บทที่ 353 – จัดการปัญหา

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 353 – จัดการปัญหา

ตอนนั้นเอง

ซอลจีฮูที่เร่งเร้าให้กู่ลารีบบอกแต้มคุณูปการในตอนนี้ของเขารู้สึกเหมือนกับมีคนกำลังดึงตัวเขาอย่างอ่อนโยน

รูปปั้นเทพธิดาอันงดงามได้ขยับเข้ามาหาเขา

“อุ๊ป”

แรงดึงอันอ่อนโยนได้หยุดลงในเวลาเดียวกันกับร่างกายของเขาได้ที่ลงไปหารูปปั้น

จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงสองมืออันอ่อนโยนโอบกอดเขา

ซอลจีฮูที่สุดท้ายตกลงมาอยู่ในอ้อมกอดรูปปั้นโดยไม่รู้ตัวได้แต่เงยหน้าขึ้นไปอย่างสบสน

[เจ้าตื่นเต้นเกินไปแล้วนะ]

เขารู้สึกเหมือนกับรูปปั้นกำลังมองลงมาที่เขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

ตอนนี้พอมาคิดดูนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นกู่ลาใกล้ๆ แบบนี้

การอ่านสีหน้าของรูปปั้นก็ค่อนข้างจะยาก แต่เส้นผมยาวเหยียดที่ทอดยาวไปถึงพื้นดูสวยงามมาก

[ข้าเข้าใจนะที่เจ้ามีความสุข แต่เจ้าควรจะใจเย็นลงหน่อยนะ]

ซอลจีฮูได้ปล่อยเสียงออกมาเบาๆเมื่อมีมือนิ่มๆลูบหลังเขา

‘อ๊ะ… ผมขอโทษ ผมตื่นเต้นไปหน่อย’

[เด็กดี]

‘โอเคครับ ผมจะใจเย็นลง เพราะงั้นท่านพอจะทำอะไรกับเรื่องนี้…’

ซอลจีฮูได้บิดตัว และหันหน้าไปด้วยความรู้สึกอาย จนทำให้กู่ลาปล่อยเขาออกมาด้วยเสียงหัวเราะ

ซอลจีฮูได้ก้าวถอยไปหลายก้าวด้วยใบหน้าลุกลี้ลุกลน จากนั้นเขาก็ก้มหน้าหลับตาลงไป

น้ำเสียงผ่อนคลายของกู่ลาได้ดังขึ้นราวกับเธอเพียงจัดการเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

[เอาล่ะนะ นี่จะต้องใช้เวลาพอสมควรกับทุกอย่างที่เจ้าได้ทำลงไป… เอาเถอะ เรามาเริ่มจากแต้มคุณูปการเจ้าก่อนแล้วกัน]

ซอลจีฮูได้เอียงหูขึ้นฟัง

[อย่างแรก เรามาดูความสำเร็จของเจ้าก่อน]

กู่ลาได้กระแอ่มออกมา

[บังคับให้ผู้บัญชาการกองทัพที่สี่เกิดการแปรพักษ์จนเป็นเหตุทำให้เขาต้องพินาศลง และเอาพลังเทพแห่งความสงบนิ่งกลับคืนมาได้สำเร็จ]

[บังคับให้ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดต้องปลดปล่อยพลัง และเอาชนะเธอ]

[และท้ายที่สุดวางแผนการชุบชีวิตต้นไม้โลก และช่วยอาณาจักรภูติให้รอดพ้นจากการล่มสลาย ความสำเร็จเหล่านี้ก็มากพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะก้าวไปสู่ระดับถัดไป]

รอยยิ้มบางๆ ได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของซอลจีฮู

เป็นอย่างที่โอราฮีได้พูดไว้

ทุกอย่างที่เขาทำลงไปไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็นับได้เป็นคะแนนคุณูปการ

[นอกไปจากนี้คำขอที่ให้ราชาภูติลืมเรื่องความแค้นที่ดำเนินมานับพันปี ช่วยเหลือแฟรี่ถ้ำให้ได้รับพลังภูติกลับคืนมา และรวมไปถึงการปลดปล่อยให้จ้าวภูติแห่งแสง และความมืดก็ยังนับได้เป็นความสำเร็จเช่นเดียวกัน]

