ภาคที่ 2 บทที่ 166 ขึ้นเขา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 166 ขึ้นเขา

และเมื่อพูดว่าจะทำ พวกเขาก็เริ่มเตรียมการในทันที

ในเมื่อต่างก็เตรียมใจจะเดินทางไปยังภูเขาทางตอนเหนืออยู่แล้ว ซูเฉิน เฮ่ออวิ๋นตง และชีเว่ยเยี่ยนจึงจัดการประชุมสั้น ๆ ก่อนจะรวบรวมทุกคนแล้วมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกนั้น

เย็นวันนั้น หลังจากรอแต่ให้แต่ละกลุ่มที่ออกไปทำภารกิจกลับมาแล้ว เฮ่ออวิ๋นตงก็นำทุกคนเดินทางไปทางตอนเหนือโดยไม่หยุดเท้าเลยแม้แต่น้อย เป้าหมายคือการใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มกันในครั้งนี้ให้สามารถปรับตัวและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งใด ๆ ได้ทันท่วงที

ท่ามกลางม่านราตรีที่โรยตัว ในที่สุดทุกคนก็เดินทางมาถึงภูเขาลูกนั้น

เห็นได้ชัดว่าภูเขาลูกนี้สูงกว่าภูเขาหินที่พวกเขาตั้งฐานอยู่มาก พื้นผิวของหินผามีพืชพันธุ์เขียวชอุ่ม ดูงดงามไม่น้อย

ในตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปยังเขตหวงห้ามนั่นเอง จี้ลั่วอวี่พลันเอ่ยขึ้น “ระวังด้วย แถบนี้มีพลังงานสูญอันทรงพลังอยู่”

“พลังงานสูญอันทรงพลัง ? เอาไว้ทำอะไร ? สังหารคน ? เคลื่อนย้าย ? หรือใช้อย่างอื่น ?” ชีเว่ยเยี่ยนเอ่ยถาม

“ไม่ใช่ทั้งหมด” จี้ลั่วอวี่ส่ายหัว

เขายื่นมือตนออกไปแล้วหลับตาลง ใช้จิตใจสัมผัสถึงพลังงานสูญที่อยู่ภายในภูเขา ไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เป็นเขาวงกตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเนื่องจากพลังงานสูญสิ้นสลายลง ไม่น่าจะมีอันตรายใด แต่เขาลูกนี้คงจะกว้างกว่าที่เราเห็นนัก เมื่อเข้าไปแล้วเราจะเดินวนเป็นวงกลม อาจจะเดินทางถึงยอดเขาได้ยากหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยังล่าถอยได้ไม่น่าเป็นปัญหา”

ได้ยินแล้วทุกคนก็มีท่าทีผ่อนคลายลง

หากไม่ใช่ค่ายกลที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่นนั้นก็วางใจได้

แต่ทว่ามันก็ยังเป็นเรื่องน่ารำคาญใจไม่น้อย เพราะพวกเขามีเวลาจำกัด หากหลงอยู่ในภูเขาใหญ่ลูกนี้ก็คงไม่อาจทำภารกิจได้สำเร็จ

“ไม่น่าเมื่อคราวที่แล้วจึงดูเดินทางไกลนัก ไม่ว่าจะเดินเร็วอย่างไรก็เหมือนจะไปไม่ถึงเสียที” เสิ่นอวี้เฉิงเอ่ยขึ้น

“น้องสี่สิบไขเขาวงกตนี้ออกหรือไม่ ?” ผีเยวี๋ยนหงถามขึ้น

จี้ลั่วอวี่ส่ายหัว “ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ แต่ข้าสัมผัสถึงปมของพลังงานสูญได้ หวังว่าจะดึงเวลาได้มาก เพราะเราจะไม่เดินย้อนทางบ่อยเท่าไร”

“ต้องใช้เวลาเท่าไร ?”

