บทที่ 352 - ปฏิวัติ (2)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 352 – ปฏิวัติ (2)

“ฉันตั้งใจจะจัดการประชุมขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นการประชุมที่รวมทุกๆ คนที่มีส่วนช่วยในสงครามครั้งนี้เพื่อมอบส่วนแบ่งได้อย่างยุติธรรม”

ไอ๊า ถ้างั้นนายก็จะแบ่งให้ทุกคน ไม่ใช่แค่อีวา แต่ยังรวมถึงฮารามาร์ค…”

“ใช่แล้ว หากว่าฉันไม่ปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับที่พวกเขาทำเพื่อฉันแล้ว นั่นมันก็คงยากที่จะหวังให้พวกเขามาช่วยฉันอีกในคราวถัดไป”

ซอลจีฮูพูดขึ้นอย่างหนักแน่นราวกับนี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะไม่ยอมโอนอ่อน

“…เอาเถอะ นั่นมันก็ยุติธรรมดีนั่นแหละนะ”

ฟีโซราแลบลิ้น และพยักไหล่ออกมา

“คงไม่มีทางเลือกแล้วสิ ในเมื่อพวกเราพูดเรื่องนี้กันทำไมเราไม่จัดการมันให้เรียบร้อยเลยล่ะ ฉันจะไปเรียกทุกๆคนมา มันน่าจะพอดีกันกับที่นายกินมื้อเช้าเสร็จนั่นแหละ”

“ได้สิ ฝากด้วยนะ”

“ได้ ถ้างั้นก็รีบกินแล้วกัน ถ้าพูดถึงเรื่องแบ่งรางวัล พวกนั้นได้วิ่งแจ้นมาทันทีแน่”

“อ่อ เดี๋ยวก่อน”

ซอลจีฮูได้หยุดฟีโซราเอาไว้ก่อนที่เธอจะวิ่งไป

“เรื่องการประชุม… การแบ่งรางวัลก็เรื่องหนึ่ง แต่จริงๆแล้วมีปัญหาเร่งด่วนที่พวกเราต้องคุยกันด้วย”

ดวงตาของฟีโซราได้เบิกกว้างขึ้นเมื่อซอลจีฮูพูดแบบนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“นั่นมันอะไรกัน มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”

“ฉันได้คุยกับพวกระดับสูงของสหพันธรัฐในตอนก่อนที่เราจะออกมาจากป้อมปราการ

“โอ้ จริงด้วย ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน… ทำไมล่ะ พวกเขาบอกเรื่องสำคัญมางั้นเหรอ”

“ถูกต้อง”

ซอลจีฮูค่อยๆ พยักหน้า และพูดขึ้น

“อีกไม่นานสหพันธรัฐกับมนุษยชาติก็จะก่อตั้งกองกำลังพันธมิตรขึ้น เพื่อที่จะบุกจักรวรรดิ”

สีหน้าฟีโวราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เธอได้กระพริบตาอย่างสับสน และสีหน้ากลายเป็นตกตะลึง

“อะ อะ อะไรนะ ตั้งกองกำลังพันธมิตรไปบุกจักรวรรดิ”

“ใช่แล้ว”

“นะ นายจะบอกว่านายกำลังจะเริ่มสงครามขึ้นอีกครั้งงั้นเหรอ”

“ถูกเผ่ง”

“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ”

ฟีโซราสะดุ้งขึ้นทันที

“สงครามเพิ่งจะจบไปได้ไม่กี่วันเองนะ นี่นายถูกวิญญาณบ้าสงครามเข้าสิงหรือไงกัน”

“คุณฟีโซรา”

ซอลจีฮูหลับตาถอนหายใจออกมา

“ฟังให้ดีนะครับ”

เขาได้ค่อยๆพูดออกมา

“ผู้บัญชาการกองทัพได้ปลดผนึกพลังออกมาจนหมด และตอนนี้จึงไม่อาจจะปล่อยพลังทั้งหมดมาได้อีกในระยะเวลาหนึ่ง ราชินีปรสิตก็ยังได้รับบาดเจ็บหนัก เหล่าแม่พันธุ์ของปรสิตก็ยังถูกกำจัดไป รังกว่าครึ่งถูกทำลาย พวกเราจำเป็นต้องตีเหล็กให้ตอนที่มันยังร้อน นี่เป็นโอกาสที่เราจะพลาดไปไม่ได้”

ซอลจีฮูได้พูดแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน เขาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้จะพูดเล่น

“นะ นี่เป็นสิ่งที่สหพันธรัฐแนะนำมางั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ สหพันธรัฐแนะนำให้พวกเราใช้เวลาจัดระเบียบกันใหม่”

“ใช่แล้ว นี่มันเป็นเรื่องปกติ”