กู่ลาได้ชี้แจ้งในสิ่งที่เขาสงสัยกับตัวเองออกมาอย่างชัดเจน

[การพลิกสถานการณ์สงครามที่ป้อมปราการไทกอลด้วยการช่วยอาณาจักรภูติเอาไว้]

[บังคับให้ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยง ความกรุณาอันน่ารังเกียจ ความอดทนอันพุ่งพล่าน และความบริสุทธิ์อันโสมมต้องปลดปล่อยพลัง และมีส่วนโดยตรงที่ทำให้พวกเขาต้องถอยทัพไป]

[ทำให้ราชินีปรสิตจุติลงมาที่สนามรบ รวมไปถึงทำลายรังและกองกำลังปรสิต สร้างความเสียหายให้กับพลังเทพของเทพธิดาปรสิต]

[และด้วยเหตุนี้ทำให้ปรสิตพ่ายแพ้ และช่วยป้อมปราการไทกอลจากการถูกทำลายล้างไว้ได้ ทั้งหมดนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้ามีคุณสมบัติมากพอให้ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง]

ซอลจีฮูกำหมัดแน่น นี่ดูเหมือนว่าเขาจะข้ามการสอบเลื่อนขั้นไปได้สองครั้งเลย

[นอกจากนี้]

กู่ลาได้พูดต่อ

[การบังคับให้ผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งเผยตัวเองที่ป้อมปราการ… ก็ยังจะนับได้เป็นคุณูปการเช่นกัน]

เมื่อกู่ลาได้พูดถึงผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่ง ซอลจีฮูก็สัมผัสได้ถึงความลังเลในน้ำเสียงของเธอ

นี่มันเป็นธรรมดาที่จะมีการกล่าวถึงซึงชิฮยอน เท่าที่ซอลจีฮูรู้ ในอดีตซึงชิฮยอนก็เคยผู้บริหารกู่ลา ดวงดาวแห่งความตะกละ

ซอลจีฮูคิดเกี่ยวกับบางอย่าง จากนั้นก็ทำจิตใจให้ว่างเปล่า สำหรับการที่ถูกคนที่เคยเป็นอัครสาวกทรยศแล้ว ซอลจีฮูไม่อาจจะจินตนาการถึงสิ่งที่เธอรู้สึกได้เลย

[ฟุฟุ]

ยังไงก็ตามกู่ลาได้หัวเราะออกมาเบาๆ และลูบหัวของเขา

[ช่างน่าสนใจ พวกเจ้าทั้งคู่ดูคล้ายกันมาก แต่ทำไมเด็กคนนั้นถึงได้น่ารังเกียจ ในขณะที่เจ้าดูน่ารักกันนะ]

‘เอาอีกแล้ว’

[เปล่าหรอก มันไม่มีอะไร ยังไงก็ตามการใช้ความปรารถนาแห่งเทพได้ใช้คะแนนคุณูปการของเจ้าไปมาก แต่ว่าหากเราเพิ่มคะแนนคุณูปการที่เจ้าได้สะสมในครั้งนี้ไปรวมกันกับที่มีเหลืออยู่จากก่อนหน้านี้…]

ซอลจีฮูได้ตั้งใจฟังด้วยหัวใจที่เต้นแรง

[เจ้าก็จะสามารถเลื่อนสู่ระดับ 6 และจากนั้นก็ไปสู่ระดับ 7 ได้ในคราวเดียว]

ระดับ 7

ขอบเขตของแรงค์เกอร์ระดับพิเศษที่ซึ่งมีไม่ถึงสิบคนในพาราไดซ์

การที่ระดับที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดได้อยู่ตรงหน้าทำให้ซอลจีฮูรู้สึกยินดีอยู่ภายในใจ

ยังไงก็ตามความโลภของชายคนนี้ก็ไม่มีที่สิ้นสุด ซอลจีฮูได้เริ่มกระหายในขอบเขตของระดับ 8

‘ท่านกู่ลา แล้วเรื่องระดับ 8…]

