าจักพยายาม…”

ท่านหมอเหมือนมิเคยเจอคนไข้ที่มีอาการเช่นนี้มาก่อน เขามิรู้ว่าคนพวกนี้เป็นผู้ใดกันแน่ถึงได้มาพบความเจ็บปวดเยี่ยงนี้ได้

ภายในห้องเงียบไร้เสียงใดแม้แต่เสียงลมหายใจก็แทบมิได้ยิน คนที่อยู่บนเตียงมีใบหน้าซีดเซียว

มันซีดยิ่งกว่าตอนอยู่บนรถม้าเมื่อครู่เสียอีก ทำให้เขารู้สึกราวกับว่านางพร้อมหายไปจากโลกใบนี้ได้ตลอดเวลา

“ข้าจักลองถ่ายเลือดก็แล้วกัน” อยู่ ๆ ท่านหมอก็รู้สึกว่าอาการของแม่นางตรงหน้าคล้ายเกิดจากการที่เลือดกำลังต้านทานอันใดบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกมา

มู่จวินฮานที่อยู่ด้านข้างมิได้กล่าวสิ่งใด เขามองเลือดที่ค่อย ๆ ไหลออกมาจากนั้น อันหลิงเกอก็สงบลงตามลำดับ

“เฮ้อ…” ท่านหมอถอนหายใจออกมาทันที มู่จวินฮานจึงมองไปที่บาดแผลของนางซึ่งมีผ้าพันเอาไว้แต่ยังมีเลือดไหลออกมามิหยุด

ท่านหมอเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วเอ่ยกับมู่จวินฮาน “ตอนนี้อาการของนางสงบลงแล้ว ต่อจากนี้ขอเพียงพักผ่อนให้มากก็พอ”

“ขอบคุณมาก” เขาเม้มปากแน่น คำนี้มิใช่คำที่ออกมาจากปากของเขาโดยง่ายเลย

ท่านหมอเอ่ยลาแล้วเดินจากไป องครักษ์ด้านนอกให้เงินค่ารักษาตอนที่เขาออกไปส่วนมู่จวินฮานอยู่เฝ้าในห้องทั้งคืน วันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง

เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้นางก็ยังมิได้สติ เขาจึงทำได้แค่ปลอบใจตนเองว่าสามารลดความทรมานของนางได้มิน้อยแล้ว ทว่าความร้อนรนในใจมิได้เบาบางลงเลย

ขณะเดียวกันองครักษ์ที่มู่จวินฮานส่งไปตรวจสอบเรื่องโรคระบาดก็กลับมาเช่นกัน เขาอาศัยตอนที่รถม้าหยุดวิ่งเข้ามารายงานให้มู่จวินฮานทราบ “เรียนท่านอ๋อง เรื่องครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับแม่น้ำขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน” เขามองคนที่อยู่ในอ้อมกอดแล้วอดรู้สึกละอายใจมิได้ หากมิดึงนางเข้ามาเรื่องพวกนี้ก็คงมิเกิดขึ้น

แววตาของมู่จวินฮานทอประกายอ่อนโยนแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “รอเจ้าหายดีแล้ว ข้าจักชดเชยให้เจ้าเอง”

เสียงของเขานุ่มนวลจนคล้ายว่ามิใช่อ๋องมู่คนเดิม เพียงแต่อันหลิงเกอยังมิได้สติจึงมิได้ยินคำพูดของเขา

ในที่สุดก็กลับถึงจวนและระหว่างทางมิได้ประสบอุบัติเหตุใดอีก เขาอุ้มอันหลิงเกอเข้าไปในห้องด้วยตนเองแล้วสั่งปี้จูที่ยืนรออยู่หน้าห้อง “หากพระชายาฟื้นแล้ว ให้คนไปตามข้าทันที”

ปี้จูมองพระชายาที่อยู่แนบอกของท่านอ๋องอย่างกระวนกระวายใจ มิรู้ว่าตอนที่พวกเขาออกไปข้างนอกเหตุใดพระชายาจึงหมดสติ หรือว่านางได้รับบาดเจ็บ ?