“แต่ฉันไม่เห็นด้วย ฉันได้ยื่นคำขาดออกไปให้พวกเขาโดยบอกว่ามนุษยชาติจะไม่ช่วยสหพันธรัฐอีกหากว่าพวกเขาไม่มีส่วนช่วยในการบุกครั้งนี้ เพราะงั้นพวกเขาจึงได้แต่ต้องยอมเห็นด้วย”

“อะ อะไรนะ นายทำอะไรลงไป”

“ฉันยอมรับว่าฉันมันดื้อ”

ฟีโซราอ้าปากค้างออกมา เสียงกลืนน้ำลายได้ดังออกมาจากปากของเธอ

‘ฮ่าฮ่า ลาก่อนนะ!’

เธอตกตะลึงจนถึงขนาดเห็นภาพหลอนเป็นวิญญาณเธอหลุดลอยไป

“ฉันเข้าใจว่ามันกระทันหัน แต่ฉันไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ”

มันฟังดูบ้ามาก มากจนถึงขั้นที่เธอสงสัยว่าซอลจีฮูกำลังแกล้งเธอเล่น

แต่ดูจากสีหน้าแล้วมันไม่เหมือนเขาจะล้อเล่นเลยสักนิด

“ได้โปรดให้ฉันยืมพลังจากเธอเถอะนะ ฉันขอย้ำอีกครั้ง เราจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้”

ซอลจีฮูได้โค้งคำนับ และถามออกมาอย่างจริงใจ

ฟีโซราได้เผลอกลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้พอมาคิดดูนี่คือชายคนเดียวกันกับที่ทำลายทั้งองค์กร และประกาศสงครามกับกลุ่มองค์กรพันธมิตรในวันแรกที่มาถึงอีวา นั่นก็เพราะแค่เขาไม่ยอมในสิ่งที่ได้เห็นเท่านั้นเอง

ใช่แล้ว เขาคือคนบ้าที่ทำทุกอย่างตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

เมื่อเธอนึกได้ถึงจุดนี้ เธอก็หายสับสนทันที

‘มะ ไม่ได้แล้ว’

ฟีโซราได้รีบนั่งกลับลงไป และจับแขนซอลจีฮู

“รอก่อนนะ ฉันเข้าใจว่านายกำกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ว่าขอฉันพูดอะไรหน่อยนะ นายจะฟังฉันใช่ไหม”

“แน่นอนสิ”

“เยี่ยม ฉันเข้าใจว่านายคิดว่าไม่ควรปล่อยโอกาสนี้เสียเปล่า แต่ฉันก็คิดว่าสิ่งที่สหพันธรัฐพูดก็ถูกนะ ฉันคิดว่านายรีบเกินไปหน่อย”

“ฉันรีบเกินไปงั้นเหรอ”

ฟีโซราตกใจขึ้นทันทีที่เห็นซอลจีฮูขมวดคิ้ว

“นี่ นายกำลังโกรธไปทำไมกัน ฟังฉันพูดก่อนสิ สิ่งที่ฉันกำลังจะบอกคือ…”

ฟีโซราได้รีบเปลี่ยน้ำเสียงเป็นปลอบโยนเขา

“เฮ้อ ถ้างั้นคงไม่มีทางเลือกแล้ว ก็ได้นะ”

“พวกเราควรจะ… หืม”

“เธอบอกว่าฉันรีบเกินไปใช่ไหม ฉันไม่ได้คนดื้ออะไรหรอกนะ ถ้าเธอเป็นกังวล ฉันยอมถอยก็ได้”

ซอลจีฮูพยักหน้านิ่งๆ และลุกขึ้นยืน

“เอาล่ะ งั้นก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปแล้วกันนะ การประชุมในวันนี้เอาแค่เรื่องการแบ่งรางวัลก็พอแล้ว สำหรับเรื่องอื่น… เธอแค่แสดงความเห็นอย่าง ‘อาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในไม่ช้า’ ก็ได้”

ฟีโซราได้มองชายหนุ่มเดินไปทางประตูอย่างสับสน

เธอสับสนมากจนแสดงสีหน้าปนเปกันไปหมด

ในตอนนั้นเองซอลจีฮูก็ยื่นหัวกลับมา สีหน้าจริงจังในก่อนหน้านี้ได้หายไป และเขากำลังยิ้มออกมาเหมือนคนปัญญาอ่อน

“เข้าใจแล้วนะ”

สีหน้าฟีโซราได้แข็งทื่อไป

“…ไอ้สารเลว…”

เธอได้หลับตาลงเงยหน้าขึ้นนิ่งๆ

“อ่า ไอ้เวรนั่น… แม่ง… ไอ้สารเลว… ฉันจะฆ่านาย”

