บทที่ 164 ลอบโจมตี
“ย่าห์ !”
เสียงคำรามดังลั่นขึ้นก่อนจะมีเสียงระเบิดดังสนั่น เป็นอสูรร้ายตัวหนึ่งถูกหมัดเดียวจากห่านจาเค่อปะทะร่างจนร่างระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เขาถลกหนังอสูรร้ายและเลาะเอากระดูกมันออกมา หลังจากเก็บเกี่ยวทุกอย่างที่จำเป็นแล้วก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสมุนไพรต้นเล็กต้นหนึ่ง
“สมุนไพรนี่มี 4 ใบ รอบใบมีหยักแหลม และทั้ง 4 ใบมีใยสีเงินเชื่อมอยู่…… น่าจะเป็นโคลเวอร์สี่ใบต้านชีวัน” ห่านจาเค่อพึมพำพลางเหลือบมองสมุดเล่มเล็กในมือ จากนั้นเขาก็หยิบกล่องหยกขึ้นมา วางมันลงในกล่อง นับว่าเป็นอันเสร็จภารกิจ
เผ่าคนเถื่อนแยกแยะสมุนไพรเองไม่เป็น แต่ก็ยังมีวิธีระบุชนิดสมุนไพรได้
แต่การอ่านข้อมูลจากในคู่มือเล่มเล็กนี่ก็จะสามารถรู้ได้เพียงเฉพาะสมุนไพรที่บันทึกไว้เท่านั้น
หากไม่มีรายละเอียดในคู่มือก็ไม่มีใครจำมันได้
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญนัก แม้จะไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด เขาก็ไม่ปล่อยให้พวกมนุษย์ได้มันไปแน่
ห่านจาเค่อปล่อยหมัดพร้อมคลื่นพลังมหาศาลทำลายพื้นที่โดยรอบจนราบเรียบ
เผ่าคนเถื่อนมักลงมือดุดันเรียบง่ายเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าพื้นที่โดยรอบถูกทำลายจนสิ้นแล้ว ห่านจาเค่อก็เตรียมตัวจากไป ค้นหาสถานที่เก็บทรัพยากรต่อ
แต่ตอนที่เขากำลังเดินทางออกไปก็เห็นธนูลอยผ่านอากาศไปดอกหนึ่ง
“นั่นมันธนูฉุกเฉินของพวกมนุษย์นี่” ห่านจาเค่อยิ้มทะมึน
ห่านจาเค่อยอมไปสังหารมนุษย์ดีกว่าออกหาทรัพยากร
มนุษย์นั้นหาสมบัติได้เก่งกว่าเผ่าคนเถื่อนมาก
เขารีบมุ่งหน้าไปยังทิศที่ธนูฉุกเฉินถูกยิงไป สองขาแกร่งของเขาเคลื่อนร่างบึกบึนไป ทิ้งรอยฝุ่นตลกไว้เบื้องหลัง
เมื่อมาถึงก็พบมนุษย์ผู้หนึ่งวิ่งหนีแตกตื่น มีเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งไล่ตามมาอยู่ด้านหลัง
เมื่อเห็นว่าห่านจาเค่อมาถึง ใบหน้าตื่นตระหนกของมนุษย์พลันเผยให้เห็น เขาเปลี่ยนทิศทาง วิ่งไปอีกฝั่งในทันที
ในช่วงเวลาสับสนระคนตื่นตกใจ มนุษย์คนนั้นวิ่งหนีเข้าป่าหินที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมาก
ห่านจาเค่อสำรวจป่าหินมาแล้ว รู้ดีว่าทางนั้นเป็นทางตัน
เห็นดังนั้นห่านจาเค่อก็ยิ้มยินดี เร่มไล่ตามไปเช่นกัน
“ห่านจาเค่อ อย่ามาแย่งมันกับข้า คนผู้นี้เป็นของข้า !” เผ่าคนเถื่อนอีกคนหนึ่งตะโกนใส่
“นั่วเวย เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด ข้าเป็นคนบีบให้มันไปทางตันไม่ใช่หรือไร ?” ห่านจาเค่อขมวดคิ้วตอบ
