“เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวเชี่ยนจี้ถาม
“พบรถโดยสารที่ไร้คนอยู่คันหนึ่งในพื้นที่เกิดเหตุ…เสี่ยวซีโดยสารรถคันนั้นมาด้วย ตอนนี้รถคันนั้นถูกเผาจนเหลือแต่โครง ยังไม่ทราบชะตากรรมผู้โดยสาร”
“หา…” เสี่ยวเชี่ยนได้ยินแล้วก็ช็อค
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าเสี่ยวซีที่เพิ่งดื่มเหล้ากับเธออยู่เมื่อวาน ทำไมถึงได้—!
“ผมจะไปพาเขากลับมา!” อวี๋หมิงหลางพูดเสียงเข้ม เขากับอวี๋หมิงซีอยู่ในท้องแม่มาด้วยกัน เขาไม่มีทางยอมรับได้ว่าพี่สาวฝาแฝดตอนนี้กำลังอยู่ในอันตราย
ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เขาก็ต้องพาเธอกลับมาให้ได้!
“ฉันไปด้วย ฉันขอรับรองว่าจะไม่เข้าไปยุ่งงานช่วยเหลือ ไม่ทำตัววุ่นวาย ฉันจะอยู่ในที่ปลอดภัย ถ้าเกิดเจอตัวแล้วเกิดสภาวะจิตใจผิดปกติฉันจะได้จัดการ”
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าอวี๋หมิงซีสำคัญต่ออวี๋หมิงหลาง ความผูกพันของฝาแฝดคนทั่วไปยากที่จะเข้าใจ คนสำคัญของเขาก็เป็นคนสำคัญของเธอเหมือนกัน
“ฉันจะไม่เข้าไปในเขตไฟป่า ฉันสาบาน ฉันจะเป็นแค่กองหนุน! นายต้องการฉัน!”
ใช่ เขาต้องการเธอ
ในที่สุดอวี๋หมิงหลางก็ตัดสินใจ “ผมจะพาคุณไปด้วย แต่คุณห้ามเข้าไปในเขตไฟป่าเด็ดขาด!”
การพาเธอไปด้วยก็คือการเชื่อใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก อวี๋หมิงหลางเลือกที่จะเชื่อใจภรรยาตัวเองภายใต้สถานการณ์ที่รุนแรงแบบนี้
“หัวหน้าใหญ่! ให้พวกเราไปด้วยเถอะ! ถ้าหัวหน้าไม่วางใจงั้นพวกเราก็จะไม่เข้าไปในเขตไฟป่า พวกเราอยู่กับภรรยาหัวหน้าคอยเป็นกองหนุนได้ไหมครับ?” อาเพียวใช้โอกาสนี้ขอร้อง
อวี๋หมิงหลางมองพวกอาเพียวแล้วเม้มริมฝีปาก
“ห้ามเข้าไปในเขตภัยพิบัติ ให้อยู่แค่ด้านนอกเท่านั้น!”
พออวี๋หมิงหลางไปถึงสนามบินก็แยกกับพวกเสี่ยวเชี่ยน เขานั่งเครื่องไปพร้อมกับทหารทีมช่วยเหลือ พี่รองเป็นคนขับด้วยตัวเอง
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากพี่ใหญ่ได้ข่าวก็เรียกรวมคนของตัวเองแล้วตรงดิ่งไปด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่เชื่อว่าองค์หญิงของตระกูลอวี๋จะตายไปในกองเพลิง
เสี่ยวเชี่ยนนั่งเครื่องบินที่ขนพวกอุปกรณ์ต่างๆ เดิมพวกอาเพียวอยากให้เสี่ยวเชี่ยนไปกับอวี๋หมิงหลาง อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิง เครื่องบินแบบนี้สภาพไม่ค่อยโอเค แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับยืนยันหนักแน่นว่าไม่อยากทำตัวพิเศษกว่าคนอื่น
ซึ่งทำให้อาเพียวรู้สึกประทับใจในตัวเสี่ยวเชี่ยนขึ้นมาไม่น้อย
ในสายตาของเขาเสี่ยวเชี่ยนเป็น ‘คนโปรด’อยู่เสมอ รวมถึงการเข้าร่วมครั้งนี้ด้วย เป็นเพราะอวี๋หมิงหลางอนุญาตให้เธอมาได้
แต่ในสถานการณ์ที่อันตรายขนาดนี้ คนโปรดคนไหนบ้างที่จะอยากมา?
