ซอลจีฮูร้องออกมาจนสุดเสียง
มันไม่ใช่ว่าเขาขอชื่อเสียงหรือความมั่งคั่งอะไรเลย ทั้งหมดที่เขาต้องการก็แค่ไม่ ให้เทพธิดาใส่คําว่า มานา ลงไปในชื่อคลาสเขาเท่านั้นเอง
แม้ว่าสายฟ้าจะยังคงกระหน่ําผ่าลงมา แต่เขาก็ยังคงใช้หมัดมานาต่อยกําแพงต่อไป
มันเป็นการดิ้นรนอย่างหมดหนทาง
ในที่สุดการต่อสู้ของพวกเขาก็หยุดลงในตอนที่ลูซูเรียที่หวาดกลัวได้เข้ามาแทรก
จนกระทั่งลูซูเรียได้สัญญาว่าจะเกลี้ยกล่อม’ลาให้เท่านั้นซอลจีฮูถึงได้ยอมหยุดต่อยกําแพงและไปจากวิหาร
ในเวลาเดียวกันงานฉลองครั้งใหญ่ก็ถูกจัดตั้งขึ้นอยู่ที่วัลฮาลาอย่างผิดเวลา สมาชิกที่กลับมาจากวิหารต่างก็พูดคุยหัวเราะกันอยู่อย่างสนุกสนาน
ทุกคนต่างก็กําลังโม้เรื่องคลาสใหม่ของตนเอง แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นซอลจีฮูดินเข้ามาในห้อง รอยยิ้มของพวกเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นความสับสนเข้ามาแทน
ในการประชุมตอนเช้าซอลจีฮูยังดูสงบนิ่งอารมณ์ดี แต่แล้วตอนนี้หลังจากไปวิหารจู่ๆเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
สภาพของเขาในตอนนี้ดูมอมแมมจนเหมือนกับขอทานได้เลย
“นะ นี่… ทําไมนายถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ ไปถูกฟ้าผ่ามางั้นเหรอ”
โชฮงได้พึมพําอย่างประหลาดใจ แม้ว่าเธอจะไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้ แต่เธอกลับพูดได้ตรงจุดมาก
“ฉันเพิ่งไปต่อสู้มา”
“ต่อสู้ กับใครกัน ใครมันโงถึงขนาดเลือกมาสู้กับนายที่อีวา”
“กับคู่ลา”
“อะไรนะ”
“ช่างเถอะ ฉันมีเรื่องสงสัยอยู่ แต่… อ๊า บางทีฉันคงจะใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนเทพก็ได้ ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…”
เสียงของซอลจีฮูได้ค่อยๆ เบาลงไปเพราะเขาหอบหายใจอยู่
โชฮงได้ส่ายหัวปัดฝุ่นเขาออกไป
“อย่างแรกฉันคิดว่านายกําลังโกหกอยู่ แต่ว่าถ้านายพูดจริง นายก็คงจะบ้าไปแล้วการสู้กับราชินีปรสิตได้ทําให้นายเสียสติไปงั้นเหรอ”
“ก่อนจะมาถึงระดับ 5 ฉันไม่เคยกล้าพูดชื่อคลาสของฉันออกมาเลย เพราะฉันอาย เธอรู้ไหมว่านี่มันเจ็บปวดแค่ไหน”
ซอลจีฮูได้ตะคอกออกมา จากนั้นก็มองโชฮงหัวจรดเท้า
โชฮงได้ยิ้มกว้างออกมา
“…รอยยิ้มนั่นบอกฉันว่าเธอทําสําเร็จ”
“แน่นอนสิ ฉันเลื่อนระดับแล้ว”
โชฮงเชิดคางชูนิ้วออกมา
“ฟังให้ดีนะ ตอนนี้ฉันไม่ใช่แค่เทมพลาร์แล้ว แต่เป็นเทมพลาร์ขั้นสูง”
“เทมพลาร์ขั้นสูงงั้นสินะ”
โชฮงได้ตบบ่าซอลจีฮูเบาๆ และหัวเราะออกมา
“เทมพลาร์ขั้นสูง…”
ซอลจีฮูได้พึมพํากับตัวเองด้วยความอิจฉาอย่างชัดเจน
เธอชอบเป็นที่สนใจ แต่ปฏิกิริยาของเขามันดูเกินไปหน่อย จนทําให้เธอต้องถามออกมาอย่างสงสัย
“นายอิจฉาอะไรกัน แน่นอนว่าฉันกลายเป็นระดับ 6 แต่ไม่ใช่ว่านายได้รางวัลมาก ยิ่งกว่าฉันหรอกหรอ ในเมื่อนายคือคนที่นําพวกเขาไปสู่ชัยชนะครั้งนี้เชียวนะ”
“นั่นมันก็จริง… แต่ว่าฉันอายเกินกว่าจะพูดไป บางทีฉันอาจจะเปลี่ยนไปหาไอร่า”
ซอลจีฮูได้ตอบอย่างอ่อนแรง และหลบสายตาออกไป เขาเห็นฮิวโก่กําลังกลิ้งเข้ามาพร้อมตะโกนจนสุดเสียง
“ว้ววววววว”
เขาได้กลิ้งไปมาไม่หยุดราวกับไม่อาจจะเก็บความยินดีไว้ได้อีกต่อไป
“…เกิดอะไรขึ้นกับฮิวโก่งั้นเหรอ”
“จะอะไรอีกล่ะ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้วไงล่ะ”
“อ่อ จริงด้วย ฮิวโก้อยู่ระดับ 4 นี่นา”
“ใช่ เขาเคยเป็นบาบาเรียนมาก่อน แต่ตอนนี้เขาน่ะ… อะไรนะ ราชาบาบาเรียน”
“ราชาบาบาเรียน…”
เป็นชื่อคลาสที่ไม่เลวเลย
ไอร่าดูเหมือนจะตั้งชื่อคลาสได้ดีแหะ
ขณะที่ซอลจีฮูกําลังคิดที่จะเปลี่ยนเทพรับใช้อย่างจริงจังนี่เอง…
“พี่ชาย”
ได้มีเสียงลากยาวดังขึ้นขัดความคิดเขาเอาไว้ก่อน
เขาได้มองขึ้นมาเห็นเด็กสาวผมบลอนด์แก้มชมพูกําลังยืนบิดตัวอยู่
“คุณมาเรีย”
“พี่ชายรู้ไหมว่าฉันก็เลื่อนระดับขึ้นเหมือนกัน”
“อ่า ยินด้วยด้วยนะครับ ก่อนหน้านี้เธอเป็นนักบวชขั้นสูง ถ้างั้นตอนนี้ก็คงเป็นหัวหน้านักบวชแล้วสินะครับ”
“ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ฉันเป็นหัวหน้านักบวชระดับ 5 พูดเรื่องนี้แล้ว…”
มาเรียได้ใช้เท้าแตะลงไปบนพื้น จากนั้นก็ยื่นมือออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส
เธอกําลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่
ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น
“…แก้สัญญางั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว แต่อย่าเข้าใจผิดไปนะ มันก็แค่ว่าตอนนี้ฉันเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว… แถมคุณค่าของหัวหน้านักบวชก็สูงมาก ฉันคิดว่าบางทีเราควรจะโยนสัญญาเก่าทิ้งไปและเขียนสัญญาใหม่ให้เหมาะสมกับตําแหน่งของฉัน…”
ทันใดนั้นเองเสียงของมาเรียก็เบาลงไปทันที
เมื่อเธอมองผ่านไหล่ซอลจีฮูไป ดวงตาเธอก็สั่นไหวอยู่เบาๆ
ที่ตรงนั้นคิมฮันนาห์กําลังจ้องมาที่เธออย่างเย็นชา
มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับจะเยาะเย้ยมาเรีย
ใบหน้ามาเรียได้บิดเบี้ยวไปทันที
“เชี่ย”
“อะไรนะ”
“อ่อ มะ ไม่มีอะไรหรอก เพราะงั้นฉันเขียนสัญญาฉบับนี้ใหม่… แต่ใครสนล่ะ พอทําสัญญาไปแล้ว มันก็กลายเป็นสัญญาทาส บ้าเอ้ย ไว้เจอกันไหมหลังหมดสัญญาแล้วกัน”
มาเรียได้หายตัวไปอย่างรวดเร็วโดยสบถคําต่างๆ มากมายที่ซอลจีซูไม่เข้าใจ
“เธอไม่เคยเปลี่ยนเลยสินะ สําหรับเธอแล้วเงินคือทุกอย่าง พอคิดดูแล้วนี่ก็น่าทุ่งมาก”
ออเดรย์ บาสเลอร์ที่เข้ามาในห้องได้ยิ้มอย่างขบขัน
เธอคงจะได้ยินที่พวกเขาคุยกันแน่ เพราะเธอคือนักธนูที่มีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ฉันได้กลายเป็นนักแม่นปืนระดับ 5 ไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็แปลกอยู่หน่อยนะ เพราะฉันแทบไม่ได้ทําอะไรเลย”
“เธอคงจะได้รับคะแนนจํานวนมากจากการเข้าร่วมปฏิบัติการที่อาณาจักรภูติแน่”
“ไม่รู้สิ ตามปกติแล้วสิ่งที่ทําลงไปมันสําคัญกว่าการเข้าร่วม… แต่ก็นะจากที่ อาณาจักรภูติจนถึงป้อมปราการไทกอล ฉันก็ได้ฆ่าศัตรูให้ได้มากเท่าที่ทําได้ไปแล้ว เพราะงั้นฉันคงได้ส่วนแบ่งจากตรงนั้นล่ะมั้ง”
“ยังไงก็ตามแสดงความยินดีด้วยนะที่กลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง”
“ขอบคุณมาก ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะนายนั่นแหละตัวแทน จริงๆ ฉันก็ได้ยอมแพ้การเป็นระดับ 5 ไปแล้วด้วยซ้ํา”
ออเดรย์ บาสเลอร์ที่ยังรู้สึกเหมือนฝันได้พึมพําเขินๆ
ทันใดนั้นเธอก็หันกลับไปที่ประตู
“อ่อ จริงด้วย นักธนูเหล็กกล้ากับคันศรนางแอ่นก็เลื่อนระดับเหมือนกันนะ พวกเขาทั้งคู่ดูจะเหม่อลอยกันมากเลย มันแปลกมากเพราะปกติทั้งคู่จะสงบนิ่งอยู่ตลอด
เขาจําได้ว่านักธนูเหล็กกล้าหมายถึงใคร ส่วนทางคันศรนางแอ่นที่ออเดรย์พูดถึงนั้นคงจะหมายถึงคาซุกิ
“แล้วพอจะได้ยินชื่อคลาสพวกเขาไหม”
“สําหรับนักธนูเหล็กกล้าฉันไม่ค่อยจะมั่นใจเพราะเขาได้รับคลาสพิเศษ ส่วนเจ้าคนที่เป็นยอดผู้บุกเบิก… น่าจะกลายเป็นอาร์คเรนเจอร์ล่ะมั้ง”
นักแม่นปืนอาร์คเรนเจอร์…
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่น
เขารู้ว่าเขาควรจะเฉลิมฉลองไปกับการเลื่อนระดับขึ้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาคน
“ฉันคือ… ยอด… ราชาบาบาเรียน… เข้ามาเลย”
ฮิวโก้ยังคงกระโดดยินดีโดยไม่ได้สนใจความรู้สึกซอลจีฮูเลยสักนิด
โชฮงได้มองฮิวโก้ด้วยสีหน้ารําคาญ จากนั้นก็แค่นเสียงออกมา
“โอ้ เจ้าระดับ 5”
ฮิวโก้หยุดลง
“อะไรนะ”
“อะไรนะ อะไรกัน ฉันระดับ 6 นะ”
โชฮงหัวเราะเย้ยออกมา
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทําไมไอร่าถึงได้ยอมรับให้นายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง นายมันที่มสิ้นดี”
“บ้านเธอสิ ฉันไม่อยากจะฟังเรื่องนี้จากคนที่เปลี่ยนจากนักบวชมาเป็นนักรบเพราะจําเวทย์ไม่ได้สักบทหรอกนะ”
“เอ๊ะ คุณระดับ 5 ฉันระดับ 6 นา”
“…ยัยนี่!”
