ภาคที่ 2 บทที่ 165 เพิ่มมาอีกสอง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 165 เพิ่มมาอีกสอง

ต่อมาเผ่ามนุษย์ก็ใช้กลยุทธ์นี้ซ้ำไปซ้ำมา ไม่ว่าจะเป็นการล่ออีกฝ่ายเข้ามาหรือสำรวจพื้นที่เพื่อหาเผ่าคนเถื่อน

โชคไม่เข้าข้างเผ่าคนเถื่อนนั้นเลย

ด้วยเผ่าคนเถื่อนขาดการจัดการที่ดี ดังนั้นจึงถูกพวกมนุษย์ที่มีจำนวนมากกว่าจับตัวไปได้

เรื่องนี้ทำให้ทุกคนยินดีมาก จะทำเช่นนี้อีกกี่ครั้งก็เต็มใจ

น่าเสียดายที่มีเผ่าคนเถื่อนอยู่มาก กระจายตัวไปตามซากโบราณที่กว้างใหญ่แห่งนี้จนทั่ว ทำให้การหาตัวพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

แม้จริง ๆ แล้วการสังหารอีกฝ่ายจะไม่ยากเกินกำลัง แต่การตามหาตัวเผ่าคนเถื่อนนั้นเสียเวลามาก

กระทั่งใช้นัยน์ตาเหยี่ยวของจ้าวซินตามหาเผ่าคนเถื่อนยังต้องใช้เวลาและกำลังไปมากพอสมควร

วันแรกของการออกล่า พวกเขาพบเผ่าคนเถื่อนทั้งหมด 6 ครั้ง ภารกิจสำเร็จเพียง 4 ครั้ง จับเผ่าคนเถื่อนได้ทั้งหมด 6 คน ส่วนการล้อมจับ 2 ครั้งมีเผ่าคนเถื่อนรู้ตัวทันท่วงที ไม่ยอมถูกล่อจนติดกับ

ทำให้ตัวทดลอง 6 ตัวถูกส่งไปยังห้องทดลองของซูเฉิน ส่งผลให้ในใจชายหนุ่มเกิดความตื่นเต้นยินดีขึ้นอีกครั้ง

หากแต่ในเช้าวันที่ 2 เหล่ามนุษย์ก็พบกับปัญหาหนึ่งเมื่อทำตามแผนการเดิม

ครั้งนี้มีเพียงเผ่าคนเถื่อนคนเดียวที่ติดกับ

หากแต่อีกฝ่ายรู้ตัวทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง และแทนที่จะหนี กลับเลือกพุ่งเข้าโจมตีแทน !

พลังโจมตีรุนแรงของเขาทำเอาเหล่ามนุษย์ตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

จนอีกฝ่ายซัดพลังออกมาถึงได้รู้ว่าคนผู้นี้คือนักรบอาราม !

เผ่าคนเถื่อนค่อนข้างดูเจ้าเล่ห์ในเรื่องนี้นัก

ความต่างระหว่างนักรบอารามและเผ่าคนเถื่อนธรรมดานั่นคือการที่นักรบอารามได้เข้าอารามพลังต้นกำเนิด จะเห็นความแตกต่างได้ตอนใช้พลังต้นกำเนิดเท่านั้น ดังนั้นยามปกติแล้วจึงไม่อาจแยกเผ่าคนเถื่อนธรรมดากับนักรบอารามออกจากกันได้เลย

การมีอักขระบนใบหน้าหรือไม่ใช้อาวุธนั้นไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ว่าเป็นนักรบอารามหรือไม่ เป็นเพียงเรื่องส่วนบุคคลเท่านั้น

ดังนั้นตอนที่ยังไม่ลงมือ จึงไม่มีใครรู้ว่าเผ่าคนเถื่อนคนนี้เป็นนักรบอารามหรือไม่

หากแต่ยามอยู่ในสนามรบมักจะมองออกโดยง่าย เพราะนักรบอารามมักจะสวมชุดเกราะพิเศษ แต่ในที่นี้พวกเขากลับเหมือนเผ่าคนเถื่อนธรรมดาทุกประการ