“3 หรือ 4 วัน”

“ดีเลย” ทุกคนร้องยินดี

มีคนหนึ่งหัวเราะขึ้น “พวกเผ่าคนเถื่อนไม่รอดแน่”

พลังงานสูญที่เกิดเป็นเขาวงกตนี่ดูท่าจะปกคลุมไปทั่วทั้งเขา เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่รับมือได้ง่ายนัก

เผ่าคนเถื่อนพวกนั้นอาจรับมือค่ายกลพลังต้นกำเนิดตามกำลังตนได้ แต่หากเจอเขาวงกตเข้าไปย่อมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเป็นแน่

“ใช้แต่กำลังแก้ปัญหาก็ต้องพบกับเรื่องเช่นนี้” เฮ่ออวิ๋นตงหัวเราะ

“แล้วจะรออะไรอีกเล่า ? ไปเถอะ !” ชีเว่ยเยี่ยนเอ่ย

“ไป !”

ทุกคนโห่ร้อง จากนั้นเริ่มเดินทางขึ้นเขาสูงไป

เมื่อเหยียบขึ้นตีนเขา ทุกคนก็ก้าวเท้าอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นมุมใดบนเขาแห่งนี้อาจซ่อนค่ายกลโบราณอันทรงพลังไว้ได้ทั้งสิ้น

โชคดีที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นได้เตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว

เว่ยหยาง เจียงหานเฟิง หม่าเซวียน และเหยียนหลิงต่างเชี่ยวชาญด้านค่ายกลพลังต้นกำเนิด อีกทั้งยังเชี่ยวชาญค่ายกลประเภทสังหาร จำกัดขอบเขต มายา และค่ายกลป้องกันเป็นอย่างมาก ค่ายกลสี่ประเภทนี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือค่ายกลพลังต้นกำเนิดส่วนมากบนภูเขาลูกนี้แล้ว

จี้ลั่วอวี่เป็นผู้นำทาง ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลอีกสี่คนคอยปลดค่ายกลที่ซ่อนอยู่ออก ตั้งแต่ที่ทุกคนขึ้นเขามา คนเหล่านี้ก็ทำหน้าที่สำคัญเหล่านี้มาโดยตลอด

ในขณะที่พวกเขากำลังทำการปลดค่ายกล คนอื่น ๆ ก็จะตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ คอยปกป้องคนทั้งสี่ไว้

บนเขาแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงค่ายกลพลังต้นกำเนิด แต่ยังมีอสูรร้าย และมีกระทั่งอสูรกายอยู่ด้วย

เมื่อเดินขึ้นเขามา เว่ยหยางและคนอื่น ๆ ต่างก็หยิบของขึ้นมา

เว่ยหยางถือกระจกไว้ในมือ เจียงหานเฟิงมีวงเวียนหยก เหยียนหลิงมีไข่มุกราตรีสีขุ่นส่องแสงเรืองรอง และหม่าเซวียนเป็นนาฬิกาจิ๋ว

ซูเฉินถามเจียงหานเฟิงด้วยความสงสัย “ของพวกนั้นคืออะไรหรือ ?”

เจียงหานเฟิงตอบ “กระจกนั่นคือกระจกส่องกระจ่าง สามารถเผยสิ่งของที่ซุกซ่อนปิดบังอยู่ได้ทุกชนิด อีกทั้งยังชี้ที่ตั้งของค่ายกลพลังต้นกำเนิดได้ ส่วนมุกนั่นคือมุกสัมผัสพลัง สามารถจับสัมผัสพลังต้นกำเนิดในอากาศและประเมินกำลังของค่ายกลพลังต้นกำเนิดได้”

“ส่วนหยกชิ้นนั้นคือหยกสีรุ้ง เมื่อจับสัมผัสค่ายกลพลังต้นกำเนิดประเภทต่าง ๆ ได้มันจะเปลี่ยนสีไปตามประเภทของค่ายกลนั้น และนั่นก็คือนาฬิกาปรับจิต มีไว้รับมือการโจมตีจิตและทำลายวิชามายาโดยเฉพาะ”