[ถ้าพูดถึงแค่ในแง่ของคะแนนคุณูปการ เจ้าก็มีเกินพอจะกลายเป็นระดับ 8 แล้ว]

ตาของซอลจีฮูเบิกกว้างขึ้น

[แต่นอกจากจะต้องผ่านการทดสอบเลื่อนขั้นแล้ว ประสบการณ์ของเจ้าก็ยังห่างไกลเกินกว่าคำว่าพอในการเลื่อนสู่ระดับ 8 นี่คือในความเห็นของข้า]

หลังจากได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็ต้องเลียริมฝีปากออกมา

ยังไงก็ตามเขาก็ยอมรับในเหตุผลนี้

มันเป็นอย่างที่กู่ลาพูดไว้

ในสงครามครั้งนี้ซอลจีฮูรู้สึกอย่างชัดเจนว่าเขายังขาดประสบการณ์อยู่

‘แถมไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่ฉันรู้สึกด้วย’

จริงๆแล้ว เขาประหลาดใจมากที่ได้มายืนอยู่ที่นี่แบบครบสามสิบสอง และดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะพอใจกับการแค่ก้าวขึ้นกับสองระดับได้ในคราวเดียว

[ตอนนี้เราผ่านเรื่องการเลื่อนระดับของเจ้าไปก่อน เรามาคุยกันอีกเรื่องดีกว่า แก่นแท้อิกดราซิบกับพลังเทพแห่งความสงบนิ่ง]

ซอลจีฮูได้หยิบผลไม้สีแดงกับลูกแก้วเปล่งประกายออกมา

[ต้นไม้โลกคือต้นไม้ที่อยู่ระหว่างขอบเขตอมตะกับธรรมดา มันสามารถมีชีวิตได้ยืนยาวยิ่งกว่ามังกร แต่ว่าอายุขัยของมันก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ขีดจำกัด เมื่อร่างจริงของต้นไม้โลกสูญสิ้นอายุขัย มันจะปลูกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ และผลิดอกออกมาทันทีเพื่อดำรงตัวตนต่อไปผ่านวัฏจักรการเกิดใหม่ล

กู่ลาได้เริ่มพูดเรื่องผลไม้ของต้นไม้โลกก่อน

[เจ้ารู้ไหมว่าต้นไม้โลกจะทำอะไรเป็นอย่างแรกในตอนที่มันเกิดขึ้นมาใหม่]

‘ไม่เลยครับ’

[มันง่ายมาก มันจะเตรียมสารอาหารเอาไว้สำหรับต้นไม้โลกที่จะเกิดขึ้นมาต่อไป]

‘สารอาหาร’

[ใช่แล้ว ตามปกติมันจะใช้เวลายาวนานมากกว่าต้นไม้โลกจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่หากขาดการช่วยเหลือจากภายนอก ด้วยช่วงชีวิตของมนุษย์แล้ว มันจะไม่มีทางเลยที่จะได้เห็นต้นไม้โลกวิวัฒนาการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ต่อให้เขาคนนั้นจะมีช่วงชีวิตถึงสามชั่วอายุคนก็ตาม]

กู่ลาได้พูดต่อไป

[ดังนั้นแล้ว ต้นไม้โลกจะแบ่งพลังงานของมันออกมาส่วนหนึ่งในตอนที่มันวิวัฒนาการเต็ฒไว้ และเก็บเอาไว้สำหรับต้นไม้โลกต้นถัดไป หากว่าเจ้ายังเดาไม่ได้ล่ะก็ ต้นไม้โลกที่เจ้าถืออยู่ก็คือสิ่งนั้นแหละ]

ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างมองลงไปที่ผลไม้ในมือ

‘เดี๋ยวก่อนนะครับ นี่มันหมายความว่า…’

[เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องการเกิดของต้นไม้โลกต้นถัดไปหรอกนะ]

กู่ลาได้พูดต่อเบาๆ

[เจ้าได้ให้หญ้ากกไปหลายต้นเลยนี่ น่าจะห้าต้นสินะ ด้วยจำนวนขนาดนั้นก็น่าจะทำให้ต้นไม้โลกมีพลังงานเก็บไว้เพียงพอแล้ว คิดซะว่าผลไม้นี่คือของขวัญจากความพยายามของเจ้าก็ได้]