ซอลจีฮูที่เห็นแบบนี้ได้รีบก้าวเท้าถอยด้วยรอยยิ้มสดใสทันที

“แต่ทำไมล่ะ”

“รีบไสหัวไปก่อนที่ฉันจะได้ฆ่านายจริงๆ”

“ฉันก็แค่อยากจะได้ความเห็นจากสมาชิกมาช่วยคิดเท่านั้นเอง…”

“หยุดไร้สาระแล้วเข้ามานี่เลย”

“เธอจะตีฉันเหรอ ไม่รู้เหรอว่านั่นมันผิดนะ”

“ฉันบอกให้มานี่ไง”

“ฟีโง่”

ฟีโซราได้กระโจนออกมาเหมือนกับเสือแทบจะทันที

ปุ้ง! ซอลจีฮูก็เปิดใช้งานต่างหูเฟสติน่า และหันหลังกลับวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

“ไอ้สารเลว…”

เขาได้วิ่งหัวเราะขึ้นบันไดไปโดยปล่อยเสียงคำรามของฟีโซราเป็นเพียงฉากหลัง

ยังคงเป็นเช้าที่สงบสุขเหมือนเคย

***

ฟีโซราคงจะแค้นหนักมาจนทำให้เธอไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งๆที่ซอลจีฮูได้ใช้ต่างหูเฟสติน่า กับประกายสายฟ้าหลบหนีไป แต่เธอก็ยังคงไล่ตามเขาไม่หยุด

จนกระทั่งซอลจีฮูหลบเข้าไปในบ่อน้ำพุร้อน แล้วถอดเสื้อออกมา เธอถึงได้ยอมถอย

ซอลจีฮูได้ะโกนหาฟีโซราที่ตอนนี้กำลังปิดหน้าวิ่งหนีไปอยู่

“เธออยากจะกระโดดเข้าใส่ฉันไม่ใช่เหรอ”

“หุบปาก”

“ก็ได้ ไว้เจอกันน้า~”

“อยู่ในนั้นให้ตลอดไปเถอะ ถ้าออกมาเมื่อไหร่นายตายแน่”

ซอลจีฮูหัวเราะขึ้น และเดินเข้าบ่อน้ำพุร้อน

พอเขาได้คลายความเหนื่อยล้า และออกไปจากบ่อน้ำพุร้อน สมาชิกส่วนใหญ่ของวัลฮาลาก็ได้รวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว

หลังจากได้อาบน้ำจนสดชื่น และได้ปลดปล่อยโดยการแกล้งคนอื่นจึงได้ทำให้ซอลจีฮูเข้าประชุมด้วยความสดชื่น

ฟีโซราคงจะพูดบางอย่างอยู่ทำให้บางคนหัวเราะกันออกมา แต่แล้วเมื่อซอลจีฮูเดินเข้ามา ฟีโซราก็หันมาจ้องเขาเขม็งทันที และยังมีแบคแฮจูที่ถูกเชิญเข้ามาในฐานะแขกอยู่ด้วย

“อะแฮ่ม”

ซอลจีฮูกระแอ่ม จากนั้นก็พูดขึ้น

“อืม… อย่างแรก ผมดีใจมากที่ได้มาเจอทุกคนที่นี่อีกครั้งหนึ่ง การบรรยายแผนการไปในอาณาจักรภูติยังคงเหมือนกับเป็นเมื่อวานนี้อยู่เลย”

“นายช่วยรีบพูดหน่อยจะได้ไหม นายคิดว่าพวกเรามาที่นี่กันแต่เช้าเพื่อฟังนายพูดไปเรื่อยงั้นเหรอ”

ฟีโซราคำรามออกมา

โชฮงได้หันไปจ้องฟีโซราเขม็งทันที แต่ซอลจีฮูก็ยกมือขึ้นโดยรู้ตัวว่าเขาทำผิดไว้

“ก็ได้ๆ ถ้างั้นอย่างแรกเรามาดูกล่องนี่กันก่อน”

ตึง ซอลจีฮูได้วางกล่องใบใหญ่ไว้บนโต๊ะจนทำให้ทุกคนหันมามอง

กล่องมีน้ำหนักค่อนข้างมาก และแบ่งออกเป็นสี่ช่อง

“ฉันจะเปิดแล้วนะ”

ซอลจีฮูได้ค่อยๆช่องแรกขึ้นมา

“แต่น แต๋ แด๋นนนน…”

เสียงฮัมเพลงของเขาได้หลุดลงไปในทันทีที่ช่องถูกเปิดออกมาจนมีแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้น

เสียงเก้าอี้ลากดังขึ้น และทุกๆคนได้เบียดกันเข้ามาล้อมกล่องไว้ในทันที

มาเรียที่กำลังชะโงกหน้ามองได้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