“ไม่มีเจ้าข้าก็จับมันได้” เผ่าคนเถื่อนอีกคนนามว่านั่วเวยเอ่ยเสียงขุ่น
“ช่างเถอะ มนุษย์พวกนี้ไม่เก่งอันใดเว้นแต่เรื่องหลบหนี เอาชนะพวกมันได้ไม่ยาก แต่จะสังหารมันนั้นไม่ง่าย” ห่านจาเค่อเอ่ย “แต่แน่นอนว่าข้าเข้าใจถึงความเหนื่อยยากที่เจ้าพบมาก่อนหน้าดี ดังนั้นข้าว่าควรแบ่งครึ่งกัน”
“ไม่ ข้า 7 ส่วน เจ้า 3 ส่วน”
“เช่นนั้นข้าขอหัวมัน”
“… ก็ได้ ไอ้ฉวยโอกาสเอ๊ย !” นั่วเวยคำรามเสียงแข็ง จากนั้นทั้งสองก็เดินถกเถียงเข้าป่าหินไป
ในสายตาพวกเขา มนุษย์ผู้นั้นได้ตายไปแล้ว
แต่เมื่อเข้ามาในป่าหิน เผ่าคนเถื่อนทั้งสองก็ตกตะลึงไป
หนทางเบื้องหน้ามีมนุษย์ 5 คนยืนขวางทางอยู่
และมนุษย์ที่ถูกไล่มาเมื่อครู่ก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
“มาสิ ! ไล่ข้าจนตื่นเต้นไปหมดเลยไม่ใช่หรือ ? มาเลย !” เจียงหานเฟิงที่รับหน้าที่ล่อเหยื่อหัวเราะเสียงดัง
เขาไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่หัวไวและเคลื่อนกายคล่องแคล่ว อีกทั้งยังแสดงละครเก่งกว่าคนอื่น ๆ ในที่นี้
หากให้เฮ่ออวิ๋นตงไปเป็นเหยื่อล่อ เผ่าคนเถื่อนคงจะไหวตัวทัน และหากใช้อวิ๋นเป้า คน ๆ นี้ก็อาจจะลงมือปะทะกับอีกฝ่ายก่อนจะล่อมายังจุดที่ตกลงกันไว้ได้ด้วยซ้ำ
มนุษย์อีก 4 คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คือเฮ่ออวิ๋นตง แฝดแซ่เสิ่น และผีเยวี๋ยนหง ทั้งหมดต่างส่งยิ้มเย็นให้เผ่าคนเถื่อนทั้งสอง
ห่านจาเค่อและนั่วเวยเหลือบมองกัน จากนั้นหันหลังกลับและวิ่งหนีไปทันที
ทั้งคู่เพิ่งจะคุยกันไว้ว่าพวกมนุษย์นั้นหลบหนีเก่งถึงเพียงไหน แต่พวกเขาเองก็มีฝีมือในการหลบหนีไม่ด้อยไปกว่ากัน
หากแต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบมนุษย์อีก 4 คนปรากฏขึ้น
คือจีหานเยี่ยน กู่ชิงลั่ว เยว่หลงซา และเฟิงอี้กู่
พวกเขารู้ดีว่าตนติดกับเข้าแล้ว ความกระหายเลือดเผ่าคนเถื่อนและความบ้าคลั่งในสายเลือดจึงเผยออกมาให้เห็น
ห่านจาเค่อและนั่วเวยเหลือบมองกันอีกครั้ง จากนั้นคำรามขึ้นพร้อมกัน “บุก !”
แล้วทั้งสองก็พุ่งตัวมาข้างหน้าพร้อมกัน
“หนีไม่พ้นหรอก !” จีหานเยี่ยนเอ่ยเสียงเย็น ไอเย็นเยียบสองสายพุ่งเข้าใส่เผ่าคนเถื่อนทั้งสอง
คนเถื่อนสองคนรู้ดีว่าสถานการณ์ตนตกเป็นรอง ดังนั้นจึงพุ่งฝ่าเข้าไปอย่างเต็มกำลัง
ยามพวกเขาบ้าคลั่งนั้นไม่อาจประมาทกำลังของพวกเขาได้
พลังเยือกแข็งของจีหานเยี่ยนและกู่ชิงลั่วเข้าปะทะคนทั้งคู่ และแม้พลังเยือกแข็งจะกระจายไปทั่วร่างของอีกฝ่ายแล้ว แต่อักขระบนร่างของทั้งสองกลับส่องสว่างขึ้น พริบตาต่อมาก็สามารถทำลายน้ำแข็งออกและหนีต่อไปได้