ฮิวโก้กัดฟัน และกําหมัดแน่น
เขาดูจะพร้อมเข้าโจมตีอยู่ตลอดเวลาแล้ว
“ดูสิใครพูดอะไรกัน”
ตอนนั้นเองเสียงแหบแห้งได้ขัดทั้งสองคนไว้
“ระดับ 6 งั้นเหรอ แค่ตอนเธอกลายเป็นระดับ 5 ฉันก็ตกใจจนเกือบหัวใจวายแล้วนะ”
“อะไรนะ แม่งเอ้ย ใครกันที่พูดแบบนี้ อยากตานงั้นสินะ”
โชฮงได้หยิบแท่งเหล็กหนามที่วางพิงกําแพงไว้ขึ้นมา และหันไปมองรอบตัว
แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักไปในทันทีเพราะชายชราสวมใส่ชุดคลุมสีน้ําเงินกําลังถือไม้เท้าจ้องเธออยู่
จางมัลดงมองลงไปที่ไม้กระบองของเธอ
“นี่เธอจะใช้มันฟาดฉันงั้นเหรอ”
“ตะ ตาแก่”
โชฮงที่ตกใจได้รีบซ่อนกระบองไว้ด้านหลังทันที
“เธอไม่ได้ต่างกับเขาเลยนะ แต่ก็ยังพูดเรื่อง…”
“เอาน่า ทําไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะ ฉันยอมรับว่าสมองฉันก็ไม่ได้ดี แต่ว่าฉันก็ยังอยู่กับร่องกับรอย”
“แล้วฮิวโก้ก็อยู่กับร่องกับรอยเหมือนกันนะ”
จางมัลดงตอบกลับ และโชฮงต้องหน้าแดงอย่างอับอาย และส่งเสียงอึดฮัดออกมา
“ตาแก่พูดถูก”
ฮิวโก่ได้เริ่มนวดบ่าจางมัลดงด้วยรอยยิ้มกว้าง
“วิธีพูดของเธอ… มันทําให้คนอื่นคิดว่าเธอเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษไปแล้วนะ”
จางมัลดงแค่นเสียงและละสายตาไปจากโชฮง
จากนั้นเขาก็เห็นชายหนุ่มที่กําลังยืนอยู่ และคิ้วที่ขมวดอยู่ของจางมัลดงก็ค่อยๆคลายลง
สิ่งเดียวกันนี้ก็กําลังเกิดขึ้นกับซอลจีฮู
รอยยิ้มสดใสได้เบ่งบานขึ้นบนใบหน้าเขา
“อาจารย์”
“หืมม”
“อาจารย์กลับมาตอนไหนครับ”
“ฉันเพิ่งมา ตอนที่ได้ยินว่านายกําลังกลับมา ฉันก็ออกจากฮารามาร์คในทันที่นั่นแหละ… แต่ยังไงซะ”
จางมัลดงได้หยุดนิ่งไปสักพัก
จากนั้นก็ใช้ไม้เท้าชี้มาที่ซอลจีฮู
“ทําไมนายถึงมีสภาพแบบนี้ล่ะ ไปถูกฟ้าผ่ามาหรือยังไงกัน”
ซอลจีฮูเกาหัวนิ่งๆ
ห้องรับรองได้เต็มไปด้วยเสียงดังวุ่นวายจนทําให้ซอลจีฮูกับจางมัลดงต้องย้ายสถานที่
ซอลจีฮูดีใจมากที่เห็นจางมัลดง เพราะทั้งคู่ไม่ได้เจอกันเลยนับตั้งแต่ที่จางมัลดงย้ายไปที่ฮารามาร์ค
“ฉันได้ยินข่าวลือมาแล้วนะ นายฝากแผลไว้บนหน้าราชินีปรสิตงั้นเหรอ”
“มันก็ค่อยรอยขีดข่วนเท่านั้นเองครับ ในตอนหอกออกไปจากมือ ผมมั่นใจมากว่าต้องโดนแน่ แต่จากนั้นราชินีปรสิตได้เงยหน้าขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย…”
“ฮ่าฮ่า นายบอกว่า แค่รอยขีดข่วน งั้นสินะ แต่นั่นคือการสร้างบาดแผลให้กับเทพเชียวนะ เอาเถอะ บอกมาสว่านายรู้สึกยังไง ฉันพร้อมฟังคําพูดของยอดวีรบุรุษสงครามแล้ว”
“ขอเถอะครับ อาจารย์อย่าทําแบบนี้เลย ทุกคนต่างก็พูดกันเกินจริงไป สิ่งแรกที่ผมทําในตอนเช้าวันนี้ก็คือการภาวนาขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่ตายครับ”
“ฮฮฺ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ”
จางมัลดงกับซอลจีฮูได้ยิ้มให้กันและกัน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การได้คุยกับอาจารย์จางได้ทําให้ซอลจีฮูใจเย็นลง
“แล้วมีเรื่องอะไรกวนใจนายอยู่ล่ะ”
ซอลจีฮูผงะไป
ซอลจีฮูพยายามอย่างมากที่จะไม่เผยความกังวลออกมาให้จางมัลดงให้เห็น แต่อีกฝ่ายก็ยังคงอ่านเขาออกเช่นเดิม
