อวี๋หมิงหลางรีบเอาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่พกติดตัวออกมาทำแผลให้อวี๋หมิงซี บาดแผลไม่ลึกมาก แต่ตอนทำแผลก็น่าตกใจอยู่
“อย่าบอกนะว่าเอามือเปล่าไปรับมีด? เคยสอนไว้ว่าไง? เคยสอนวิชาป้องกันตัวเวลาตกอยู่ในอันตรายให้แล้วไม่ใช่เหรอ? โชคดีแค่ไหนแล้วที่มีดนั่นไม่ได้คมมาก ถ้าเป็นมีดของพวกเรานะ มือขาดไปแล้ว” หาตัวเจอแล้วจะเถียงกับพี่สาวตัวเองยังไงก็ได้
“คิดว่าฉันไม่อยากเหรอ? แต่สถานการณ์ในตอนนั้นถ้าฉันไม่เข้าไป เกิดคนขับถูกแทงตายทำไง?”
อาจเพราะได้ยินคำว่าทหารคนร้ายจึงตกใจชะงักไป หรืออาจเป็นเพราะอวี๋หมิงซีเป็นผู้หญิง พอตะโกนออกไปแบบนั้นคนร้ายจึงตกใจไปชั่วขณะ แต่หลังจากที่เห็นว่าคนตะโกนเป็นสาวสวย คนร้ายก็ฉีกยิ้มลามกแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อวี๋หมิงซีแทน อวี๋หมิงซีไม่ปล่อยให้คนร้ายได้ใจ ต่อสู้ป้องกันตัวจนสุดท้ายแย่งมีดมาด้วยมือเปล่าแล้วโยนทิ้งนอกหน้าต่างรถ
ตามมาด้วยการโยนโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ออกนอกรถ จากนั้นก็บอกคนร้ายว่าในนั้นมีเงินเยอะแยะให้ตามลงไปเก็บ
จังหวะที่คนร้ายลงไปเธอก็รีบไปขับรถออก
เหตุการณ์ในตอนนั้นทั้งน่ากลัวและอันตราย คนขี้เมานั่นทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบหรือวางแผนปล้นไว้ล่วงหน้าไม่มีใครรู้ อย่างไรเสียการพกมีดขึ้นรถโดยสารก็น่าสงสัยอยู่แล้ว
“แล้วผู้โดยสารคนอื่นไปไหนหมด? ทำไมรถถูกทิ้งไว้ตรงนั้น?” อวี๋หมิงหลางถาม
“ฉันขับรถไปข้างหน้า พอเห็นไฟไหม้เลยจะเลี้ยวกลับ แต่คนอื่นๆบนรถกลับไม่เห็นด้วย ลุกขึ้นมาคัดค้านฉัน บอกว่าถ้ากลับไปคนร้ายจะต้องถือมีดขึ้นมาบนรถอีกแน่นอน” ถ้าเธอขับกลับไป คนอื่นๆก็จะทำร้ายเธอแทน
เสี่ยวซีพูดจบ อวี๋หมิงหลางและคนอื่นๆก็โมโหมาก
นี่มีแต่พวกโง่เหรอ?
ตอนเจอคนร้ายไม่ลุกขึ้นสู้ พอมีคนพาหนีจากอันตรายกลับลุกขึ้นมากดดันผู้หญิง?
“คนร้ายมีมีด แต่พวกพี่อยู่บนรถคนร้ายขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีแล้วจะกลัวอะไร?” เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจ
“พวกเขากลัวว่าคนร้ายจะมีพรรคพวก พูดกันว่าเหตุการณ์ปล้นรถแบบนี้จะส่งคนขึ้นมาก่อนหนึ่งคนเพื่อดูลาดเลา จากนั้นก็จะมีรถขับตามหลัง แล้วค่อยขึ้นมารุม” อวี๋หมิงซีไม่รู้ว่าผู้โดยสารพวกนี้ไปฟังมาจากไหน สรุปคือเกิดการทะเลาะกันบนรถ จนสุดท้ายอวี๋หมิงซีเลือกที่จะพาคนขับรถกับเด็กสาวลงมาซ่อนตัว ส่วนคนพวกนั้นไปไหนกันแล้วก็ไม่รู้
พอลงจากรถเธอก็เจอสมุนไพรที่ช่วยห้ามเลือดได้พอดี จึงทำแผลให้คนขับรถชั่วคราว เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร เธอจึงซ่อนรอยเท้าแล้วหลบเข้าไปซ่อนตัวในถ้ำรอคนมาช่วย
“ดูท่าผู้โดยสารคนอื่นจะหนีไปได้แล้ว คนร้ายพอตามมาเห็นรถถูกทิ้งไว้แถวนี้เลยขับไปทิ้งไว้ให้ไฟไหม้ด้วยความโมโห”
อวี๋หมิงหลางพูดจบคนขับรถก็ลุกพรวดขึ้นมา
“รถผมถูกเผาเหรอ?”