ปี้จูพยักหน้ารับคำ “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”

มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด อันหลิงเกอที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นข้าวของที่คุ้นเคยจึงรู้ได้ว่าตนอยู่ที่จวนแล้ว นางกำลังเปล่งเสียงออกมาแต่ปี้จูที่อยู่ด้านข้างกลับคุกเข่าลงพร้อมกล่าวไปพลางร้องไห้ไปว่า “พระชายา ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”

“เกิดอันใดขึ้น ? เหตุใดเจ้าต้องร้องไห้ด้วย ? ” นางมองปี้จูอย่างสงสัย จากนั้นก็รู้สึกเจ็บที่ข้อมือจนหน้าถอดสี “เกิดอันใดขึ้น ? ”

ปี้จูเช็ดน้ำตาพร้อมพูดอย่างน่าสงสาร “ปี้จูต้องถามท่านถึงจักถูก เหตุใดท่านออกไปกับท่านอ๋องแล้วได้บาดเจ็บกลับมาเช่นนี้เจ้าคะ ตอนที่ท่านอ๋องอุ้มท่านกลับมา ท่านยังมิได้สติเลยเจ้าค่ะ”

ข้อมือที่เจ็บเหมือนโดนมีดกรีดเตือนให้หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่นางมิอยากบอกให้ปี้จูกังวล อย่างไรเรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้วนางจึงทำเพียงปลอบใจปี้จู “เอาล่ะ มิมีอันใดหรอก ข้าก็ฟื้นแล้วมิใช่หรือ ? ”

นางมองภายในห้องแต่มิเห็นเงาของมู่จวินฮานจึงถามด้วยความสงสัย “จวินฮานอยู่ที่ใด ? เหตุใดมิเห็นเขาเลย ? ”

ตอนนั้นเองที่ปี้จูเพิ่งนึกถึงคำสั่งของท่านอ๋องได้จึงรีบให้สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกไปแจ้งข่าวแก่มู่จวินฮานทันที

“พระชายา พิษหนอนกู่ของท่านรักษาหายหรือยังเจ้าคะ ? ”

ปี้จูรู้ดีว่าร่างกายของอันหลิงเกอผิดปกติ แต่ทำให้สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็วกว่าคนทั่วไป ครั้งนี้จึงนับว่ามีความโชคดีในความโชคร้ายอยู่เช่นกัน

แต่อันหลิงเกอส่ายหน้าให้เพราะก็มิรู้ว่าแผลที่ข้อมือเกิดจากการรักษานางหรือไม่

มู่จวินฮานมิคิดว่าอันหลิงเกอฟื้นเร็วถึงเพียงนี้ เขาถึงขั้นกลัวว่าหากตอนที่มาถึงห้องแล้วนางมิฟื้นขึ้นมาจริง ๆ แล้วเขาจักทำเช่นไร แต่โชคดีที่ตอนนี้นางฟื้นแล้ว เขาจึงมิต้องกลัวจนอกสั่นขวัญหายอีก

ระหว่างทางมู่จวินฮานอดกลัวมิได้ เขามิรู้ว่าเมื่อพบนางแล้วควรกล่าวอย่างไรดี มาดของท่านอ๋องได้หายไปในพริบตา เพราะตอนนี้เขาคิดแค่ว่าทำอย่างไรถึงทำให้นางรู้สึกสบายมากที่สุด

“ท่านอ๋อง” ปี้จูที่ยืนอยู่ข้างเตียง เห็นเงาของเขาที่ปรากฏขึ้นตรงประตูเป็นคนแรกจึงรีบเดินออกไปคำนับทันที

เขามองคนที่อยู่บนเตียงอย่างประหม่าแล้วกระแอมออกมาเบา ๆ “เจ้าออกไปก่อน ที่นี่ข้าจักดูแลเอง”

ตอนแรกเขาคิดหยุดอยู่ด้านนอกเพื่อเรียบเรียงถ้อยคำที่จักทำให้นางดีใจเสียก่อน แต่คาดมิถึงว่าจักถูกปี้จูพบเข้า

อันหลิงเกอมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาเพราะนางก็กำลังครุ่นคิดเรื่องหนอนกู่ในกาย

นางจึงอดรู้สึกกังวลใจมิได้ สุดท้ายก็เป็นมู่จวินฮานที่เอ่ยปากเอง

“เจ้า…เป็นอย่างไรบ้าง ? ”

“ขอบคุณท่านอ๋อง เกอเอ๋อมิเป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ”

เด็กคนนี้ไร้เรี่ยวแรงออดอ้อนหรืออย่างไร ? แต่มู่จวินฮานรู้ดีว่ามิใช่เวลาคิดถึงเรื่องเช่นนี้ เขาจึงยิ้มออกมาแล้วเดินไปข้างเตียง

นางมิรู้ว่าเขาต้องการทำอันใด แต่ร่างกายที่เกร็งขึ้นมาก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นในใจนางได้เป็นอย่างดี นางพยายามออกห่างจากมู่จวินฮาน ทว่าแค่ขยับเบา ๆ ก็รู้สึกเจ็บขึ้นเป็นระลอก ดังนั้นจึงทำให้นางมิกล้าขยับตัวมากนัก