อึดใจต่อมาเฮ่ออวิ๋นตงและคนอื่น ๆ ก็เริ่มออกกระบวนท่า คลื่นระเบิดเสียงดังสนั่นดังขึ้นไล่หลังพวกเขามา
เผ่าคนเถื่อนทั้ง 2 คนกระอักเลือดคำใหญ่ แต่ก็ยังไม่หยุดฝีเท้า ไม่สนจการโจมตีที่ไล่หลังมา
“ใครมันขวางทางข้าต้องตาย !” ห่านจาเค่อตะโกนเสียงดัง ขวานรบในมือตวัดไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
เขาใส่แรงไปกับท่าขวานี้จนสุดกำลัง ปะทะเข้ากับเกราะเต่าทมิฬของเฟิงอี้กู่ แม้จะไม่อาจทำลายมันลงได้ แต่พละกำลังมหาศาลก็ผลักให้เฟิงอี้กู่ถอยไปได้ไกล
นั่วเวยเองก็กระโจนไปด้านหน้า ฟาดค้อนเหล็กลี้ลับลงกับพื้น คลื่นพลังสะท้านพิภพส่งจีหานเยี่ยน กู่ชิงลั่ว และเยว่หลงซากระเด็นไป ทั้งสองฝ่าเหล่ามนุษย์จนเปิดทางออกหนึ่งหนีออกไปได้
ตนทั้งคู่ดีใจนัก กล้ำกลืนฝืนทนแรงโจมตีจากเฮ่ออวิ๋นตงและคนอื่น ๆ ที่ไล่ตามหลังมา หลบหนีวงล้อมของมนุษย์ทั้งสี่ออกมาสำเร็จ จากนั้นหัวเราะเสียงดัง “มนุษย์ไร้ค่า !”
ใช่แล้ว มนุษย์ถึง 8 คนไม่อาจจับพวกเขาไว้ได้ จะไม่ให้ยินดีได้อย่างไร ?
หากแต่พริบตาต่อมาก็มีคนอีกสี่ขวางทางพวกเขาไว้
คือเหอนิ่วหลิว ต้วนเจียงซาน เย่ฉีมิ่ง และอวิ๋นเป้า
ทั้งสองชะงักไป ด้วยตอนนี้คนอีกแปดคนด้านหลังก็ไล่ตามมาทันแล้ว
หันหลังกลับไปสู้ย่อมไม่อาจรับมือไหว ดังนั้นจึงแข็งใจมุ่งหน้าฝ่าคนทั้งสี่ออกไป
ขวานรบและค้อนยักษ์ถูกฟาดออกไปอย่างบ้าคลั่ง คนเถื่อนทั้งสองเปิดใช้อักขระบนร่างจนถึงขีดสุด
แรงโจมตีจากเฮ่ออวิ๋นตงและคนอื่น ๆ เข้าปะทะร่าง หยากโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว
ทั้งสองกระอักเลือดคำใหญ่ออกมาหากแต่ยังไม่หยุดฝีเท้า มุ่งหน้าฝ่าวงล้อมคนทั้งสี่ออกไป ในหัวคิดเพียงอย่างเดียวว่าหากออกไปได้ย่อมได้รับอิสระ
ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งเต็มกำลังและดุดัน คนทั้งสี่ที่ขวางทางก็ถูกซัดจนกระเด็นไป
เป็นอีกครั้งที่คนเถื่อนทั้งสองสามารถฝ่าวงล้อมนุษย์ออกไปได้
พวกเขาทั้งตกตะลึงและดีใจนัก
ทำให้พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่า พวกมนุษย์เจ้าเล่ห์แล้วอย่างไร ? พวกนั้นอ่อนแอเสียนี่กะไร ขนาดมีกำลังเสริมมาถึงสองครั้งสองคราพวกเขาก็ยังฝ่าออกมาได้
หากแต่หนีไปได้ไม่เท่าไรก็พบกับมนุษย์ที่ขวางทางไว้อีก
บัดซบ คนพวกนี้มีกันมากเท่าไรกันแน่ ?
คนทั้งสองชะงักค้างไป
คนมากเช่นนี้ เหตุใดไม่ออกมากันเสียให้หมดตั้งแต่เมื่อก่อนหน้าเล่า ?
ทันใดนั้นพวกเขาก็รับรู้บางสิ่งบางอย่าง
ห่านจาเค่อร้องขึ้นด้วยความไม่พอใจเคล้าเศร้าใจ “พวกเจ้าจงใจให้ข้าฝ่าออกมาหรือ ?”