“นายเพิ่งจะเอาชนะสงครามที่ยากมาก และทําสิ่งที่ต้องการได้สําเร็จ ดังนั้นมันไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้นายกังวลในตอนนี้เลยนะ”
“มัน… ค่อนข้างจะซับซ้อนครับ”
ซอลจีฮูพึมพําออกมาโดยที่ค่อยๆ หลบตาไปด้วย
“ซับซ้อนยังไงล่ะ บอกมาสิ”
จางมัลดงได้กดดันซอลจีฮูด้วยสีหน้าสงสัย
หลังจากลังเลอยู่สักพัก ซอลจีฮูก็ได้เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวิหาร
“หืมม”
จางมัลดงได้เคาะนิ้วลงบนแขนตัวเองก่อนจะเอียงหัวออกมา
“นายพูดถูก แก่นแท้ของต้นไม่โลกไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องการใช้พลังเทพแห่งความสงบนิ่งนี้ ฉันไม่มั่นใจเลย”
“ใช่ไหมล่ะครับ พวกเราจําเป็นต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์จํานวนมหาศาลในการคืนชีพเทพ แต่ว่าผมไม่คิดว่าเราจะรวบรวมจํานวนมากขนาดนั้นได้”
“หากว่าเทพทั้งเจ็ดรู้สึกหนักใจกับจํานวนพลังที่ต้องใช้ มันจะต้องมหาศาลมากแน่ บางที่ตอนนี้เราน่าจะเก็บมันเอาไว้ก่อน ไว้บางทีหลังจากนี้เราอาจจะเจอเครื่องเซ่นที่เก็บพลังศักดิ์สิทธิ์จํานวนมหาศาลไว้อยู่ก็ได้ หรือไม่ก็เอาไว้ใช้ประโยชน์ในตอนที่เราต้องการแต้มคุณูปการจํานวนมหาศาลในเวลาสั้นๆ”
“ผมเห็นด้วยนะครับ ไว้ผมจะไปคุยกับคนอื่น แล้วเก็บมันเอาไว้ครับ”
“นายต้องระวังไว้ด้วยนะ เราไม่อาจจะปล่อยให้มันกลับไปสู่มือของพวกปรสิตได้อีก”
“แน่นอนครับ ผมจะเอามันไปเก็บไว้ในคลังของวิหาร”
ซอลจีฮูได้พยักหน้าให้กับจางมัลดง
“นั่นก็น่าจะปลอดภัยแล้ว อีกเรื่องนะเรื่องระดับของนาย…”
จางมัลดงลูบคางออกมา
“ฉันก็เข้าใจว่าทําไมนายถึงลําบากใจ นายยังไม่เชี่ยวชาญระดับ 5 ของตัวเองดีเลย แต่นี่จู่ๆก็ข้ามไปถึงระดับ 7 ในคราวเดียว… ร่างกายกับจิตใจของนายได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว แต่ว่าเทคนิคของนายมันก้าวหน้าขึ้นไม่สิ้นสุดเลย”
ซอลจีฮูยิ้มแห้งออกมา
นี่ไม่ใช่สิ่งที่กวนใจเขาเลย
แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะบอกอาจารย์ไปได้ว่าเขาอารมณ์เสียก็เพราะชื่อคลาส
นอกจากนี้ปัญหาที่จางมัลดงพูดถึงก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน
“แต่ว่าปัญหานี้แก้ไขได้”
ซอลจีฮูได้ยึดตัวตรง และรวบมือเข้าด้วยกัน
จางมัลดงหรี่ตาออกมา
“การที่นายพูดอย่างมั่นใจแบบนี้… นายคิดจะใช้มันแล้วเหรอ”
“ครับ ผมคิดว่ามันต้องเป็นตอนนี้แหละ สงครามครั้งนี้ได้ทําให้ผมรู้ว่าผมต้องการมัน อาจารย์คิดว่ายังไงครับ”
ซอลจีฮูถามออกมาด้วยความสงสัย
“ก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่”
จางมัลดงได้ตอบกลับมาโดยไม่ลังเลเลย ผิดกับที่ซอลจีฮูคิดไว้
“ตามจริงฉันก็กําลังคิดแบบเดียวกัน การใช้มันในตอนอยู่ระดับต่ําๆ มันจะเป็นการเสียเปล่า แต่ในตอนนี้มันต่างออกไปในเมื่อนายคือแรงค์เกอร์ระดับพิเศษแล้ว”
“อาจารย์จางคิดงั้นเหรอครับ”
“ใช่ แต่ว่านายจะต้องเตรียมใจไว้ด้วย”
จางมัลดงพูดต่อ
“ระดับ 5 ไประดับ 7 ความยากของการทดสอบมันจะยากขึ้นตามสัดส่วนพลังที่นายแสวงหานายรับมันไหวนะ”
“ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ครับ ตามจริงผมก็อยากจะใช้เวลาเตรียมตัวสําหรับการทดสอบ… แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะเริ่มจากจุดไหน”
ซอลจีฮูได้มองจางมัลดงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เขากําลังขอคําแนะนํา
“นี่คือสิ่งแรกที่นายควรจะทํา”
จางมัลดงยิ้มออกมา
“นายต้องพัก”
“อะไรนะครับ”
“จะอะไรอีกล่ะ”
“มะ ไม่มีอะไรครับ ผมแค่รู้สึกแปลกๆ ที่ได้ยินอาจารย์จางพูดว่าผมต้องพัก…”
“ฉันก็เคยบอกนายไปแล้วหลายครั้งนะว่าการพักคือส่วนสําคัญของการฝึก”
จางมัลดงยิ้มบางออกมา
“แน่นอนว่าก็มีบางครั้งที่นายต้องกดดันตัวเองจนเกินกว่าขีดจํากัด แต่ว่านายทําแบบนั้นมาเกินพอแล้ว ยิ่งกว่านั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้นายก็เพิ่งผ่านพ้นสงครามมาเองนะ”
“ภายนอกนายอาจดูสบายดี แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ ตัวนายอาจจะเหนื่อยล้าทั้งกายและจิตใจ นายคิดว่าฉันพูดผิดหรือเปล่าล่ะ”
ซอลจีฮูยังคงเงียบ
จางมัลดงได้จ้องเขา จากนั้นก็เน้นย้ําอีกครั้ง
“ถ้านายยังคงดึงเชือกจนดึงเกินไปแบบนี้ต่อ นายอาจจะทํามันขาดไปก็ได้นะ นายควรจะผ่อนเชือกสักหน่อยเพื่อให้คราวหน้าดึงเชือกให้ได้นานยิ่งขึ้น สําหรับตอนนี้แล้วไปพักเติมพลังซะ การฝึกเอาไว้ค่อยหลังจากนั้น”
ซอลจีฮูถอนหายใจยาวออกมา
เขาอยากจะปฏิเสธ แต่ว่าเขาหาคํามาเถียงไม่ได้เลย
“แล้วก็… นายอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วเหมือนกัน นายควรจะกลับไปที่โลกบ้างนะ”
ซอลจีฮูผงะไปทันทีกับคํานี้
ปฏิกิริยาของเขามันเล็กน้อย และแค่พริบตาเดียว แต่จางมัลดงก็สังเกตเห็นมัน
“ละ โลกเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ครั้งก่อนที่นายกลับไปมันก็นานแล้วนะ”
“คือ… ผมหมายถึงแน่นอนว่าในฐานะชาวโลกผมจําเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย… แต่ผมคิดว่าผมจัดการมาพอแล้ว คืออ…”
จางมัลดงได้แสร้งยิ้มในขณะที่คอยสํารวจดูซอลจีฮูไปด้วย
“เป็นแบบนี้อีกแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซอลจีฮูมีท่าทีแบบนี้
เมื่อไหร่ก็ตามที่จางมัลดงพูดเรื่องโลก ซอลจีฮูจะดูลังเลขึ้นมา
แม้กระทั่งในตอนจางมัลดงบังคับส่งเขากลับไป ซอลจีฮูก็ยังกลับมาที่พาราไดซ์ โดยเร็วที่สุดอีกด้วย
จางมัลดงเจอว่าซอลจีฮูเสพติดพาราไดซ์ในระหว่างสงครามหุบเขาอาร์เดน แถมนับตั้งแต่นั้นมาอาการมีแต่ยิ่งหนักมากขึ้นอีกด้วย
ซอลจีฮูทําเหมือนกับเขาลืมเรื่องโลกไปแล้วโดยสิ้นเชิง จางมัลดงหวังว่าเขาจะเข้าใจผิดไปเอง
การเสพติดมันไม่มีขั้นต่อไปแล้ว
ซอลจีฮูแทบจะอยู่ในจุดที่หวนกลับไปไม่ได้
ในตอนนี้จางมัลดงตั้งใจที่จะคุยกับซอลจีฮูในเรื่องนี้
เมื่อตัดสินใจได้ชายชราจึงถามออกมา
“นายกินอะไรมาหรือยัง”
“อะไรนะครับ ไม่ครับ ยังไม่ได้กินเลย”
“โอเค ถ้างั้นไปกินมื้อเย็นกัน ทําไมวันนี้เราไม่ไปกินอะไรข้างนอกกันล่ะ พวกเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาสักพักแล้วนะ”
นี่มันกระทันหันมาก
สายตาที่สับสนของซอลจีฮูได้มองตามจางมัลดงที่ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม
“ทําไมนายถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ”