แถม ‘คนโปรด’ คนนี้ยังนั่งเครื่องบินบรรทุกอุปกรณ์ไปพร้อมกับพวกเขาด้วย ไม่มีแม้แต่เบาะนั่งดีๆ ผู้หญิงสวยๆแบบนี้นั่งบนกระสอบข้าวของโดยไม่บ่นแม้แต่คำเดียว
พอลงจากเครื่องบินทหารทุกคนก็เริ่มยุ่งขึ้นมาทันที มีทีมพิทักษ์ป่ารับหน้าที่ดับไฟกันอยู่แล้ว อวี๋หมิงหลางพาคนของเขาและหน่วยอื่นไปเข้าร่วมด้วย เนื่องจากเป็นการเรียกรวมตัวฉุกเฉิน ดังนั้นทหารส่วนใหญ่จึงยังไม่ได้กินแม้แต่ข้าวกลางวัน เข้าไปทำภารกิจทั้งๆที่หิวแบบนั้น
หน่วยต่างๆที่อยู่ไม่ไกลต่างส่งคนมา เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนเห็นในข่าวก็มีแค่ไม่กี่อักษร เขียนชื่นชมนิดหน่อยก็ไม่มีอะไรแล้ว
แต่พอเสี่ยวเชี่ยนได้มาเห็นกับตาถึงได้รู้ว่าทหารแต่ละคนไม่ง่ายเลยจริงๆ เนื่องจากต้องดับไฟเสื้อผ้าจึงต้องเปียกหมด ทุกคนถูกเรียกก่อนถึงเวลากินข้าว ต้องปฏิบัติหน้าที่ทั้งๆที่ท้องหิว พวกเสี่ยวเชี่ยนยังดีที่ได้กินข้าวกลางวันมาก่อน ทหารคนอื่นๆทำได้แค่อดทน
เสี่ยวเชี่ยนไปถึงก่อน อวี๋หมิงหลางไม่มีเวลามาสนใจเธอ เขาทั้งสั่งการลูกน้องทั้งแบกภารกิจตามหาเสี่ยวซี พอมาถึงก็งานยุ่งไปหมด เสี่ยวเชี่ยนเห็นสภาพรถที่เหลือแต่โครงแล้วก็ใจหาย
หากคำนวณจากเวลา อวี๋หมิงซีออกมาจากบ้านไห่เจาตั้งแต่เช้าตรู่ เธอไม่ได้ให้คนที่บ้านไปส่ง แต่เลือกที่จะนั่งรถโดยสารทางไกล ตอนผ่านทางนี้เป็นเวลาที่เกิดไฟป่าพอดี คนทั้งคันรถเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมถึงได้เหลือแต่ซากรถดำเป็นตอตะโก ไม่มีใครรู้
ตอนนี้หาไม่เจอแม้แต่คนเดียว รถโดยสารทางไกลในยุคสมัยนี้ไม่ได้เป็นระบบบันทึกชื่อจริงของผู้โดยสาร ใช้วิธีโบกเอา บนรถมีผู้โดยสารเท่าไรก็ไม่มีใครรู้
เสี่ยวเชี่ยนเดินไปเดินมารอบซากรถ ไม่ได้ข้อสรุปอะไร มีแต่ความร้อนใจ
ทีมเสบียงกำลังนึ่งหมั่นโถว เสี่ยวเชี่ยนกับพวกอาเพียวเข้าไปช่วยทีมเสบียงเป็นการชั่วคราว ไฟป่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่แค่เปิดน้ำฉีดก็จบ อย่างน้อยๆต้องอยู่ที่นี่หลายวัน ต้องคอยดูไม่ให้มีจุดไหนเกิดไหม้ซ้ำขึ้นมาอีก ตอนนี้ภารกิจของเหล่าทหารหนักมาก ใบหน้าของเสี่ยวเชี่ยนถูกความร้อนจนเริ่มแดง เธอรู้สึกได้ว่าเหงื่อออกเต็มหลัง
“อันที่จริงคุณจะไม่มาก็ได้” อาเพียวยื่นน้ำให้เสี่ยวเชี่ยน
“คุณทิ้งเพื่อนทหารของคุณได้เหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนรับน้ำมาดื่ม “สำหรับพวกเราแล้ว คนในครอบครัวก็คือเพื่อนทหารที่ทอดทิ้งไม่ได้”