ซอลจีฮูได้มองเธอด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบของอย่างแรกที่เขาเห็นขึ้นมา

มันคือก้อนหินสีน้ำเงินที่มีขนาดเท่ามือของเขา

“มันคืออสนีบาต”

“อสนีบาต นี่คืออสนีบาตงั้นเหรอ”

โชฮงได้มองภายนกล่อง ในนั้นมีหินที่มีขนาดและสีเดียวกันอยู่ในกล่องนับสิบก้อน

เธอได้แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา

“เอ๋ แค่สิบก้อนเองงั้นเหรอ”

“มันไม่ใช่แค่นะ”

คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้น หลังจากมองสำรวจอสนีบาตในมือซอลจีฮูแล้ว เธอก็สูดหายใจลึก

“นี่ไม่ใช่อสนีบาตแบบธรรมดา แต่เป็นแบบพิเศษ”

“แบบพิเศษเหรอ”

“ใช่แล้ว มันเป็นอสนีบาตแบบพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นจากการกลั่นอสนีบาตแบบธรรมดานับสิบเข้าด้วยกัน และเพราะด้วยขั้นตอนที่อันตรายนี้ทำให้มีคนแคระเพียงแค่ไม่กี่คนที่ทำมันขึ้นมาได้… นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นมัน”

“โอ้~ แล้วมันทรงพลังขนาดไหนล่ะ”

“ฉันก็ไม่มั่นใจ แต่กับแค่อสนีบาตแบบธรรมดาก็ระเบิดสำนักงานของเราได้ง่ายๆแล้ว ดังนั้นหากนับสักสิบก้อนมารวมกัน เราก็น่าจะจินตนาการได้ว่าพลังมันจะขนาดไหน…”

โชฮงได้ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

“เป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยม เก็บเอาไว้ในคลังขององค์กรน่าจะดีที่สุด”

ซอลจีฮูกับสมาชิกที่เหลือของวัลฮาลาได้พยักหน้าออกมา

อสนีบาตแบบพิเศษ นี่เป็นของขวัญที่ไม่เลวเลยในเมื่อพวกเขากำลังรับมืออยู่กับปรสิต

ซอลจีฮูได้ปิดช่องแรกลง และจากนั้นก็เปิดช่องที่สองในทันที

ในคราวนี้เขาได้เห็นกองขนห้าสีอยู่

“นี่คือ…”

ซอลจีฮูได้หยิบเอาขนที่เปล่งประกายสีเขียวออกมา

“ขนแฟรี่”

คำตอบได้ดังออกมาจากปากลูกเจี๊ยบ

“นีไม่ใช่ขนแฟรี่ธรรมดานะ พวกเขาคงจะใส่พลังของภูติทั้งห้าลงไปในขนของเทวดาตกสวรรค์ นี่มันอาจจะเหมาะไว้ให้นักธนูใช้ หากว่าเอาขนเหล่านี้ไปติดกับลูกธนู มันน่าจะทำให้ยืมพลังจากภูติมาใช้ได้”

“เดี๋ยวก่อนนะ นี่หมายความว่าเราจะใช้เวทมนต์ได้งั้นเหรอ”

มาแชล จิโอเนียได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย

ลูกเจี๊ยบแค่นเสียงออกมา

“เวทมนต์งั้นเหรอ ไม่หรอก มันเป็นแค่ลูกธนูพลังเวทย์เท่านั้น แต่ผลที่ได้ก็น่าจะคล้ายกัน”

มาแชล จิโอเนียเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากออกมา คาซิกุก็ดูจะคิดแบบเดียวกัน

“ชิ นั่นนี้ก็ใช้ได้แค่กับนักธนู ไม่มีอะไรสำหรับนักรบแบบเราเลยเหรอ?”

ฮิวโก้เริ่มไม่พอใจ

“พวกเรายังมีอีกส่องช่องนะ อดทนหน่อย”

ซอลจีฮูหัวเราะออกมา และเปิดช่องที่สาม

ภายในนั้นมีก้อนอัญมณีอยู่หลายสิบก้อน

‘นี่มันอะไรน่ะ’

ซอลจีฮูได้ถามขึ้นในใจ จากนั้นเขาก็กระพริบตาออกมา

“กะ… เกิดอะไรขึ้น”

ทุกๆคนกำลังยืนอ้าปากค้างอยู่

พวกเขาต่างแสดงสีหน้าสับสนกันออกมา

แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น

“ทั้งหมดนี่เป็นของฉานนน”

โฮชิโนะ อุราระได้กระโจนออกมาทันที

ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ได้ยื่นเท้าออกไปขัดเธอไว้อย่างรวดเร็ว