‘ผมก็หวังแบบนั้น’

[ไว้ตอนมีเวลาเจ้าจะไปที่อาณาจักรภูติดูก็ได้นะ ที่นั่นก็น่าจะมีผลไม้แบบเดียวกันกับที่เจ้าถืออยู่อยู่บนต้นไม้โลกอีกผลหนึ่ง]

ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา

เขาอยากจะไปให้ความสวยงามของอาณาจักรภูติที่มีต้นไม้โลกอยู่จริงๆ บางทีที่นั่นอาจจะเหมาะสำหรับการไปฮันนีมูนก็ได้

[บางทีเจ้าอาจจะเดาได้อยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าสามารถจะใช้งานแก่นแท้อิกดราซิลได้ง่ายๆ ด้วยการกินมันลงไป]

ซอลจีฮูที่กำลังดื่มด่ำไปกับภาพจินตนาการได้หันกลับมาสนใจกู่ลา

‘แล้วผลที่ได้คืออะไรเหรอครับ’

[มันไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย]

กู่ลาได้ตอบอย่างหนักแน่น

[แต่รับประกันได้ว่าจะมีแต่เรื่องดี ส่วนด้านผลที่ออกมาจะเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งาน ความแข็งแกร่งทางร่างกายอาจจะเพิ่มขึ้น หรือไม่ก็มานา หรือบางทีอาจจะปลุกพลังใหม่ขึ้นมา หรือไม่ก็เป็นการวิวัฒนาการ หรือมอบพรสวรรค์ใหม่ หรือเพิ่มศักยภาพแต่กำเนิดขึ้นก็เป็นได้หมดเลย]

‘เพราะงั้นแล้ว… มันจะเป็นการสุ่มผลลัพธ์ในทางที่ดีสินะครับ’

[ถูกต้อง]

ซอลจีฮูกลืนน้ำลายลงไป เขาหวังจะให้นิสัยใจร้อนจองเขาเปลี่ยนแปลงไป หรือไม่ก็พรสวรรค์ ‘ทั่วไป’ ของเขาวิวัฒนาการขึ้น

[แต่ว่าก่อนที่จะกินมันลงไปก็มีสิ่งที่เจ้าต้องรู้เอาไว้ แก่นแท้อิกดราซิลเป็นยาชนิดหนึ่ง เจ้าคงจะรู้ใช่ไหมว่าเจ้าไม่อาจจะกินมันเล่นๆได้]

‘ครับ’

[เจ้าจะโลภและกินผลไม้ทั้งลูกด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ ตัดแบ่งมันออกเป็นสิบชิ้น และแบ่งออกไปให้แต่ละคนคนล่ะหนึ่งชิ้น หากเกินกว่านั้นจะเป็นอันตรายต่อตัวคนที่กินลงไป]

[มันไม่มีทางเลยที่มนุษย์ทั่วไปจะทนกับพลังงานที่สะสมมานับพันปีได้]

ซอลจีฮูที่นึกถึงคำพูดของจางมัลดงในอดีตได้พยักหน้าออกมา

เขาดีใจที่ได้ยินว่าเขาสามารถจะแบ่งมันกับคนอื่นๆได้ด้วยซ้ำไป

‘ขอบคุณมากนะครับ ผมจะแบ่งมันอย่างแน่นอน’

[เยี่ยม ถ้างั้นเรามาพูดเรื่องพลังเทพแห่งความสงบนิ่งกันดีกว่า…]

เสียงที่ไหลลื่นของกู่ลาได้หยุดชะงักไปอย่างกระทันหัน

หลังจากเงียบอยู่สั้นๆ เธอก็พูดต่อ

[พูดตามตรงมันเป็นปัญหาอยู่เล็กน้อย]

‘ทำไมล่ะครับ’

[แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดีที่จำนวนของผู้บัญชาการกองทัพปรสิตลดลงเหลือหกคน แต่ปัญหาคือวิธีจัดการกับพลังเทพแห่งความสงบนิ่ง]

