“แบบที่สอง ถึงคนทั่วไปเวลาเจอไฟไหม้อาจจะไม่รู้ว่าต้องโทรแจ้งใครกันแน่ แต่คนขับรถที่ขับรถโดยสารทางไกลมานาน เรื่องพวกนี้ต้องเคยได้รับการอบรมไม่มีทางพลาด ดูจากเวลาที่ไฟเริ่มไหม้ ตอนพวกเขามาถึงตรงนี้ไฟน่าจะลามไปได้สักพักแล้ว ดังนั้นตำแหน่งของรถนี้มันแปลกๆ”
อวี๋หมิงหลางพูดพลางเดินวนรอบรถที่ถูกเผาจนเหลือแต่โครงไม่มีค่าอะไรอีก ตำรวจอาชญากรรมได้รีบมายังที่เกิดเหตุแล้ว เดี๋ยวจะมีชุดตำรวจสืบสวนมาเก็บหลักฐาน พวกเขาต้องรักษาสภาพที่เกิดเหตุเอาไว้ ทันใดนั้นอวี๋หมิงหลางก็มองไปไกลๆ
“ไปหาทางนั้น รถน่าจะขับมาจากทางนั้น”
“นายรู้ได้ไง?” ทุกคนสงสัย
“เซ้นส์”
ไม่มีใครสงสัยเซ้นส์ของอวี๋หมิงหลาง เพราะมันเคยทำงานได้ดีมาแล้วหลายครั้งในช่วงเวลาสำคัญ
แบ่งทหารตามมาส่วนหนึ่งเพื่อไปช่วยกันตามหาข้างหน้า เดินไปได้ประมาณสิบนาทีไห่เจาก็หน้าซีด รู้สึกเหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ
คนที่เมื่อวานยังดีๆอยู่ทำไมวันนี้ถึงเกิดเรื่องได้ ถ้าคนเรารู้ล่วงหน้าได้ มีเหรอที่เขาจะปล่อยเวลาทิ้งไปเปล่าๆหลายปีแบบนี้ เขาควรจะพูดตรงๆไปเลย สาเหตุที่เขากลัวก็แค่กลัวเธอปฏิเสธและทำเย็นชาใส่ ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญแล้ว ขอแค่เธอยังมีชีวิตอยู่ก็พอ
เสี่ยวซี คุณอยู่ที่ไหนกันแน่!
“เสี่ยวเฉียง ไหนว่าฝาแฝดส่งกระแสจิตสื่อถึงกันได้ไง นายมีไหม?” เสี่ยวเชี่ยนฉวยจังหวะตอนที่อวี๋หมิงหลางกำลังค้นหาถามเขา
ช่วงเวลาที่แสนอึดอัดแบบนี้ ถ้าไม่พูดอะไรสักหน่อย อาจมีคนสติแตกได้ทุกเมื่อ เบื้องหลังเป็นทะเลเพลิง เบื้องหน้าเป็นอวี๋หมิงซีที่ไม่รู้ชะตากรรม
“เวลาส่วนใหญ่ไม่มีหรอก แต่บางครั้งก็มีบ้าง อย่างเช่นตอนนี้ ผมเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่”
คำพูดนี้ของอวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่าจริงหรือหลอกแต่กลับเป็นกำลังใจให้ทุกคน โดยเฉพาะไห่เจาที่กำลังจะสติแตก
พอเห็นข้างหน้าเป็นหน้าผาอวี๋หมิงหลางจึงยกมือขึ้นเพื่อห้ามทุกคนเดินต่อ เขาเจอร่องรอยที่หน้าผา
มองเห็นไม่ชัดว่าหน้าผานั้นลึกแค่ไหน ตรงกลางเขามีต้นมะข่วงที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นเต็มไปหมด ผลสีแดงสดขึ้นเต็มกิ่งในฤดูใบไม้ร่วง บวกกับเถาวัลย์รากไม้ต่างๆที่พันกันจนยุ่งเหยิงบดบังสายตา อวี๋หมิงหลางล้วงมีดออกมาตัดกิ่งไม้ทิ้งแล้วมองไปตรงจุดหนึ่ง
“เขาอยู่ข้างล่าง!” ไห่เจาตะโกนอย่างตื่นเต้น ดวงตาร้อนผ่าว เขากะแล้วว่าเธอต้องไม่เป็นอะไร!