“ให้ฉัน ให้ฉันเถอะน้าาา”

แม้ว่าเธอจะล้มหน้าคะมำ แต่โฮชิโนะ อุราระก็ยังคงพยายามยื่นแขนออกมา

ซอลจีฮูได้หยิบอัญมณีขึ้นมาโยนเล่นทันที

“นี่มันคืออะไร”

“นะ นี่คือ…”

ออเดรย์ บาสเลอร์ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ฉันก็ไม่มั่นใจหรอก… แต่ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด… มันก็คือของที่ล้ำค่าจนประเมินราคาไม่ได้…”

“อัญมณีเปล่งประกาย ฉันเคยได้ยินข่าวลือของมันมาก่อน สหพันธรัฐยอมมอบให้นายจริงๆน่ะเหรอ”

แม้กระทั่งโอราฮีก็ยังซ่อนความตกใจไว้ไม่ได้

“ว่าไงล่ะ มีใครพออธิบายได้ไหมว่ามันคืออะไร”

ซอลจีฮูได้มองไปรอบห้องพร้อมคิดว่าจะใช้การสังเกตทั่วไป แล้วจากนั้นเขาก็หันไปจ้องคิมฮันนาห์

“มันคือ… หินเสริมพลัง”

“หินเสริมพลังเหรอ”

“ใช้ มันคือก้อนหินลึกลับที่จะเสริมพลังให้กับอุปกรณ์”

“หืม ของแบบนี้น่ะเหรอ”

“ก็ลองดูนี่นะ”

โชฮงได้หยิบไม้กระบองออกมา

“แท่งเหล็กหนาม +2 นี่มันหมายความว่ามันได้ถูกเสริมพลังสำเร็จสองครั้งแล้ว นายเป็นคนที่มอบมันให้ฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยเหรอ”

ซอลจีฮูตกตะลึงขึ้นมา พอคิดดูแล้วมันก็แบบนั้นจริงๆ เขาก็แค่ลืมมันไปเพราะไม่เคยใช้ของเสริมพลังมาก่อน

จากนั้นคิมฮันนาห์ก็พูดออกมา

“สำหรับไม้กระบอง + หนึ่งจะเพิ่มพลังสองเท่า และ +2 จะเพิ่มพลังสี่เท่า”

“ถ้างั้น +3 กับ +4 ก็จะหมายความว่า…”

“อาวุธจะถูกเสริมพลังขึ้น 8 เท่ากับ 16 เท่า ถึงแม้ว่าโอกาสสำเร็จมันจะค่อยๆลดลงไปตามด้วยก็ตาม…”

เสียงของคิมฮันนาห์ค่อยๆเบาลงก่อนที่เธอจะกดหน้าผาก

“แต่ด้วยขนาดของอัญมณีพวกนี้ อย่างน้อยพวกมันก็น่าจะเป็นหินเสริมพลังคุณภาพสูง พวกมันอาจจะกระทั่งเป็นหินเสริมพลังคุณภาพสูงสุดเลยก็ได้… แล้วนั่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“คือยังไง”

“ยิ่งหินเสริมพลังคุณภาพสูง โอกาสเสริมพลังสำเร็จก็จะยิ่งมาก ยกตัวอย่างเช่นการใช้หินเสริมพลังคุณภาพสูงสุด… ลองจินตนาการถึงการเสริมพลังหลักฐานแห่งความบริสุทธิ์ของคุณซอยูฮุยในครั้งเดียวสิ”

ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว

มันสามารถจะเสริมพลังให้กับอาวุธได้หลายต่อหลายเท่า

“เฮ้ๆ”

เขาได้สะกิดลูกเจี๊ยบ

“ฝันไปเถอะ”

แต่ลูกเจี๊ยบกลับไม่สนใจเลยสักนิด

“กับคนอื่นฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับนายหรือกับผู้หญิงสวมหน้ากากนั่น”

“อะไรกัน ทำไมล่ะ”

“เจ้าโง่ ลืมเรื่องอาวุธของนายไปแล้วงั้นเหรอ หอกพิสุจน์คือหอกศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีอะไรจะเทียบได้ในพาราไดซ์แห่งนี้”

“แล้วนั่นมันเกี่ยวกันตรงไหน”

“ยังไม่ชัดอีกเหรอ การจะเสริมพลังให้กับหอกศักดิ์สิทธิ์ นายจำเป็นต้องมีพลังในระดับเดียวกันนั่นแหละ”

ลูกเจี๊ยบกอดปีกเล็กๆ และส่ายหัวออกมา

“ก็นะ ฉันเห็นหินเสริมพลังระดับสูงสุดอยู่บ้างอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูด… แต่ว่านั่นก็ยังไม่ได้พอที่จะใช้เสริมพลังให้กับหอกศักดิ์สิทธิ์ได้เลย”