“วันนี้อาจารย์จางดูแปลกๆ นะครับ…”
“แปลกยังไง ที่นั่นพวกเราจะได้กินอาหารกับไวน์กันด้วย หรือว่านายไม่อยากจะใช้เวลากับตาแก่คนนี้ล่ะ”
“ไม่แน่นอนครับ ผมจะไปกินมื้อเย็นกลับอาจารย์ แต่ก่อนอื่นผมขอไปเตรียมตัวก่อนได้ไหมครับ อย่างที่เห็นสภาพของผมในตอนนี้มันแย่มาก”
“เร็วเข้า ฉันได้กินแต่เนื้อแห้งกับขนมปังมาตั้งหลายวันแล้ว ฉันอยากจะกินอาหารจริงๆ มาตั้งนาน”
จางมัลดงได้หันหน้าไปโดยบอกว่าจะรอซอลจีฮูที่ทางเข้า
ซอลจีฮูได้รีบอาบน้ํา แต่แล้วไม่นานเขาก็ต้องเจอกับปัญหา
เขาต้องใช้เงินเพื่อไปกินอาหารข้างนอก
แต่เขากลับไม่มีเลย
พูดให้ถูกคือเขามีเงินจํานวนมหาศาลอยู่ในคลังของวิหาร แต่ว่าเขาเข้าไปเอาไม่ได้เพราะในตอนนี้เขาถูกห้ามไม่ให้เข้าวิหาร
แน่นอนว่าจางมัลดงก็น่าจะพอมีอยู่บ้าง แต่ซอลจีซูไม่อยากจะถอนคําพูด หลังจากที่ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าจะเป็นคนเลี้ยง
เพราะงั้นแล้วเขาเหลือทางเลือกเดียวคือยืมคนอื่นก่อน
“คิมฮันนาห์”
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป คิมฮันนาห์ที่กําลังวุ่นกับงานบนโต๊ะได้เงยหน้ามองเขาทันที
“เอาไปสิ”
เธอถอนหายใจจากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมโยนให้เขา
“รับไปแล้วไปเล่นที่อื่นซะ ตอนนี้ฉันกําลังทํางายอยู่ อย่ามากวน”
“ไม่ ฉันไม่ได้มาเอาเสื้อคลุม”
“หม”
“ขอเงินหน่อยสิ”
ซอลจีฮูได้ยื่นมือออกมาด้านหน้า
คิมฮันนาห์ขมวดคิ้วออกมา
“ตอนนี้เหรอ เอาเท่าไหร่ละ แปลกมากเลยนะที่นายมาขอเงินฉัน”
“เอาแค่พอสําหรับจ่ายมื้อเย็นก็ได้ ฉันจะออกไปกับอาจารย์น่ะ”
คิมฮันนาห์กระพริบตาออกมา
“…แล้วเงินนายไปไหนหมดซะแล้วล่ะ อย่าบอกนะว่ากลายเป็นเศรษฐีถังแตกน่
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แค่ในตอนนี้ฉันไม่มีเงินกับตัวเลย”
“ถ้างั้นก็ไม่ที่วิหารสิ”
“ฉันถูกแบนชั่วคราว…”
“ถูกแบน นายเนี้ยนะถูกแบนจากวิหารกลา”
“นี่นาย… สู้กับคู่ลาจริงดิ นายไม่ได้ล้อเล่นหรอกเหรอ”
“ไม่”
“พระเจ้า ฉัน… หาคําไหนมาพูดไม่ได้เลย”
คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมา
เธอได้ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเอนตัวหาซอลจีฮู
“คุณพ่อจีนาร์กําลังทําอะไรอยู่ เลือกสู้กับเทพธิดาที่รับใช้งั้นเหรอ นี่เคยคิดถึงอนาคตของลูกสาวเราบ้างไหม”
“โอเค แต่ว่าฉันขอยืมเงินหน่อยสิ ฉันเสียสละเพื่อครอบครัวมามากแล้ว เธอคงจะไม่ปล่อยให้ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารแค่มื้อเดียวหรอกนะ”
หยุดเล่นบทบาทไร้สาระนี่ได้แล้ว ชิ”
คิมฮันนาห์ถอนหายใจคว้ากระเป๋าเธอมา
จากนั้นเธอก็คว้าเสื้อคลุมที่โยนใส่ซอลจีฮูกลับมาพาดบ่า และเริ่มเดินไปทางประตู
“เธอจะไปไหน”
“นายบอกว่าจะไปกินมื้อเย็นกับอาจารย์จางนี่ ฉันขอไปด้วยแล้วกัน”
“ฉันเธอกําลังทํางานอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“พอมาคิดดูแล้วฉันก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน”
“แต่ฉันนัดกับอาจารย์จางไว้แค่สองคนนะ”
“ฉันรู้สึกเหมือนฉันน่าจะต้องไปด้วย มีเรื่องสําคัญที่พวกนายจะคุยกันใช่ไหมล่ะ ฉันรู้จักที่ดีๆ เงียบสงบอยู่”
“?”