“ทำไมฉันไม่เจออะไรเลย?” เสี่ยวเชี่ยนชะโงกไปดูอยู่ตั้งนานจนแทบถอดแว่นออกมาเช็ด น่าเสียดายที่เห็นแต่ต้นไม้
“นี่เป็นวิธีที่พวกเราชอบใช้ตอนเด็กๆเวลาเล่นกัน ถ้าไม่อยากทิ้งรอยเท้าไว้ก็เกลี่ยดินให้เรียบตรงที่ตัวเองเดิน มีแค่เด็กในหมู่บ้านเราเท่านั้นที่มองออก” อวี๋หมิงหลางอธิบาย
ดังนั้นไห่เจาถึงได้มองออก เธอยังมีชีวิตอยู่!
“บนรถน่าจะเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวซีคงกลัวว่าคนร้ายหรืออันตรายจากสิ่งอื่นจะตามมาเจอเข้าก็เลยลงจากรถ จากนั้นก็ซ่อนรอยเท้าตัวเอง” อวี๋หมิงหลางวิเคราะห์ออกมาอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวซี! เสี่ยวซีอยู่ไหม! ผมไห่เจาเอง! ไห่เจาไง!” ไห่เจาตะโกนลงไปข้างล่าง
ไม่มีเสียงตอบรับ
“ฉันลงไปเอง” อวี๋หมิงหลางเตรียมลงไป ไห่เจาตามไปติดๆ เวลานี้เขาไม่อยากทนดูอยู่เฉยๆ
อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนก็อยากตามลงไปด้วย แต่พละกำลังอย่างเธอคงไม่ไหว หน้าผาสูงขนาดนี้เธอไม่มีทางปีนได้ ทำได้แค่ยืนมองให้พวกผู้ชายลงไป
ไห่เจาตามอวี๋หมิงหลางไปติดๆ เขาเป็นนักธุรกิจเรื่องพละกำลังสู้ทหารหน่วยรบพิเศษไม่ได้ แต่ในเวลาแบบนี้ก็แสดงพลังที่ซ่อนอยู่ออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ได้เคลื่อนไหวช้าเป็นตัวถ่วงอยู่ข้างหลัง
ทหารที่อวี๋หมิงหลางพามาก็ลงตามมาแยกกันค้นหา อวี๋หมิงหลางเจออวี๋หมิงซีในถ้ำที่อยู่ห่างจากรอยเท้าที่อวี๋หมิงซีทิ้งไว้ห้าร้อยกว่าเมตร ขณะนั้นเธอกำลังกอดปลอบเด็กสาวอายุสิบกว่า ด้านข้างมีผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ ทหารหน่วยรบพิเศษที่ตามมารีบเข้าไปช่วยตรวจเช็คและปฐมพยาบาลให้ โชคดีที่บาดแผลไม่ลึก แถมยังมีการห้ามเลือดไว้ก่อนหน้านี้ จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
“เสี่ยวซี!” พอไห่เจาเห็นเสี่ยวซีก็รีบวิ่งเข้าไปก่อน ในมืออวี๋หมิงซีกำก้อนหินที่เอาไว้ป้องกันตัว เธออยู่ในท่าทางเตรียมพร้อมต่อสู้ พอเห็นไห่เจาเธอก็ทิ้งก้อนหินลงพื้น จนกระทั่งไห่เจาวิ่งมากอดเธอถึงได้สติว่าตัวเองมีคนมาช่วยแล้ว!
“ไห่เจา!”
ทั้งสองคนกอดกันแน่น ไห่เจาแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเจอเธอแล้ว!