“งั้นมันใช้ไม่ได้เหรอ”

“ถ้าอยากจะลองก็ไปหาหินเสริมพลังระดับศักดิ์สิทธิ์มาสิ หรือไม่จะลองใช้หินเสริมพลังพวกนี้ก็ได้ แต่ฉันไม่รับประกันนะถ้ามันพังลง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ทุกคนก็มองซอลจีฮูด้วยสายตาที่ไม่มีทางให้อภัยเขาหากเขาลองทำหินเสริมพลังพัง

ซอลจีฮูรู้สึกเสียใจมาก หากว่าเขาได้ ‘หอกพิสุจน์ +10’ การจัดการราชินีปรสิตในการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็คงเป็นไปได้

“น่าตกใจมาก”

เมื่อเห็นคิมฮันนาห์ทาบอกและหายใจเข้าลึก ซอลจีฮูก็เอียงหัวออกมา

“จากปฏิกิริยาของทุกคน ฉันก็บอกได้เลยว่าหินนี่ยอดเยี่ยมขนาดไหน แต่ว่านี่มันเป็นเรื่องน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แน่นอนสิ หินเสริมพลังเป็นของในตำนานของคนแคระเชียวนะ หินเสริมพลังพวกนี้เป็นสมบัติในหมู่สมบัติที่หาได้ยากมาก มันล้ำค่ามาตั้งแต่ก่อนที่ชาวโลกจะเข้ามาในพาราไดซ์แล้ว ทั้งวัตถุดิบและสูตรการสร้างขึ้นได้ส่งผ่านกันรุ่นต่อรุ่นเฉพาะหัวหน้าคนแคระเท่านั้น เพราะแบบนี้จึงแทบไม่มีใครรู้ผลของพวกมันเลย… การที่ตอนนี้มันมีมากแบบนี้…”

“หัวหน้าเผ่าพันธุ์คนแคระเหรอ เธอหมายถึงคุณวิดาลิฟเหรอ”

“นายเคยได้ยินเรื่องเขาด้วยเหรอ”

“ฉันไปเจอกับเขามา”

คิมฮันนาห์ได้หันกลับมาจ้องซอลจีฮูเขม็ง

“นายไปเจอกับเขา”

“ใช่แล้ว ฉันไปเจอกับเขาพร้อมกับสมาชิกระดับสูงของสหพันธรัฐ เขาเป็นคนที่ให้กล่องนี้กับฉันมา อ่อ พอพูดถึเรื่องนี้แล้ว เขาดูเหมือนจะเป็นปรมาจารย์ช่างฝีมือ…”

คิมฮันนาห์รู้สึกตกใจมาก เธอรู้ว่าหัวหน้าคนแคระมักจะอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวแทบจะตลอดเวลา และจะปรากฏตัวกับโลกภายนอกได้ยากมาก

แม้ว่ามันจะนานมากแล้ว แต่ก็มีในตอนที่ซึงชิฮยอนเคยเดินทางไปสหพันธรัฐเพื่อขอให้คนแคระเสริมพลังให้กับอาวุธของเขา และกลับกลายเป็นว่าวิดาลิฟไม่สนใจที่จะออกมาเจอหน้าซึงชิฮยอนเลยด้วยซ้ำ

“ยังไงก็ตาม ฉันก็จะเก็บหินพวกนี้ไว้ในคลังเหมือนกัน ด้วยเกียรติของฉัน ฉันจะเก็บมันให้ปลอดภัย”

“เดี๋ยวนะ แล้วพวกเราล่ะ พวกเราไม่ได้อะไรเลยเหรอ”

“ตัวแทนซอลจีฮูแบ่งหินเสริมพลังในภายหลัง เธอเห็นนี่ไหม มีคนกำลังจะแอบเข้ามาขโมยอยู่แล้ว”

มาเรียกับโฮชิโนะ อุราระที่กำลังแอบย่องไปหาหินเสริมพลังได้ผงะไป

ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไปอย่างเสียใจ และส่งมอบกล่องออกมาไปในขณะที่คนอื่นๆกำลังจัดการหัวขโมยทั้งสองคน

สามช่องได้ถูกเปิดออกมาแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ช่องเดียวเท่านั้น

เอี๊ยดดด เมื่อเขาเปิดช่องด้านล่างออกมา ก็มีกล่องแบนๆ อยู่ภายในนั้น มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทำมาจากคริสตัลจนมองทะลุเห็นด้านใน

‘นี่มันอะไรกัน ไม่เห็นมีอะไรข้างในเลย ตัวกล่องมันเป็นสมบัติงั้นเหรอ’