ดังนั้นเมื่อถึงตอนที่รู้ว่า ‘เหยื่อ’ ของพวกเขาเป็นนักรบอาราม อีกฝ่ายก็ทำสิ่งหนึ่งสำเร็จไปแล้ว นั่นคือการจับตัวอวี๋เมิ่งหนาน

อวี๋เมิ่งหนานอยู่อันดับที่ 15 และไม่ได้อ่อนแอนัก แต่เมื่อประมือกับนักรบอารามก็รั้งไว้ได้ไม่ถึง 3 กระบวนท่า ถูกจับตัวไปในที่สุด ทำให้เย่ฉีมิ่งได้แต่มองตาแดงก่ำตอนที่เห็นนักรบอารามผู้นั้นบีบคออวี๋เมิ่งหนานไว้

หลังจากต่อรองกันนาน พวกเขาก็จำใจต้องปล่อยเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นกลับไป

นับเป็นการถูกโต้กลับครั้งแรกตั้งแต่ดำเนินตามแผนการนี้มา

หลังจากนั้นแผนการก็สำเร็จอีก 2 ครั้ง จับเผ่าคนเถื่อนมาได้อีก 4 คน

แต่เมื่อดำเนินแผนการครั้งที่ 4 พวกเขาก็พบเข้ากับปัญหาอีกครั้ง

ครั้งนี้พวกเขาพบเข้ากับตานปา

ในตอนที่เหยื่อกำลังจะติดกับนั่นเอง ตานปาก็พลันปรากฏตัวขึ้น เตือนสหายร่วมภารกิจเรื่องแผนการทำให้การดักจับครั้งนั้นล้มเหลวไป

ที่น่าตกใจคือเขาสามารถรอดพ้นจากสายตาของจ้าวซินไปได้

เฮ่ออวิ๋นตงส่งคนไล่ตามตานปาไป แต่อีกฝ่ายเกือบจะพลิกสถานการณ์ได้ ทำให้ต้วนเจียงซานเกือบได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงชีวิตได้

เฮ่ออวิ๋นตงจึงรู้ในพลันว่าวันออกล่าของพวกเขาใกล้สิ้นสุดลงเต็มที

เป็นดังคาด การลอบโจมตีครั้งต่อ ๆ มาก็ถูกตานปาตามมาทำลายแผนหลายครั้ง แม้เฮ่ออวิ๋นตงจะพยายามตั้งกลุ่มย่อยขึ้นเพื่อรับมือกับตานปาโดยเฉพาะ หากแต่คนเถื่อนเจ้าเล่ห์นั่นก็สามารถหนีไปได้ทุกครั้ง

จำนวนเผ่าคนเถื่อนที่หนีไปได้เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับความสำเร็จในการจับตัวคนที่เริ่มลดถอยลงทุกที……

ภายในห้องทดลอง

“เจ้าจะบอกว่าตานปาทำลายแผนของเราอีกแล้วหรือ ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงสงบแล้วเก็บไตกลับเข้าไปในร่างของเผ่าคนเถื่อน จากนั้นก็ทำการเย็บรอยกรีด

เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่าทางดูไร้สติสัมปชัญญะ ยอมให้ซูเฉินทำการทดลองตามใจชอบ

เจียงหานเฟิงเหลือบมองเผ่าคนเถื่อนที่ถูกชำแหละราวกับตุ๊กตาผ้าแต่ยังไม่สิ้นใจ เขากลืนน้ำลายครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก จ้าวซินไม่พบร่องรอยเขาเลย”

“ข้าบอกให้อวิ๋นเป้าจับตามองเขาไว้ไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินเอ่ยพลางดึงเปลือกตาเผ่าคนเถื่อนขึ้นเพื่อตรวจสอบ

ท่าทีสบาย ๆ ของเขาทำให้ตอนนี้เขาคล้ายกับเป็นหัวหน้าองค์กรลับใต้ดินอย่างไรก็อย่างนั้น

รูม่านตาของเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นเกือบจะขาวโพลนไปทั้งหมดแล้ว