“ใช่ครับ”
“ครอบครัวผมฝากความหวังไว้ที่รถคันนี้นะ แล้วแบบนี้จะทำไง รถของผม…”
“มีประกันหรือเปล่า?”
มีครับ แต่เกิดเรื่องแบบนี้ประกันจะจ่ายเหรอ? ครอบครัวผม…”
คนขับรถอุตส่าห์ลุกขึ้นมาช่วยด้วยความกล้าหาญ แต่ตัวเองกลับได้รับบาดเจ็บ เครื่องมือทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวไม่มีแล้ว นี่ก็คือสาเหตุที่ผู้โดยสารคนอื่นบนรถถึงทำตัวนิ่งเฉย คนเห็นแก่ตัวมักจะกลัวตัวเองเสียประโยชน์ กลัวถูกคนร้ายเล่นงานมากกว่า ดังนั้นเวลาเกิดอันตรายหลายคนจึงเลือกที่จะนั่งนิ่ง ดูอยู่เฉยๆ
“เรื่องนี้เดี๋ยวผมช่วยจัดการติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกใบรับรองให้ครับ ถ้าประกันไม่จ่ายพวกเราจะรวมกันบริจาคเงินให้ครับ” อวี๋หมิงหลางพูด
คนขับเอามือปิดหน้าร้องไห้ อันที่จริงเขาไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดของอวี๋หมิงหลาง ยศของอวี๋หมิงหลางไม่ต่ำ เขาคิดว่าคนที่มียศระดับนี้ก็แค่พูดปลอบใจเท่านั้น
ในความเป็นจริงนั้นอวี๋หมิงหลางทำได้อย่างที่พูด ต่อมาคนขับรถได้รับยกย่องว่าเป็นพลเมืองกล้าหาญ องค์กรในเมืองได้บริจาคเงินให้ หลังจากที่ตัดสินโทษคนร้ายแล้ว คนร้ายก็ถูกตัดสินให้ต้องชดใช้เงินด้วยจำนวนหนึ่ง สรุปคือคนดีได้รับสิ่งดีๆตอบแทน แต่นี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง
พอเจออวี๋หมิงซีทุกคนก็โล่งอก เสี่ยวเชี่ยนอยู่ต่อเพื่อช่วยเยียวยาจิตใจให้อวี๋หมิงซี เด็กสาว และคนขับรถ อวี๋หมิงหลางพาคนไปช่วยดับไฟต่อ
เด็กสาวตกใจกลัวจนตัวสั่น คนของตำรวจอาชญากรรมมาพูดคุยสอบถามความจริง มีนักข่าวตามมาด้วย เรื่องกล้าหาญของดาราดังแบบนี้ถือเป็นประเด็นร้อนแรงมาก พวกนักข่าวออกันเข้ามาเต็มไปหมด แต่ถูกไห่เจาด่าไล่ตะเพิด
เสี่ยวเชี่ยนนั่งอยู่ในรถกับอวี๋หมิงซีมองไห่เจาด่าคน อวี๋หมิงซีอยากลงจากรถ
“เขาไม่เคยโมโหขนาดนี้เลย ปกติมีแต่จะพูดจาดีๆ ทำไมอยู่ๆเกรี้ยวกราดขนาดนั้น?”