หลังจากมองสำรวจกล่องซอลจีฮูก็ตาเป็นประกายขึ้น ความจริงแล้วมันไม่ได้ว่างเปล่า แต่มีของเหลวโปร่งใสไหลวนอยู่ด้านใน

เมื่อเขาได้ค่อยๆเปิดกล่อง และจับมันไว้ของเหลวด้านในก็ไหลลงมาและกระจายออกเป็นเหมือนกับผ้าคลุม

‘นี่ฉันจับมันได้ด้วย’

ซอลจีฮูเอียงหัว และเปิดใช้งานการสังเกตทั่วไป

[อัตตาแห่งการป้องกัน]

ด้ายที่ทอขึ้นด้วยใบของต้นแอชที่มีเก็บเอาเจตจำนงที่จะต้องการปกป้องคนๆหนึ่งของต้นไม้โลก ผลงานชิ้นเอกแห่งยุคที่ถูกสร้างขึ้นด้วยช่างในตำนานวิดาลิฟ

แม้ว่าเดิมทีมันจะมีรูปร่างเหมือนผ้าคลุม แต่มันก็สามารถที่จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นเพราะคอยป้องกันร่างกายผู้ใช้งานเมื่อได้รับมานาเข้าไป

มันมองเห็นได้ยากเว้นแต่จะเข้ามาดูในระยะใกล้ และจะไม่มีส่วนใดขัดขวางการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานเนื่องจากความกระชับที่พอดี

มันมีความต้านทานต่อการโจมตีกายภาพ กับเวทมนต์ทุกชนิดที่สูง และยังสามารถชำระล้างสถานะด้านลบใดๆก็ตามที่มีระดับต่ำกว่าศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย

มันยังมีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง และมีฟังก์ชันการเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าตามสภาพแวดล้อม

สุดท้ายนี้มันยังมี ‘พรแห่งต้นไม้โลก’ ที่จะทำให้ร่างกายและวิญญาณของผู้ใช้สามารถเดินทางไปที่อาณาจักรภูติได้หนึ่งวินาที ใช้ได้วันล่ะครั้ง

“ว้าว”

ซอลจีฮูอุทานขึ้นอย่างตกใจ เขากำลังกังวลเรื่องการหาเครื่องป้องกันที่จะมีระดับเดียวกันกับหอกพิสุจน์อยู่เลย แล้วตอนนี้เขาก็ได้มันมาในมือซะแล้ว

ไม่ต้องลังเลเลยสักนิด

เขาได้ส่งมานาเข้าไปในผ้าคลุม และมันก็ได้ห่อร่างซอลจีฮูทันที

ซอลจีฮูที่ขยับแขนไปมาไม่ได้รู้สึกถึงแรงต้านเลยสักนิด

“ไม่ใช่เล่นๆเลย”

เขาอุทานขึ้นอีกครั้ง และเอาหอกพิสุจน์ขึ้นมาเหวี่ยงเล็กน้อย เสื้อสีน้ำบางๆได้ถูกตัดเหมือนกับเต้าหู้

“…”

ซอลจีฮูผงะไป

“ในที่สุดนายก็รูปแล้วสิว่าหอกนี่นาทึ่งขนาดไหน”

ลูกเจี๊ยบแค่นเสียงออกมา

“มันถึงขนาดสร้างบาดแผลให้กับราชินีปรสิตได้ เพราะงั้นแล้วกับแค่เศษเสื้อผ้ามันจะตัดไม่ได้ได้ยังไงกัน ตอนนี้ถ้าเข้าใจแล้ว ก็หยุดคิดเรื่องการเสริมพลังไปได้เลย”

ซอลจีฮูได้เกาหัวเมื่อเห็นเสื้อที่ถูกตัดค่อยๆซ่อมแซมตัวเอง

แม้ว่าชุดเกราะตัวนี้จะยังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับอาวุธ แต่ซอลจีฮูก็ยังพอใจกับมัน โดยเฉพาะอย่างเขาชอบในส่วนสุดท้ายของมันที่จะส่งร่างกายและวิญญาณของผู้ใช้ไปที่อาณาจักรภูติหนึ่งวินาที

แม้ว่ามันจะใช้งานได้แค่วันละครั้ง แต่มันจะต้องช่วยเขาไว้ในช่วงสำคัญได้อย่างแน่นอน

“พรแห่งต้นไม้โลก…”

ซอลจีฮูได้สำรวจดูร่างกายเขานกระทั่งความคิดลอยไป

ตอนนี้พอมาคิดดู เขาก็ยังได้รับผลไม้มาจากต้นไม้โลก แล้วก็ยังมีพลังพลังเทพแห่งความสงบนิ่งอีกด้วย