‘เอ่อ… ผมไม่มั่นใจว่ามันจะใช้ทำอะไรได้ แต่ว่าท่านใช้เจ้าพลังนี้ชุบชีวิตความสงบนิ่งกลับมาไม่ได้เหรอครับ ถ้างั้นฝ่ายเราก็จะมีเทพถึงหกองค์เลยนะ’

[หากมองแค่ผลลัพธ์นั่นจะเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือเราไม่อาจจะแบกรับสิ่งแลกเปลี่ยนจำนวนมากในขั้นตอนนั้นได้]

กู่ลาได้คร่ำครวญออกมา

[สิ่งที่อยู่ในมือเจ้าเป็นเพียงพลังเทพของความสงบนิ่ง ไม่ใช่ตัวเทพธิดา ร่างที่แท้จริงของความสงบนิ่งได้ถูกราชินีปรสิตกำจัดไปแล้ว]

‘…’

[มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชุบชีวิตเธอขึ้นมา ในทางเทคนิคแล้วมันเป็นไปได้อยู่เพราะในตอนนี้เรามีพลังเทพของเธอในการครอบครอง แต่การจะชุบชีวิตความสงบนิ่งที่เป็นเทพ พวกเราจำเป็นต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาล นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราเทพทั้งเจ็ดไม่อาจจะแบกรับได้ไหว]

นี่ก็ถูก ปัจจุบันเทพทั้งเจ็ดได้ใช้พลังจำนวนมหาศาลเพื่อคงการเชื่อมต่อระหว่างโลกกับพาราไดซ์ และยังพาชาวโลกมาที่พาราไดซ์เพิ่มอยู่อีก

ยิ่งกว่านั้นเทพทั้งเจ็ดก็ยังมอบพลังเหนือมนุษย์ให้กับชาวโลก สร้างบทฝึกสอน เขตพื้นที่เป็นกลาง และแบกรับสิ่งแลกเปลี่ยนกับการที่ชาวโลกนำของเล็กๆ น้อยๆ กลับไปจากโลก

ด้วยพลังในปัจจุบันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชุบชีวิตเทพอีกคนขึ้นมา

หลังจากคิดอยู่เงีบบๆ พักหนึ่ง ซอลจีฮูก็ถามขึ้น

‘แล้วถ้าเราชุบชีวิตความสงบนิ่งขึ้นมา เราจะได้ประโยชน์อะไรครับ’

[พวกเราจะมีเทพอยู่ฝ่ายเราอีกหนึ่งตนตามที่เจ้าพูด ดังนั้นพวกเราจะมีเวลาทำสิ่งต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเราสามารถจะเลือกชาวพาราไดซ์จำนวนหนึ่งเพื่อมอบพลังแบบชาวโลกให้ได้ พาชาวโลกมาพาราไดซ์ได้มากยิ่งขึ้น หรือสร้างพื้นที่แยกเอกเทศขึ้นมาเหมือนงานจัดเลี้ยงกับเขตพื้นที่เป็นกลางได้ กระทั่งอาจจะเพิ่มคลาสใหม่ที่ซึ่งความสงบนิ่งเป็นผู้ดูแลขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน]

ดังนั้นแล้วการชุบชีวิตความสงบนิ่งย่อมมีข้อดีอย่างแน่นอน

แต่ก็เป็นอย่างที่กู่ลาได้พูดไว้ ปัญหาคือจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเทพทั้งเจ็ดมีพลังไม่พอ ชาวโลกจึงจำเป็นต้องรับหน้าที่ในการชุบชีวิตความสงบนิ่ง และซอลจีฮูก็ไม่คิดว่านั่นจะเป็นไปได้ด้วย

ราคาที่ต้องแลกกับการทำแบบนั้นไม่อาจจะประเมินได้ และชาวโลกก็อาจจะลังเลที่จะช่วยหากว่าพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้โดยตรง

[ถ้างั้นแล้วมีวิธีใช้แบบอื่นไหมครับ ยกตัวอย่างเช่นการมอบพลังเทพให้กับชาวโลกเหมือนกับที่ราชินีปรสิตทำกับผู้บัญชาการกองทัพ’