เสี่ยวเชี่ยนดึงอวี๋หมิงซีไว้ “ไม่ต้องลงไปหรอก—มองไม่ออกเหรอว่าเขากำลังปกป้องพี่อยู่? การที่คนที่ปกติที่ใจเย็นเสมอถึงกับอารมณ์เสียได้ขนาดนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าในใจของเขามีสิ่งที่สำคัญกว่า”
คำพูดแบบนี้ปกติอวี๋หมิงซีไม่ชอบฟัง แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่ามันสบายหู เธอมองไห่เจาผ่านกระจก สายตาฉายแววอ่อนโยนขึ้นมาก
“เมื่อกี้พี่ไม่เห็นตอนที่เขาเพิ่งมาถึง เขาหน้าเสียมาก มันทำให้ฉันรู้เลยว่าถ้าพี่เป็นอะไรไป เขาได้เลียนแบบบูรพาไม่แพ้ ไปลุยทะเลเพลิงแน่นอน”
เสี่ยวซีฟังเสี่ยวเชี่ยนพูดตอนแรกก็ซึ้งใจอยู่หรอก แต่ประโยคหลังทำเธอขำ บูรพาไม่แพ้ก็มา
เสี่ยวเชี่ยนพูดในใจ ถือว่าเธอได้ตอบแทนบุญคุณที่กินฟรีมาหลายปีแล้ว จังหวะเมื่อกี้มันได้ จากนี้ถ้าไห่เจามัดใจเสี่ยวซีไม่อยู่ ปัญหาก็อยู่ที่เขาแล้วล่ะ
พูดแค่นี้พอ พูดมากกว่านี้เดี๋ยวจะได้ผลกลับกัน เสี่ยวเชี่ยนหันไปตั้งใจรักษาเด็กที่อวี๋หมิงซีช่วยไว้ แต่อวี๋หมิงซีกลับเอาแต่มองข้างนอก
นักข่าวไม่ยอมล้มเลิกการทำข่าวใหญ่ จะเข้ามาให้ได้ ไห่เจาชี้หน้าด่านักข่าวคนหนึ่งด้วยความโมโห ท่าทางเหมือนกับว่าถ้านักข่าวพวกนี้ไม่ยอมออกไปเขาจะลงมือจริงๆแล้ว
“เสี่ยวเชี่ยน กลับไปรักษาให้ฉันด้วยนะ”
“อืม”
“ฉันหมายถึง…เรื่องนั้น” เธออยู่ที่เดิมมานานเกินไปแล้ว บางทีอาจถึงคราวต้องเดินออกไปแล้ว อวี๋หมิงซีเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป
เสี่ยวเชี่ยนยิ้ม “ฉันรู้”
ปมในใจที่ติดมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ในที่สุดเสี่ยวซีก็ยอมที่จะแก้มันแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดคิดในครั้งนี้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้ความปรารถนาของไห่เจาเริ่มเห็นเค้าลางแห่งความสำเร็จ ถึงเธอจะไม่รู้อนาคต แต่อย่างน้อยอวี๋หมิงซีก็ยอมเดินหน้าแล้ว นี่เป็นเรื่องดี
“พวกคุณทำตัวเกาะติดเป็นกอเอี๊ยะแบบนี้สนุกนักเหรอ?”
พอเสี่ยวซีลงจากรถก็ได้ยินไห่เจากำลังด่า พวกนักข่าวก็ด่ากลับ พอเห็นอวี๋หมิงซีลงจากรถคนพวกนั้นยิ่งออกันเข้าไปหาเธอ ห้ามยังไงก็ไม่อยู่
เวลานี้เจ้าหน้าที่ทุกคนไปช่วยกันดับไฟป่าหมด ไม่มีใครมาดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้ตรงนี้ดูวุ่นวายไปหมด
พอไห่เจาเห็นเธอลงมาก็ร้อนใจ
“ลงมาทำไม ขึ้นไปอยู่บนรถสิ!”
อวี๋หมิงซีส่ายหน้าให้เขาแล้วยิ้มพลางพูด “ไม่เป็นไร ฉันจัดการเอง”
เรื่องรับมือกับสื่อแบบนี้เธอมีประสบการณ์อยู่บ้าง
“ทุกคนเงียบและฟังฉันพูดนะคะ”