พูดแล้วหยกในมือเจียงหานเฟิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในพลัน

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไข่มุกในมือหม่าเซวียนก็มีเมฆหมอกปกคลุมหนาขึ้น

เหยียนหลิงพูดขึ้น “ความแข็งแกร่งระดับ 2”

ตามมาด้วยเจียงหานเฟิง “ค่ายกลประเภทไฟ”

“อยู่ตรงนี้” เว่ยหยางเหลือบมองกระจกในมือตน จากนั้นชี้นิ้วไปยังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ

คนทั้งสามมุ่งหน้าเข้าไปลงมือบางอย่างกับหินก้อนนั้น ไม่นานเจียงหานเฟิงก็หันมา “เอาล่ะ ทุกคนเดินทางต่อได้”

เมื่อทุกคนมาถึงแล้ว เว่ยหยางจึงสร้างค่ายกลพลังต้นกำเนิดขึ้นใหม่

ทำเช่นนี้ เผ่าคนเถื่อนจะไม่พลอยได้ประโยชน์จากการติดตามเผ่ามนุษย์

พวกเขาทั้งถอดค่ายกลและวางค่ายกลพลังต้นกำเนิดไปด้วย ดังนั้นจึงไม่อาจเดินทางได้รวดเร็วนัก

หลังจากเดินทางมาชั่วระยะหนึ่ง ทุกคนก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าทางลาดดินแห่งหนึ่ง

หม่าเซวียนเอ่ยเสียงเครียด เหลือบมองไปยังทางลาดเบื้องหน้า “ระวังด้วย เป็นความแข็งแกร่งระดับ 4”

ยิ่งค่ายกลมีระดับสูงยิ่งมีพลังมาก และค่ายกลความแข็งแกร่งระดับ 4 ก็เทียบเท่าได้กับการให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตโจมตีเต็มกำลังใส่ ดังนั้นทุกคนจึงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังยิ่ง

คนทั้งสี่เริ่มลงมือคลายค่ายกลทันที

ในตอนนั้นเอง อวิ๋นเป้าพลันร้องขึ้น “ระวัง !”

เท้าข้างหนึ่งตวัดผ่านอากาศ เตะเข้าที่บั้นท้ายของเจียงหานเฟิงอย่างจัง ส่งร่างเขากระเด็นไป

เสียง ‘ฟ้าว’ ของไผ่เหลาแหลมท่อนหนึ่งพุ่งมายังจุดที่เจียงหานเฟิงเคยยืนอยู่ ก่อนจะปักลงดิน

ไผ่ท่อนนี้เป็นลิงจมูกขาวเขวี้ยงมา จากนั้นมันก็ส่งเสียงกู่ร้องขู่ขวัญมาทางพวกเขา

พริบตาต่อมา พลังทักษะต้นกำเนิดนับไม่ถ้วนก็ถูกซักปะทะร่างมัน

เมื่อฝุ่นและควันที่ตลบขึ้นมาจากการโจมตีหนักหน่วงจางลง ลิงจมูกขาวก็ตายไปแล้ว

หวังโต้วซานวิ่งเข้าไปหาเจ้าลิง “พวกเจ้าลงมือหนักเกินไปหรือไม่ ? พวกเจ้า 10 คนซัดทักษะต้นกำเนิดใส่มันหนักเช่นนี้ข้าก็เอามันมากินไม่ได้แล้ว !”