[แน่นอนว่าไม่ได้]

กู่ลาตอบอย่างหนักแน่น

[นั่นเป็นสิ่งที่ร่างกายมนุษย์ไม่อาจจะแบกรับไหว ราชินีปรสิตสามารถที่จะทำมันได้เพราะเธอได้เปลี่ยนร่างกายผู้บัญชาการกองทัพให้กลายเป็นปรสิต แต่ถึงแบบนั้นโดยปกติแล้วผู้บัญชาการกองทัพส่วนใหญ่ต่างก็จะปิดผนึกพลังไว้อยู่เสมอ]

ซอลจีฮูเม้มปากออกมา

เขาเห็นด้วยกับกู่ลา แต่อีกด้านหนึ่งก็คิดถึงเรื่องของซึงชิฮยอน

ความเมตตาอันบิดเบี้ยวเป็นมังกรก่อนที่จะกลายเป็นปรสิต ดังนั้นแล้วนี่จึงยังพอเข้าใจได้ แต่ซอลจีฮูอดไม่ได้เลยที่จะสงสัยว่าซึงชิฮยอนต้องมีศักยภาพที่น่าเหลือเชื่อขนาดไหนถึงได้ดูดซับพลังเทพได้จนหมด

แม้ว่าการสร้างร่างกายขึ้นใหม่โดยราชินีปรสิตจะมีส่วนเกี่ยวด้วยก็ตาม

‘แล้วถ้าผู้รับพลังไปไม่ใช่มนุษย์ล่ะครับ อย่างเช่นโฟลน’

[คนๆ นั้นจะพินาศไป]

‘แล้วลูกเจี๊ยบล่ะ’

[ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดว่ามันคงยาก]

‘ลูกเจี๊ยบก็ไม่ได้เหมือนกันเหรอครับ’

[ภูติอาร์คัสมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำสำเร็จเมื่อเทียบกับมนุษย์ แต่ว่าเด็กคนนั้นเกิดขึ้นมาจากพลังของความบริสุทธิ์ แม้ว่าจะได้รับอาหารเป็นพลังปีศาจกับพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่การดูดซับพลังความสงบนิ่งนั่นก็ไม่อาจจะเอาไปเทียบกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เรากลั่นไว้ให้ได้เลย]

เธอกำลังบอกว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเก็บพลังของเทพทั้งสองไว้ด้วยกัน

[แม้ว่าภูติอาร์คัสจะเป็นตัวตนที่พิเศษ แต่เราก็ไม่อาจจะรู้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้เลย]

ซอลจีฮูที่ฟังเงียบๆ เดาะลิ้นออกมา

นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ช่างน่าปวดหัว

สมบัติล้ำค่าของฝ่ายปรสิตดูเหมือนจะสร้างความรำคาญให้กับฝ่ายมนุษย์ซะแล้ว

‘มันซับซ้อนสินะ’

[ก็นั่นแหละ อย่างแย่ที่สุดเจ้าจะมอบมันให้เราก็ได้ แน่นอนว่าพวกเราจะมอบคะแนนคุณูปการจำนวนมหาศาลให้กับเจ้า]

‘ผมยังไม่คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ผมจะตัดสินใจได้ในตอนนี้ ไว้ผมขอไปคุยกับพรรคพวกแล้วจะมาบอกทีหลังได้ไหมครับ’

[ได้สิ พวกเราจะปล่อยให้เจ้าได้เลือกว่าจะทำยังไงกับมัน ไว้พอเจ้ามีเวลาแล้วค่อยมาบอกเราในตอนที่พร้อมก็ได้]

‘ขอบคุณครับ’

ซอลจีฮูที่ได้รับข้อมูลใหม่มากมายต้องการเวลาใช้ความคิดกับตัวเอง และแทนที่จะตัดสินใจไปเอง เขาคิดว่าการพูดคุยกับทุกคนเพื่อตัดสินใจร่วมกันมันจะดีกว่า

‘นอกจากพลังเทพแล้ว ผมยังต้องคุยเรื่องระดับกับอาจารย์จางด้วย’