“แต่หน้านั่นมันอะไรกัน ไม่ใช่ว่าทั้งอาจารย์จางกับเธอไม่ชอบดื่มหรอกเหรอ แต่นี่นายกําลังจะไปดื่มตอนกลางวัน เพราะงั้นฉันเดามามันต้องมีการคุยเรื่องสําคัญแน่”
เรื่องไหวพริบเธอไม่เป็นรองใครเลยจริงๆ
“บางทีอาจจะมีหางจิ้งจอกเก้าหางอยู่ในกางเกงเธอก็ได้นะ เธอต้องเป็นมนุษย์สัตว์แน่ๆ
ซอลจีฮูคิดขึ้นกับตัวเอง
เมื่อคิมฮันนาห์ได้ขอจางมัลดงไปร่วมด้วย ชายชราก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ แต่กลับให้คํายินยอมทันที
“มาสิ ฉันก็มีคําถามที่อยากจะถามคุณคิมฮันนาห์เหมือนกัน”
น้ําเสียงเขาไม่ได้ดูตื่นเต้น และไม่ได้ดูแปลกใจเลยด้วย
คิมฮันนาห์ได้พาพวกเขาไปที่ร้านอาหารเงียบๆ และทั้งสามคนก็สั่งอาหารกับเครี่องดื่มมา
ของที่สั่งได้ถูกเสิร์ฟในเวลาสั้นๆ
จากนั้นเอง
“ทําไมนายถึงเกลียดการกลับไปที่โลกล่ะ”
ซอลจีฮูได้เทไวน์ลงไปในแก้วอยู่ได้รับเงยหน้าขึ้นมา
ซอลจีฮูรู้ว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป
ในวันนี้จางมัลดงมีท่าทางแปลกๆในตอนที่พวกเขาเจอกัน
แต่เขาก็ไม่คิดว่าอาจารย์จะพูดตรงๆแบบนี้
จางมัลดงได้ดึงแก้วไป
จากนั้นเขาก็หยิบขวดไวน์ในมือซอลจีฮุมาเทลงไปในแก้วของซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์
เขาได้ยกแก้วขึ้นดื่มโดยไร้คําพูดใดๆ
ซอลจีฮูที่เริ่มอยู่ไม่นิ่งก็ยังดื่มลงไปเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาก็หันไปมองจางมัลดงด้วยสีหน้าสับสน
จางมัลดงกําลังรอคอยคําตอบจากซอลจีฮู
“อาจารย์ ผมไม่ได้เกลียดการกลับไปเป็นพิเศษหรอกครับ”
“แต่ที่เห็นมันไม่ใช่เลยนะ”
เสียงจางมัลดงไม่มีความสั่นคลอนเลยแม้แต่นิด
“ฉันไม่ได้แก่แค่อายุหรอกนะ ฉันอยู่มานานพอที่จะมองคําโกหกของนายออกนะ”
แค่กๆ
จางมัลดงไอแห้งๆออกมา และหันมองด้านข้าง
“แถมคนที่เป็นคนเชิญนายมาที่พาราไดซ์ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธอีกด้วย เธอดูจะเห็นด้วยกับฉันนะ
จางมัลดงได้เสริมขึ้นเบาๆ
พอซอลจีฮูหันไปมองคิมฮันนาห์ เธอก็หลบสายตาเขาไป
“ทําไม… ทําไมอาจารย์คิดแบบนั้นครับ”
“นั่นมันไม่ได้สําคัญหรอก ที่สําคัญคือเหตุผลที่นายปฏิเสธไม่ยอมกลับไปที่โลก”
ซอลจีฮูได้สูดหายใจยาว และกําหมัดแน่น
เขารู้สึกเหมือนเปลือยอยู่ตรงหน้าฝ่ายตรงข้าม
“เหตุผลที่ผมเกลียดการกลับไปที่โลกเหรอครับ”
“ถ้านายมีเหตุผลที่ดีก็ไม่มีปัญหา อย่างเช่นชีวิตนายที่โลกนั่นถูกคุกคาม ถ้าแบบนั้นฉันเข้าใจ และยินดีช่วยนายด้วย แต่ดูจากคนเชิญนายที่เป็นถึงคุณจิ้งจอกสาวแล้ว ฉันคิดว่ามันไม่ใช่แบบนั้น”
“ตอนนี้พอมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันจะพูดตรงๆนะ”
จางมัลดงพูดออกมาตรงๆ
“นายน่ะ… นายเป็นคนที่แปลก มันเหมือนกับนายอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
“พาราไดซ์เป็นที่ที่ดี”
“นายก็รู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะบอก”
จางมัลดงยังคงพูดต่อไป
“หากว่านายไปมาระหว่างพาราไดซ์กับโลกแบบปกติเหมือนที่ชาวโลกทุกคนทํา ฉันก็คงไม่ต้องมานั่งพูดเรื่องนี้กับนายหรอก แต่นายต่างออกไป นายดูเหมือนจะไม่สนใจที่จะกลับไปเลยสักนิด”
คําพูดนี้ของจางมัลดงได้ตอกตะปูปิดฝาโลง
ซอลจีฮูที่ถูกต้อนจนมุมได้ตะคอกออกมา
“การที่ผมไม่อยากกลับไปมันแย่เหรอครับ”
“ใช่ มันแย่”
“ทําไมกันล่ะ แค่เพราะผมเกิดบนโลกน่ะเหรอ แต่ว่าผมชอบพาราไดซ์มากกว่า ผมชอบโลกใบนี้มากกว่า ผมอยากจะใช้ชีวิตที่นี่ นี่มันผิดด้วยเหรอครับ”
“พาราไดซ์เป็นสถานที่ที่อันตรายอยู่ตลอดเวลา”
แม้ว่าน้ําเสียงของซอลจีฮูจะกลายเป็นดื้อรัน แต่จางมัลดงก็ยังคงพูดอย่างสงบ
“ในโลกใบนี้ ชีวิตนายจะอยู่ในอันตรายตลอดเวลา หากนายตายในพาราไดซ์ ไม่ใช่แค่นาย แต่เพื่อนกับครอบครัวของนายก็จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากในตอนนายกลับไปบนโลก”
“ผม…”
เอาชนะพวกปรสิต” นี่เป็นคําที่เขากําลังจะพูด แต่ก็ต้องหยุดเอาไว้