น้ำเสียงเขาฟังดูไม่พอใจยิ่ง

หลังจากประมือกับเฟ้ยลาหลัวมา เขาก็พยายามหาเนื้อมากินเพื่อเพิ่มไขมันภายในร่างมาตลอด

อสูรร้ายที่ซูเฉินสังหารถูกส่งมอบให้เขาจัดการทั้งสิ้น ตอนนี้มีตัวหนึ่งปรากฏขึ้น แต่กลับถูกระเบิดจนกลายเป็นเนื้อเละ หากจะนำไปย่างกินก็คงยาก

ซูเฉินหัวเราะ “อย่ากังวลเลย บนเขานี่น่าจะมีอสูรร้ายให้เจ้ากินจนเกินพอ”

“หากมีไม่พอเล่า ?” หวังโต้วซานถามขึ้น

“เช่นนั้นยิ่งดีไม่ใช่หรือ ? ทุกคนจะได้ไม่ต้องทำงานหนักอย่างไร” ซูเฉินหัวเราะอีก

หวังโต้วซานพลันรู้สึกว่าคำของซูเฉินฟังดูมีเหตุผล ดังนั้นจึงไม่โต้ตอบกลับไปอีก

เจียงหานเฟิงวิ่งกลับมา ลูบบั้นท้ายตนป้อย ๆ “ศิษย์พี่สิบสอง หากท่านอยากช่วยข้านั่นก็ดี แต่จำเป็นต้องเตะข้าด้วยหรือ ? หากท่านจะเตะ ก็อย่าเตะข้าไปทางค่ายกลพลังต้นกำเนิดได้หรือไม่ ? หากข้าไม่ตอบสนองไว หาทางลงที่เหมาะสมได้ ก็อาจถูกค่ายกลเข้า…… ถ้าเป็นแบบนั้นข้ายอมถูกไผ่นี่แยกหัวยังดีกว่า แต่ยังไงเสียข้าก็ต้องขอบพระคุณศิษย์พี่มาก”

อวิ๋นเป้า “……เข้าใจแล้ว”

เมื่อเห็นท่าทางขัดเขินของอวิ๋นเป้าแล้ว ทุกคนก็อดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้

อวิ๋นเป้ากระแอม “ใช่แล้ว ดูเหมือนจะมีค่ายกลบางอย่างที่กดการรับรู้ทางจิตของข้าไว้ ดังนั้นความสามารถในการตรวจจับสิ่งต่าง ๆ ของข้าจึงถูกกดลงจนต่ำสุด ไม่อาจตรวจพบอสูรร้ายที่อยู่ไกลได้ พวกเจ้าคอยระวังไว้ด้วย”

“ไม่ต้องกังวลหรอกอวิ๋นเป้า” ทุกคนเอ่ยตอบ ไม่คิดอะไรมาก

“ใช่แล้ว ในมือมีอสูรร้ายอยู่บนนี้ เหตุใดยามเหล่าอสูรร้ายเดินผ่านค่ายกลพลังต้นกำเนิด จึงไม่เป็นการเปิดค่ายกลเล่า ?” หวังโต้วซานถามขึ้น

เว่ยหยางอธิบาย “ปกติแล้วค่ายกลขนาดใหญ่จะมีกลไกแยกแยะระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร ทำให้พวกมันผ่านค่ายกลเข้าไปได้ ค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่นี่ก็น่าจะเหมือนกัน”

หม่าเซวียนเอ่ยเสริม “แต่กลไกแยกแยะความต่างเช่นนั้นสร้างไม่ง่าย ปกติแล้วเจ้าจะต้องวางกลไกควบคุมไว้ที่กลางค่ายกล”

กลไกการควบคุมที่กลางค่ายกลนั้นมีขั้นตอนซับซ้อน กระทั่งในสมัยที่อาณาจักรอาร์คาน่ายังรุ่งเรือง ก็ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์อาร์คาน่าทุกคนจะสามารถสร้างค่ายกลเช่นนั้นขึ้นมาได้

แน่นอนว่าซากโบราณแห่งนี้ย่อมเป็นฝีมือของคนที่มีฐานะสูงส่งมากคนหนึ่งสร้างขึ้นเป็นแน่

ซึ่งเป็นเรื่องที่ดียิ่ง ด้วยหมายความว่าในที่แห่งนี้ต้องมีสมบัติที่แท้จริงอยู่เป็นแน่