[นั่นก็เป็นตัวเลือกที่ดี งั้นข้าได้ตอบทุกคำถามกับเจ้าแล้วสินะ]

ขณะกำลังจะตอบว่า ใช่ ซอลจีฮูก็ต้องขมวดขึ้น

ตอนนี้พอคิดดูแล้วมันมีสิ่งสำคัญที่เขาจะถามอยู่

‘ท่านกู่ลา ผมมีเรื่องที่ไม่ว่ายังไงต้องถามให้ได้อยู่’

[พูดมาได้เลย ตราบใดที่มันไม่ละเมิดกฎแห่งกรรม ข้าจะตอบเจ้าได้ทุกเรื่อง]

กู่ลาได้พูดออกมา

‘ถ้าผมเลื่อนระดับขึ้น… ชื่อคลาสระดับ 6 กับระดับ 7 มันจะเป็นอะไรเหรอครับ’

จากนั้นกู่ลาได้เงียบลงไปอย่างกระทันหัน

แม้ว่าเขาอาจจะเข้าใจผิดไปเอง แต่เขารู้สึกเหมือนเห็นรูปปั้นผงะไป

‘ว่ายังไงเหรอครับ’

[เอ่อ หืมมม]

‘ท่านยังไม่ได้ตัดสินใจใช่ไหม คงเป็นแบบนี้สินคะ แต่แค่บอกผมทีว่ามีคำว่า ‘มานา’ อยู่ด้วยหรือเปล่า’

[อืม…]

‘…ท่านกู่ลา’

[…]

กู่ลาไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลยสักนิด

ยังไงก็ตามซอลจีฮูยังคงเฝ้าคอยคำตอบอย่างมุ่งมั่น สำหรับอย่างอื่นแค่คำตอบคลุมเคลือก็เพียงพอแล้ว แต่คำถามนี้เขาต้องการคำตอบอย่างชัดเจน

นานแค่ไหนแล้วนะ

‘ท่านกู่ลา… อย่าบอกนะว่า…’

เมื่อซอลจีฮูถามย้ำอีกครั้งด้วยความกังวลกับความเงียบอันยาวนาน…

[อากาศวันนี้ค่อนข้างดีเลยเนอะ]

ทันใดนั้นกู่ลาก็พูดเรื่องไร้สาระออกมา

‘หืม อากาศมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ครับ’

[ในทุกวันตามท้องถนนมีการจัดเทศกาล มันยอดเยี่ยมที่เจ้าคิดเรื่องเส้นทางในอนาคต แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าควรไปสนุกสักหน่อยเหรอ]

‘เดี๋ยวก่อนครับ รอก่อนนะ ทำไมท่านถึงเอาเรื่องเทศกาลมาพูดล่ะ’

[เจ้าคือพระเอกของงานนี้นะ เจ้าควรจะรีบออกไปได้แล้ว ไม่งั้นงานเทศกาลจะหมดความน่าสนใจ ยังไงก็ตามไว้ค่อยมาหาข้าหลังจากคิดเรื่องที่เราคุยกันในวันนี้ไปนะ]

ซอลจีฮูอยากจะท้วง แต่เสียงของเขาก็ไม่ยอมดังออกมา

มันไม่เพียงเท่านั้น แต่ร่างกายของเขากลับสไลด์ถอยหลังไปเองอีกด้วย

‘อะ อะไรกัน…’

ซอลจีฮูได้รีบสะบัดแขน แต่นั่นก็ไร้ความหมาย เขาถูกผลักออกมานอกวิหารอย่างหมดท่า

‘ทะ ท่านเทพธิดา….’