ไม่ว่าจะสุดหล้าฟ้าเขียวก็ต้องตามหาเสี่ยวซีให้พบ
ขณะที่ทางนี้กำลังคุยกันพี่ใหญ่ก็พาคนมาถึงแล้ว ไม่เพียงแต่จะพาคนมา ยังพาสุนัขกู้ภัยมาด้วย ซึ่งพี่ใหญ่ใช้เงินส่วนตัวจ้างมาเอง
เสี่ยวเชี่ยนเห็นไห่เจายืนอยู่ข้างพี่ใหญ่ ทุกคนต่างหน้าดำคร่ำเครียด
อวี๋หมิงหลางเองก็เข้ามาหา เสื้อผ้าเขาเปียกไปหมด เสี่ยวเชี่ยนแลกเปลี่ยนทางสายตากับเขา พวกเธอไม่มีเวลาคุยเป็นการส่วนตัว อวี๋หมิงหลางเริ่มประชุมกับพี่ใหญ่ทันที
“สำนักโทรคมนาคมตรวจสอบได้อะไรบ้างไหม?” อวี๋หมิงหลางถาม
“ก่อนเสี่ยวซีเดินทางได้โทรหาหัวหน้าทีมของตัวเอง พี่ติดต่อไปที่หัวหน้าคนนั้น เขาบอกว่าเสี่ยวซีกลับไปครั้งนี้คิดจะไปแสดงตามเขตชายแดนอีก”
อวี๋หมิงซีเป็นคนล่าฝัน โลดแล่นอยู่บนเส้นทางความฝันของตัวเองไม่เคยหยุด
หลังจากที่พี่ใหญ่ได้ข่าวก็รีบดำเนินการติดต่อน้องชายทั้งสองคนทันที
ตอนนี้อวี๋หมิงอี้ยังคงขับเฮลิคอปเตอร์ทำภารกิจสำรวจบนฟ้าอยู่ ต้องร่วมกับอวี๋หมิงหลางตามหาผู้โดยสารของรถคันนี้ที่หายไป ตอนนี้ควบคุมไฟป่าได้แล้ว แต่เฮลิคอปเตอร์เข้าไปใกล้มากไม่ได้ จึงได้แต่เริ่มหาจากรอบนอก
ตอนนี้ยังไม่ส่งข่าวอะไรกลับมา
“เช็คบันทึกการโทรของคนขับหรือยัง?” อวี๋หมิงหลางถาม
“เช็คแล้ว เบอร์ล่าสุดที่โทรออกคือ110[1] แต่โทรไม่ติด” พี่ใหญ่สีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ
เบอร์สุดท้ายที่คนขับรถโทรคือ110 ซึ่งสำหรับทุกคนแล้วมันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
รถถูกขับมาถึงที่นี่จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วอย่างแน่นอน คนขับรถจึงอยากโทรแจ้งตำรวจ แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนทั้งรถหายไปหมด
สถานการณ์ในตอนนี้คิดในแง่ดีไม่ได้เลย
“ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่ง คนขับเห็นไฟไหม้ก็เลยโทรแจ้งตำรวจ สอง บนรถเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น คนขับเลยโทรแจ้งตำรวจ” อวี๋หมิงหลางวิเคราะห์อย่างใจเย็น แสดงให้เห็นเลยว่าจิตใจของเขาได้รับการฝึกฝนมาดีขนาดไหน
ถ้าไม่เห็นริมฝีปากเขาสั่น เสี่ยวเชี่ยนก็ยังคงคิดว่าเขาใจเย็นจริงๆ การที่อวี๋หมิงหลางร้อนใจได้ขนาดนี้เห็นได้ชัดเลยว่าสถานการณ์รุนแรงมาก
“นายว่าแบบไหนเป็นไปได้มากกว่า?” พี่ใหญ่ถามอวี๋หมิงหลาง
[1] เบอร์ตำรวจ