“ฮ่า ๆ ดูท่าจะเพิ่งรู้ตัวกันสินะ” เจียงหานเฟิงหัวเราะจนต้องเอามือกุมท้อง “หากหนีไม่ได้พวกเจ้าย่อมไม่คิดต่อสู้ แต่จะมุ่งหนีอย่างเดียว จากนั้นพวกเราก็ไล่โจมตีจากข้างหลังได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องใด เช่นนี้เรียกว่า ‘ล้อมศัตรูสามด้านและเปิดทิ้งไว้หนึ่งด้าน’ ใน ‘ตำราพิชัยสงคราม’ ตราบเท่าที่พวกเราเปิดทางหนีให้ พวกเจ้าก็จะไม่คิดสู้แม้แต่น้อย ศิษย์พี่สามนี่เจ้าแผนการจริง ๆ!”
ขณะที่เขากล่าว ป่ารอบข้างก็ส่องแสงเรืองออกมา เสาหินนับไม่ถ้วนผุดขึ้นจากพื้น ล้อมทั้งป่าเป็นวง
ป่าหินแห่งนี้ถูกวางค่ายกลพลังต้นกำเนิดไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ตอนนี้ห่านจาเค่อและนั่วเวยรู้แผนของพวกเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำตามแผนอีก ดังนั้นเจียงหานเฟิงจึงเปิดใช้ค่ายกลในพลัน ขังพวกเขาไว้ในป่าหิน
นั่วเวยจ้องพวกมนุษย์เขม็ง “พวกสับปลับ พวกเจ้ามีคนมากแล้วยังคิดใช้แผนสกปรกเช่นนี้อีก”
หากแต่สิ่งตอบรับเขาคือการโจมตีกระหน่ำจากรอบทิศ
เมื่อมีกำลังคนมากเช่นนี้จึงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
หากแต่ผู้ที่จะเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ของแต่ละฝ่ายต่างถูกเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี ไม่อาจรู้ได้ว่าฝ่ายใดมีไพ่ตายใดหลบซ่อนไว้บ้าง หากพบเข้ากับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งที่คิดใช้วิธีตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว เช่นนั้นก็นับเป็นปัญหาใหญ่
แม้จะรอดชีวิต แต่ก็อาจบาดเจ็บจนพิการ
ดังนั้นซูเฉินจึงเลือกวิธีอ้อมค้อมเช่นนี้ จงใจปล่อยให้อีกฝ่ายฝ่าวงล้อมไปได้ เปิดโอกาสให้ฝ่ายตนเองได้ประเมินกำลังคู่ต่อสู้ที่หมายจะจับตัวก่อนจะลงมือโจมตี
เมื่อเผ่าคนเถื่อนรู้ว่าตนหนีไม่รอด ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปแล้ว
การต่อสู้จบลงภายในเวลาไม่นาน
ป่าหินแปรสภาพกลับคืนดังเดิม เหล่ามนุษย์จับตัวประกันได้เพิ่มสองคน
ใช่แล้ว จับตัวประกัน
อีกเหตุผลหนึ่งที่แผนการซับซ้อนเช่นนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการจับเป็น ไม่ใช่จับตาย
ซูเฉินเป็นคนร้องขอไว้
เขาไม่ได้ร่วมออกล่าด้วย แต่นั่งอยู่ในห้องทดลอง รอคนส่งตัวทดลองมาให้มากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีตัวทดลองมาให้ลองใช้มากนัก
แน่นอนว่าเขาสัญญากับคนอื่น ๆ ว่าสุดท้ายเผ่าคนเถื่อนพวกนี้ก็จะต้องตาย
“ตอนนี้เหลือพวกนั้นแค่ 31 คนเท่านั้น” เฮ่ออวิ๋นตงหัวเราะพลางมองคนทั้งสองที่นอนอยู่กับพื้น
“ฮ่าๆ ทำได้ดี” ทุกคนเริ่มปรบมือและส่งเสียงโห่ร้องยินดี
“มีเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใกล้เขาวิญญาณ” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตใจของทุกคน
คือเสียงจ้าวซิน
เขาไม่ได้รวมกลุ่มอยู่กับคนอื่น ๆ แต่เกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้ ๆ คอยตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเพื่อหาร่องรอยของเผ่าคนเถื่อนโดยเฉพาะ กังเฮ่าหลีก็อยู่กับเขาเพื่อคอยแจ้งเตือนคนอื่น ๆ โดยเร็วที่สุดด้วยเช่นกัน
“เป้าหมายอีกคนปรากฏตัวแล้ว ทุกคน รีบกำจัดให้สิ้นเสีย !” ผีเยวี๋ยนหงร้องตะโกนราวกับเป็นหัวหน้ากองโจร