ยังไงก็ตามมันไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้เลยว่าของสองอย่างนี้จะใช้ทำอะไรได้ และแม้กระทั่งการสังเกตทั่วไปก็ยังใช้ไม่ได้ผล

“มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับสองอย่างนี้ไหม”

เขาได้หยิบของทั้งสองอย่างขึ้นมาในมือ และถามออกมา แต่ก็ไม่มีใครรู้อย่างที่เขาคิดไว้

[อื้อ ต้นไม้โลกก็เป็นเทพประเภทหนึ่งใช่ไหมล่ะ ผลไม้ที่เป็นแก่นแท้ของต้นไม้โลกกับพลังเทพแห่งความสงบนิ่งก็น่าจะเหมือนกัน ในเมื่อทั้งสองอย่างเกี่ยวข้องกับเทพ ทำไมนายไม่ไปถามเทพดีกว่าล่ะ]

ซอลจีฮูที่เห็นด้วยกับความคิดของโฟลนได้ปรบมือเรียกทุกคน

“โอเค พวกเราจะเก็บกล่องเอาไว้ในคลังขององค์กรตามที่คิมฮันนาห์แนะนำ เรื่องการแบ่งไอเทมเราจะแบ่งกันคราวหน้า เพราะงั้นไม่ต้องห่วง ตอนนี้มาเรื่องพลังเทพกับผลไม้…”

เมื่อได้ยินแบบนี้สมาชิกที่กำลังจัดการกับมาเรียและโฮชิโนะ อุราระก็ได้หันหน้ามาพร้อมกัน

“ฉันจะไปถามท่านกู่ลาที่วิหาร ไว้หลังจากรู้มามันทำอะไรได้แล้วค่อยตัดสินใจกัน ยังไงอีกเดี๋ยวทุกคนก็จะไปวิหารกันอยู่แล้วใช่ไหม”

ทุกคนพยักหน้าออกมา

“พูดไปแล้วฉันก็มีเรื่องที่อยากจะพูด”

โอราฮีได้ยกมือขึ้นมา

“ฉันเลื่อนระดับแล้ว ฉันไปวิหารมาเมื่อคืนนี้”

“หืม”

“ฉันได้รับการเลื่อนขั้น จากพลทหารหลวงกลายเป็นอัศวินหลวง ตอนนี้ฉันได้กลายเป็นระดับ 6 แล้ว”

“เดี๋ยวก่อนนะ แล้วเรื่องการทดสอบล่ะ”

ฟีโซราได้รีบถามออกมาจนทำให้โอราฮียิ้มขึ้น

“หืมมม”

“อย่ามาหืมนะ พูดมาซะ”

“รีบจังเลยนะ ฉันได้ผ่านการทดสอบไปแล้ว”

“จริงเหรอ”

“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ”

โอราฮีพยักไหล่ออกมา

“การเข้าร่วมปฏิบัติการช่วยอาณาจักรภูติกับการมีส่วนร่วมในการชุบชีวิตต้นไม้โลก กู่ลาได้บอกว่าเธอนับว่านี่เป็นการทดสอบ”

“…”

ทันทีที่โอราฮีพูดแบบนี้ ทุกคนได้รีบวิ่งหายไปจากห้องประชุมแทบจะทันที

พวกเขารู้ว่าการเลื่อนคลาสนั้นถูกรับประกันจากคำพูดของโอราฮีแล้ว

ทุกคนต่างก็ได้มุ่งหน้าไปที่วิหารที่ตัวเองเคารพแล้ว ดังนั้นซอลจีฮูจึงเดินทางไปที่วิหารกู่ลากับโฟลน

เขาได้วิ่งไปอย่างตื่นเต้น และหยุดลงในทันทีที่เห็นรูปปั้นที่คุ้นเคย

‘ท่านกู่ลา!’

[ในที่สุดก็มา]

น้ำเสียงใจดีได้ดังก้องในหัวของเขา

[ทำไมเจ้าใช้เวลานานนักล่ะ ข้ารอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว]

‘คะแนนคุณูปการ คะแนนคุณูปการ’

[ได้สิ ได้ เจ้าทำได้ดีมาก สิ่งทีเจ้าได้ทำสำเร็จในคราวนี้คือ…]

‘อ่ะ จริงด้วย แล้วก็ช่วยบอกเรื่องพลังเทพกับผลไม้ด้วย’

[ได้สิ ได้ แต่ก่อนหน้านั้น…]

‘ขอบคุณครับ แล้วก็บอกเรื่องคะแนนคุณูปการของผมมาก่อนง

ซอลจีฮูได้ตะโกนขึ้นด้วยตาเป็นประกาย

[…]

กู่ลาได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