ก็จริงที่เขาจะเอาชนะพวกปรสิต แต่ในการทําแบบนั้นเขาต้องเสี่ยงอันตรายอยู่อีกหลายต่อหลายครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใด เขารู้ดีว่าจางมัลดงกําลังกังวลเรื่องใด
“จีฮู…”
จางมัลดงสูดหายใจยาว
“ในวันที่ฉันตัดสินใจกลับมาที่พาราไดซ์ เอียนได้พูดแบบนี้”
“อาจารย์… เอียนเหรอครับ”
“ใช่ เขาบอกว่านายต้องการคนมาคอยสอน และชี้ทางที่ถูกต้องให้”
สีหน้าของซอลจีฮูได้ซีดลงไปเมื่อเขาได้ยินชื่อของเอียน
“นายได้คิดว่าฉันเป็นอาจารย์นายหรือเปล่า”
ซอลจีฮูพยักหน้าออกมา
“ถ้านายคิดแบบนั้นจริง ถ้างั้นก็ช่วยบอกฉันหน่อย ในฐานะอาจารย์ของนาย ฉัน อยากจะเข้าใจ และช่วยเหลือนักเรียนคนโปรด และยังเป็นนักเรียนที่ล้ําค่าที่สุด”
“ช่วยบอกฉันเถอะนะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงใจของจางมัลดง ซอลจีฮูก็ไม่อาจจะใจแข็งได้อีกต่อไป
เขาได้กัดริมฝีปากออกมาก่อนจะก้มหน้าลง
และพึมพําขึ้น
“ผมรู้สึกเหมือนเศษสวะ”
“เศษสวะ”
“ใช่ เศษสวะ”
เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา
ใบหน้าของเขาไม่หลงเหลือความเคร่งขรึมหรือซุกซนอีกต่อไปแล้ว
ดวงตาของเขาดูเหม่อลอยไร้ซึ่งชีวิตชีวา
“ผมเป็นเศษสวะ อาจารย์เห็นไหมครับ”
“เศษสวะ…”
เมื่อได้รับฟังคําสารภาพของนักเรียนคนนี้ จางมัลดงได้ลูบคางออกมา
“..มันจริงเหรอ”
เขาได้เผยรอยยิ้มเล็กๆ
ในที่สุดซอลจีฮูก็ยอมพูดออกมาแล้ว
“นายฆ่าไปงั้นเหรอ”
“ไม่ครับ”
รอยยิ้มแห้งๆ ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซอลจีฮู
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าอดีตของนายเป็นยังไง แล้วมันแย่แค่ไหน”
“อาจารย์ ผม…”
“แน่นอนว่าบางทีนายอาจจะเป็นเศษสวะเหมือนกับที่นายพูด ฉันจะไม่พูดว่าอดีต คืออดีตหรอกนะ ความผิดในอดีตก็ยังนับว่าเป็นความผิด แต่ถึงนายจะได้ทําบาปร้ายแรงลงไป มันก็ขึ้นอยู่กับนายว่านายจะใช้โอกาสเรียนรู้ในความผิดพลาดหรือจะจมอยู่กับมัน สุดท้ายแล้วก็คือนายจะรีไซเคิลใหม่หรือจะเป็นเศษสวะเหมือนเดิมล่ะ”
“และฉันเชื่อว่านายได้รับการรีไซเคิลไปแล้ว”
ดวงตาของจางมัลดงได้มองทะลุไปที่ซอลจีฮู
“ก็เพราะว่า…”
ชายชราได้พูดต่อไปอย่างเคร่งขรึมโดยเน้นไปในแต่ละคําพูดที่พูดไป
“ชายที่ชื่อซอลจีฮู ซึ่งฉันจางมัลดงคนนี้ได้เห็นด้วยตาตัวเองในพาราไดซ์ เป็นชายที่รู้จักการเผชิญหน้ากับความกลัวอย่างหินผา รู้จักตัดสินใจในยามจําเป็น รู้จักการท้าทายความเป็นไปไม่ได้แม้จะไม่มีใครเห็นด้วย และยังรู้จักการเสียสละเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เขาเป็นชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยม”
“แม้ว่าทุกครั้งเขาจะดื้อรัน และทําตัวเป็นเด็กก็ตาม..
สีหน้าเคร่งขรึมของจางมัลดงได้เบาบางลง และแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
ซอลจีฮูยังคงนิ่งอยู่
แต่มีประกายแสงเข้ามาในดวงตาเขาไม่เหมือนแต่ก่อน
ชัดเจนมากว่าเขาตกตะลึงกับคําพูดที่คาดไม่ถึงของอาจารย์จาง
“นั่นคือเหตุผลที่ฉัน…”
รอยยิ้มอ่อนโยนได้กระจายไปทั่วใบหน้าแก่ชราของจางมัลดง
…อยากจะเห็นนายข้ามผ่านอดีต หากว่านายรู้สึกว่าทํามันคนเดียวไม่ได้ ฉันก็ยินดีจะช่วย ยังไงซะฉันก็คืออาจารย์ของนายนะ”
ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป
เขารู้สึกว่าเขาไม่อาจจะหนีไปจากจางมัลดงได้อีก
หรือไม่เขาก็ไม่อยากจะหนี
นั่นก็เพราะเขารู้ว่าอาจารย์คนนี้ยินดีทําความเข้าใจ และช่วยเขา
แต่ว่าการเผยจุดบกพร่องของตัวเองออกมาต้องใช้ความกล้าอย่างมาก
จางมัลดงไม่ได้กดดันลูกศิษย์ของเขาอีกต่อไปแล้ว
เขาทําเพียงเฝ้ารอคอยอย่างอดทน
และเพราะแบบนี้หลังจากเงียบอยู่นาน
“ผม…”
ในที่สุดซอลจีฮูก็พูดออกมา
“ฉันติดพนันจนเป็นบ้า ใช่แล้ว ผมเสพติดการพนัน”
เขาได้หลงทางเข้าไปในโลกแห่งการพนัน
เขาได้หันหลังให้กับครอบครัว และกระทั่งทรยศคนรัก
เขาได้ใช้ชีวิตในทุกๆ วันอย่างเสียเปล่า
มันเป็นช่วงชีวิตของเศษสวะ
ตอนต่อไป →