เขากำลังจะตาย

ซูเฉินหยิบอุปกรณ์เขียนกับกระดาษออกมา จากนั้นเริ่มจดบันทึกลงไป “หญ้าแช่ใจมีผลต่อร่างกายของเผ่าคนเถื่อน ยามึนจิตขั้นต้นสำเร็จแล้ว แต่ยังเหลือส่วนที่เป็นพิษ ต้องพัฒนาอีก เมื่อเติมเลือดลงไป……”

เจียงหานเฟิงตอบ “ตานปามีคนช่วยเหลือเป็นนักรบอารามอีกคนหนึ่ง อวิ๋นเป้าคนเดียวรับมือสองคนนั้นไม่ไหว”

“นักรบอาราม ?” ซูเฉินชะงักไป “คนเดียวกับเมื่อครั้งก่อนหรือ ?”

“ไม่ใช่”

ซูเฉินหยุดมือในพลัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

เขาหันมามองเจียงหานเฟิง “เจ้าว่าไม่ใช่งั้นหรือ ?”

“ถูกต้อง นับเป็นนักรบอารามคนที่ 4 ไม่ใช่จำนวนที่ตกลงกันไว้” เจียงหานเฟิงเอ่ยเสียงกรรโชก “พวกบัดซบ ข้าว่าแล้วว่าเผ่าคนเถื่อนพวกนี้ต้องวางแผนอันใดไว้ พวกเราตกลงกันไว้ว่าให้พวกเขานำนักรบอารามมาได้เพียง 3 คนเท่านั้น แต่กลับเพิ่มมาเป็น 4 คนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดจึงผ่านการตรวจสอบพลังต้นกำเนิดเข้ามาได้”

“คิดเรื่องนั้นไปตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ อีกอย่าง หากมันกล้านำมาเพิ่มหนึ่งคน ก็อาจนำมามากกว่านั้นได้ !” ซูเฉินเอ่ยเสียงเครียด

“ถูกต้อง หัวหน้าเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นเขาเลยให้ข้ามาหาท่าน”

ซูเฉินเข้าใจดี เขาหันไปมองเผ่าคนเถื่อนตรงหน้าแล้วเอ่ย “ข้าจะให้คำตอบกับพวกเจ้าในอีกไม่นาน”

————————————

ครึ่งชั่วยามต่อมาซูเฉินก็เดินออกจากห้องทดลอง

เขาเช็ดเลือดที่เปื้อนมือออก

“ว่าอย่างไร ?” เฮ่ออวิ๋นตงยืนรออยู่ด้านนอกแล้ว

“ข้าง้างปากพวกมัน จนได้ความว่ามีนักรบอารามทั้งหมด 5 คน 2 คนแอบเข้ามาด้วยวิชาปกปิดบางอย่างที่เผ่าของมันมีอยู่ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจล้วงข้อมูลไปถึงขั้นว่ามันคือวิชาใดกันแน่ แต่ข้าไม่เชื่อว่าเผ่าคนเถื่อนที่อารมณ์รุนแรงพวกนั้นจะคิดค้นแผนการล้ำลึกเช่นนี้ได้ หากพวกมันลวงการตรวจจับของกองกำลังหลงซางได้ อาจเป็นเพราะคนฝั่งเรามั่นใจเกินไป แต่ก็คงต้องเสียอะไรไปไม่น้อยจึงผ่านเข้ามาได้เพียง 2 คนเท่านั้น”

เฮ่ออวิ๋นตงสีหน้าทะมึนลง “เจ้ายังมีแก่ใจมานั่งสงสัยว่าพวกมันใช้วิชาลับอันใดอีกหรือ ?”