อวี๋หมิงหลางและคนอื่นๆพอเห็นภาพนี้ก็ต่างโล่งอก
“มือคุณเป็นอะไร?!” ไห่เจารู้สึกแปลกๆ เขาดันตัวอวี๋หมิงซีออกถึงได้เห็นว่ามือเรียวยาวที่สวยงามของเธอมีเลือดไหล เธอเอาใบไม้พันแผลเอาไว้ชั่วคราว พอกอดเขาบาดแผลก็เปิดออก
“ฉันกำมีด…หมิงหลาง! รีบส่งคนออกไปล่าตัวคนร้ายเร็ว! มีคนร้ายถือมีดขึ้นมาปล้นรถ อีกทั้งยังคิดจะข่มขืนผู้หญิงด้วย!” อวี๋หมิงซีนึกเรื่องสำคัญได้จึงรีบบอกอวี๋หมิงหลาง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“รถโดยสารทางไกลที่ฉันนั่งมา พอขับมาได้ครึ่งทางก็มีคนขึ้นมาคนหนึ่ง ฉันเห็นเนื้อตัวเขามีแต่กลิ่นเหล้าเลยระวังตัว…”
ถึงอวี๋หมิงซีจะเป็นนักร้องทหาร แต่ก็โตมาในหมู่บ้านทหาร เวลาพวกผู้ใหญ่คุยกันเธอก็ฟังมาบ้าง ไปเจอคนแปลกหน้าข้างนอกก็คอยระวังตัว พอเธอเห็นคนถือเหล้าท่าทางเมาไม่น่าไว้ใจจึงคอยระวังตัวไว้
เหมือนกับที่อวี๋หมิงหลางคิดไว้ก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว รถโดยสารจึงไม่ค่อยมีผู้โดยสารเท่าไร รวมอวี๋หมิงซีด้วยยังไม่ถึงสิบคน พอคนๆนี้ขึ้นรถได้ก็เอาแต่ดื่มเหล้า ร้องเพลงเสียงดัง สุดท้ายพอเมาหนักเข้าก็คิดจะไปลวนลามเด็กผู้หญิง
ตอนนั้นที่นั่งของอวี๋หมิงซีค่อนไปทางด้านหลัง บวกกับเธอใส่หมวกแก็ปจึงบังหน้าเอาไว้ได้ คนๆนี้เลยไม่สังเกตเห็นเธอ ไม่อย่างนั้นถ้าเห็นเธอล่ะก็ได้พุ่งเข้าไปหาเธอแน่นอน
ตอนที่เสี่ยวซีเห็นคนร้ายเริ่มลงมือจึงกดโทร110 แต่ว่ามือถือของเธอแบตหมด! เมื่อคืนเธอเมาอยู่บ้านไห่เจาจนไม่มีเวลาคิดจะชาร์ตแบต
ทันใดนั้นคนขับรถก็ยืนขึ้นแล้วตะโกนว่าทำอะไรน่ะ! ฉันจะโทรแจ้งตำรวจนะ!
ถ้าปกติพูดไปแบบนี้ไม่แน่อาจขู่คนร้ายที่ขี้ขลาดได้ แต่ไม่ใช่กับคนๆนี้
ขณะที่คนขับรถกดเบอร์110เสร็จยังไม่ทันจะได้พูดอะไร อยู่ๆคนร้ายก็ชักมีดยาวออกมาจากเอว แล้วแทงไปที่ท้องคนขับรถ คนขับล้มลงจมกองเลือดทันที อวี๋หมิงซีเห็นดังนั้นก็ทนไม่ไหวยืนขึ้นตะโกนบอกว่าตัวเองเป็นทหาร ขอให้หยุดซะ
“บนรถไม่มีผู้ชายอื่นอีกแล้วเหรอ? คุณคนเดียวลุกขึ้นมาสู้? ทำไมคนอื่นๆไม่ช่วยล่ะ?!” พอฟังถึงตรงนี้ไห่เจาก็โกรธมาก
ถ้าเป็นเขาไม่มีทางให้ผู้หญิงออกหน้าก่อนแน่นอน ผู้โดยสารคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีแค่เด็ก คนแก่ ผู้หญิง คนป่วย? ผู้ชายช่วยกันถีบคนร้ายคนละทีสองทีก็เอาอยู่แล้ว แค่มีดอันเดียวขู่ทุกคนได้หมดเลยเหรอ? สุดท้ายต้องให้ผู้หญิงออกหน้า แถมยังเป็นผู้หญิงของเขาด้วย!
“ไม่มีใครกล้าเลย นั่งกลัวกันหมด ฉันถึงได้บอกไงว่าผู้ชายบางคนขี้ขลาดยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ทหารอย่างพวกเราต้องออกหน้าช่วยยามที่ตกอยู่ในอันตราย” อวี๋หมิงซีส่ายมืออย่างไม่แคร์ แต่ถูกแผลเข้าจึงกัดฟันทนเจ็บ