ตอนนี้ทุกคนจึงตั้งความหวังไว้สูงขึ้น ต่างเดินหน้าต่อไปด้วยกำลังใจมากกว่าเดิม แต่ด้วยตามทางมีค่ายกลอยู่มาก การเดินทางจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า หลาย ๆ คนเริ่มอดทนไม่ไหว หากทว่าซูเฉินนั้นชอบการค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้ ได้เรียนรู้วิธีปลดค่ายกลจากเจียงหานเฟิง และคนอื่น ๆ ไปด้วย

เจียงหานเฟิงเอ่ย “ศิษย์พี่สาม เท่านี้ท่านก็เก่งกาจมากพอแล้ว หากท่านเชี่ยวชาญด้านค่ายกลพลังต้นกำเนิดอีกแล้วต่อไปข้าจะทำอะไรเล่า ?”

ซูเฉินหัวเราะ “อย่าพูดพล่ามไป ข้าเพียงลองดูเท่านั้น อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”

ถึงจะบอกว่าเพียงลองดู แต่ความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาน่าตกตะลึงมาก ทำให้เจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ ตกใจไปตาม ๆ กัน

แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก ความรู้หลากหลายแขนงที่มีอยู่ในใต้หล้า มีมากมายที่เกี่ยวพันกัน

ซูเฉินศึกษาพลังต้นกำเนิดมาเกือบสิบปี แม้จะมุ่งเน้นด้านวิชาบ่มเพาะพลังต่าง ๆ แต่เรื่องที่เขาศึกษาทั้งหลายต่างก็มีหลักการที่เริ่มต้นมาจากที่เดียวกัน เป็นเพียงการใช้พลังต้นกำเนิดที่แตกต่างกันเท่านั้น

หากชายหนุ่มสามารถทำความเข้าใจหลักการหนึ่งได้ เขาก็ย่อมสามารถทำความเข้าใจหลักการอื่น ๆ ได้ ดังนั้นยามเขาเรียนรู้จากคนทั้งสี่ ได้รับการชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง เขาก็เรียนรู้ถึงขั้นเริ่มต้นแล้ว

เวลาผ่านไปหนึ่งวัน แม้ความรู้ของเขาจะยังห่างไกลจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญค่ายกลพลังต้นกำเนิดนัก แต่เขาก็เข้าใจสิ่งที่คนทั้งสี่ทำ และเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

คนทั้งสี่เพิ่งจะตรวจพบค่ายกลพลังต้นกำเนิด และกำลังพยายามถอดค่ายกลอยู่ ทันใดนั้นพวกเขาพลันได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้น

พริบตานั้น หมอกขาวมากมายที่ลอยขึ้นฟ้ามาจากที่ไกลก็เริ่มหลั่งไหลมายังทิศทางพวกเขา

“เป็นค่ายกลพลังต้นกำเนิด !” เว่ยหยางตะโกนเสียงดัง “ค่ายกลพลังต้นกำเนิดเปิดแล้ว ทุกคนระวังถูกโจมตีด้วย !”

“เหตุใดจู่ ๆ ค่ายกลพลังต้นกำเนิดจึงทำงานได้ ?” เฮ่ออวิ๋นตงตะโกนถาม

“เหตุผลยังไม่แน่ชัด ไม่มีใครอยู่ใกล้มันเลย จู่ ๆ มันก็ทำงานขึ้นมาเอง” เจียงหานเฟิงตะโกนกลับ เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้

แต่ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด หมอกกลุ่มนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ตอนนี้ทั้งผืนป่าถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ลดความสามารถในการมองเห็นของทุกคนลง ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดที่ไกลกว่าหนึ่งช่วงแขนได้

เป็นตอนนั้นเองที่เสียงกู่ร้องเยียบเย็นพลันดังลั่นทั่วภูเขา

พวกสัตว์อสูรเข้าโจมตีแล้ว !