“อ้อ ขออภัย มันเคยชินน่ะ แต่ข้าพูดตามตรงว่าข้าไม่คิดเลยว่าเผ่าคนเถื่อนพวกนี้จะกล้าลงมือทำเรื่องซับซ้อนเช่นนี้ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้มีนักรบอารามเพิ่มขึ้นอีก 2 งั้นแล้วเรื่องราวก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นอีก” ซูเฉินถอนหายใจ

“ถูกต้อง ใครว่าเผ่าคนเถื่อนหัวทื่อกัน ? ยิ่งเจอยิ่งมีแต่พวกเจ้าเล่ห์เจ้ากล” เจียงหานเฟิงเอ่ยเสียงขุ่น

“เขาถึงได้กล่าวกันว่ายามที่เจ้าถูกคนที่ปกติทำตัวดีหลอกลวงเข้าจะรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดอย่างไรเล่า” ซูเฉินหัวเราะ

“ถูกต้อง เผ่าคนเถื่อนพวกนั้นตื่นตัวขึ้นมากและเริ่มจับกลุ่มกันแล้ว เมื่อครู่พวกมันก็คิดจะโต้กลับเรา หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นเป้าจับสัมผัสได้ก่อนก็อาจถูกสังหารเกลี้ยงไปแล้ว ดูท่าเราต้องเก็บแผนการนี้แล้วกระมัง เจ้าคิดว่าเราควรลงมือเช่นไรต่อ ?” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยถาม

แม้ซูเฉินจะไม่ใช่หัวหน้ากลุ่ม เฮ่ออวิ๋นตงก็นับถือเขามาก มักจะมาปรึกษาแผนการร่วมกันก่อนลงมือทุกครั้ง

“ดูท่าช่วงเวลาดี ๆ กำลังจะจบลงแล้ว” ซูเฉินถอนใจ

2 วันที่ผ่านมา เผ่ามนุษย์สามารถจับเผ่าคนเถื่อนได้ทั้งหมด 12 คนโดยไม่มีการสูญเสีย นับเป็นความสำเร็จอันน่าประทับใจไม่น้อย

เผ่าคนเถื่อนถูกโจมตีหนักมาก ความต่างของพลังลดหลั่นลงไม่น้อย หากปะทะใหญ่กันตอนนี้ เผ่ามนุษย์ก็ไม่เกรงกลัวอีกฝ่าย

“ถูกต้อง มันจบลงแล้ว ช่วงเวลาที่ประมือกับกลุ่มย่อยก็จบลงแล้วเช่นกัน ต่อไปคงต้องเริ่มวางแผนบุกภูเขาลูกนั้นต่อ”

“ซึ่งก็หมายความว่าการต่อสู้ใหญ่ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ซูเฉินเอ่ย

เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงห้องทดลองโบราณนั่น พื้นที่เปิดจะน้อยลง จนระยะห่างระหว่างคนสองเผ่าก็จะลดลงแทบไม่เหลือ กลายเป็นการปะทะเต็มตัวไป

“ตอนนี้หากเราจะสู้กับเผ่าคนเถื่อน แผนการของเราทำได้เพียงลดระยะห่างระหว่างพลังให้น้อยลงเท่านั้น หากปะทะกันก็ยังไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่าอีกฝั่ง” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยเสียงกังวลอยู่บ้าง

จริง ๆ แล้วการที่พวกเขาสังหารเผ่าคนเถื่อนไปได้กว่าสิบคนย่อมลดกำลังอีกฝ่ายลงได้มาก

แต่การปรากฏตัวของนักรบอารามอีก 2 คนก็ทำให้กำลังของอีกฝ่ายเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

“เช่นนี้ยิ่งน่าสนใจ” ซูเฉินหัวเราะ “หากเราได้เปรียบมากเกินไปก็น่าเบื่อแย่กระมัง ? อีกทั้งเผ่าคนเถื่อนเองก็ไม่ใช่พวกโง่ หากพวกมันกำลังได้เปรียบย่อมไม่ผลีผลามลงมือ แต่จะหาโอกาสลอบกัดเอาแทน ด้วยเช่นนั้นจะน่ารำคาญใจกว่ามาก และตราบเท่าที่อีกฝ่ายคิดว่าสู้เต็มกำลังแล้วตนจะมีโอกาสชนะ พวกนั้นก็ย่อมเต็มใจต่อสู้ เช่นนั้นมันถึงจะติดกับเราได้เรื่อย ๆ”

ซูเฉินพูดแล้วก็หรี่ตาลง