ซอลจีฮูพยายามจะบุกกลับเข้าไปอย่างไม่พอใจ

“…อะไรกัน…”

ยังไงก็ตามทางเข้าได้ถูกปิดสนิท

เขาเห็นอยู่ว่าประตูเปิดกว้างอยู่ แต่เขาไม่อาจจะเดินเข้าไปได้ราวกับมีกำแพงล่องหนขวางทางไว้

“ท่านกู่ลา ท่านกู่ลา”

ซอลจีฮูได้ทุบกำแพงล่องหน และส่งเสียงออกมา แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับ

กำแพงก็ยังไม่หายไปอีกด้วย

ด้วยความโกรธทำให้ซอลจีฮูขวางหอกใส่กำแพงอยู่หลายเล่ม แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย

โฟลนที่มองอยู่ข้างๆก็กลิ้นหัวเราะอยู่กับพื้น

“เธอหัวเราะเรื่องอะไรกัน”

[นายมาโกรธฉันทำไมอะ]

“ก็เพราะเธอกำลังขำไง เดี๋ยวนะ โฟลนลองเข้าไปข้างในหน่อย”

[ฉันเข้าได้ไม่มีปัญหา]

โฟลนได้ลอยเข้าไป และออกมาจากทางเข้า

เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูมั่นใจแล้ว

กู่ลาได้ไล่เขามาเพราะเธอตอบคำถามเขาไม่ได้

ไม่เพียงเท่านั้น แต่เธอยังห้ามไม่ให้เขาเข้าไปอีกครั้งด้วย

“กรอด”

ซอลจีฮูกัดฟันแน่น

“โฟลนอย่างยื่นนิ่งสิ เข้าไปทำอะไรสักอย่างหน่อย ไปทำลายรูปปั้นเลย”

[นี่นายอยากจะโดนสวรรค์ลงโทษเอาเหรอ]

“อ๊า เวรเอ้ย”

ซอลจีฮูได้เริ่มทุบกำแพงล่องหนอีกครั้ง

“ท่านกู่ลา ท่านจะทำแบบนี้งั้นเหรอ ท่านแน่ใจนะว่าท่านจะไม่เสียใจน่ะ”

[?]

เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมาแล้ว ซอลจีฮูจึงไม่ยอมหยุดอีกต่อไป

“ใครบอกกันว่าผมจะไม่แปรพักษ์ไปอยู่กับปรสิต”

[นั่นมันอะไรกัน]

น้ำเสียงหนักแน่นได้ดังออกมาจากวิหาร

มุมปากของซอลจีฮูได้ยิ้มขึ้นเมื่อในที่สุดกู่ลาก็ตอบกลับมา

“คิดให้ดีนะครับ ผมมีพลังเทพแห่งความสงบนิ่งอยู่ในมือนะ”

[เจ้าหนูนี่]

“พวกปรสิตกำลังขาดผู้บัญชาการกองทัพอยู่ คงน่าเสียดายไม่น้อยหากว่าพวกเขาได้ผู้บัญชาการกองทัพไปอีกคนจนครบเจ็ดคนเนอะ”

[เจ้า… เจ้า…]

“ว้า~ ตอนแรกก็ซึงชิฮยอน คราวนี้ก็ผมอีก แรงค์เกอร์ระดับพิเศษสองคนของชาวโลกที่รับใช้กู่ลาได้แปรพักษ์ไปอยู่กับปรสิต ผมสงสัยจังเลยว่าเทพคนอื่นจะคิดยังไงกัน”

[เจ้าหนู… ข้าคงใจอ่อนกับเจ้ามากเกินไป…]

เมื่อกู่ลาพูดไม่ออก ซอลจีฮูก็ได้ขึ้นเสียง ข่มขู่เธอยิ่งขึ้นไปอีก

“ลองมีคำว่า ‘มา’ จากมานาในคลาสแม้แต่นิด ผมมั่นใจเลยว่าท่านจะได้เห็นผู้บัญชาการกองทัพคนที่สี่ที่เข้าไปแทนที่ความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งแน่ อะไรอย่าง ‘ซอลจีฮูนักแกล้ง’ เข้าใจนะครับ”

จากนั้นเอง

[เจ้า… ข้าตามใจเจ้ามากเกินไปจนทำให้เจ้าไม่รู้จักความพอดีสินะ…!]

เสียงโวยวายได้ดังออกมาก่อนที่…

เปรี้ยง!

สายฟ้าสีขาวได้ผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า

ในเวลาเดียวกันเสียงร้องของซอลจีฮูก็ดังเสียดฟ้าออกมา

สวรรค์ได้ส่งการลงทัณฑ์ออกมาจัดการเขาแล้ว