พออวี๋หมิงซีพูดทุกคนก็นิ่ง มีคนเอากล้องขึ้นมาถ่ายภาพ
“สำหรับเรื่องในครั้งนี้ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่คนเป็นทหารควรทำ ทุกท่านไม่ต้องให้ความสำคัญมากหรอกค่ะ เอาเวลาไปสนใจเหล่าทหารที่กำลังพยามยามช่วยกันดับไฟอย่างเต็มที่ดีกว่า จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่ได้กินข้าวกันเลย สังคมของเรายังต้องการพลังบวกอีกมาก ไม่ใช่มัวแต่มานั่งสนใจเรื่องดารา ถ้าหลังจากนี้ทุกท่านอยากสัมภาษณ์ฉันเดี๋ยวฉันจะบอกผู้ช่วยส่วนตัวให้นัดทุกคนมาสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว ไม่อย่างนั้นทุกท่านจะถูกฉันขึ้นบัญชีดำไม่ให้สัมภาษณ์ตลอดไป”
สัมภาษณ์อวี๋หมิงซีเป็นการส่วนตัว?!
นี่มันโอกาสที่หาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก! เป็นที่รู้กันว่าเธอเป็นคนชอบอยู่เงียบๆ พอได้ยินแบบนั้นนักข่าวก็เชื่อฟังโดยทันที
นี่คือความสามารถของอวี๋หมิงซีในการรับมือกับสื่อ พอเธอออกหน้าปัญหาก็เรียบร้อย
ในขณะที่นักข่าวเตรียมถอยไปทำข่าวทหารดับไฟป่าแทน ทันใดนั้นก็มีนักข่าวคนหนึ่งสังเกตเห็นสายตาที่แปลกไปของอวี๋หมิงซีกับไห่เจา จึงถามขึ้น
“ขอถามหน่อยนะคะคุณซูซี เขาเป็นอะไรกับคุณเหรอคะ? ใช่แฟนหรือเปล่า? ช่วงนี้มีแพลนจะแต่งงานกันไหมคะ?”
ฟึ่บ! สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ไห่เจา
ซูซีคือชื่อในวงการของอวี๋หมิงซี
บนเวทีอวี๋หมิงซีเป็นนักร้องสาวหน้าหวานที่ร้องได้หลายเสียง มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ด้วยความที่เธอเป็นทหารทำให้เธอไม่เคยมีข่าวในแง่ลบออกไป แม้แต่เรื่องความรักก็ไม่เคยเป็นข่าว
“เขาไม่เห็นเหมาะกับซูซีเลยสักนิด! บอดี้การ์ดมากกว่ามั้ง?” นักข่าวคนหนึ่งตะโกนขึ้น เขาชอบอวี๋หมิงซีเป็นการส่วนตัว รับไม่ได้ที่ไอดอลของตัวเองจะมีแฟนแบบนี้ เมื่อกี้ที่ไห่เจาด่านักข่าว เขายังแค้นไม่หาย
ไห่เจาอึ้ง ช่างเถอะ เขายอมรับว่าตัวเองเป็นบอดี้การ์ดก็ได้ อย่าสร้างความยุ่งยากให้เสี่ยวซี...
“ใช่ ผมเป็นบอดี้การ์ดของเขา”
“ไม่ใช่ เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดฉัน”
ทั้งสองคนพูดจบก็มองหน้ากัน
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน”
เห้อ เป็นเพื่อน คงเป็นได้แค่เพื่อน ยังจะหวังอะไรอีกเล่า! ไห่เจาแอบปลอบใจตัวเอง
“เป็นเพื่อนผู้ชายธรรมดา หรืออาจพัฒนาความสัมพันธ์ได้ครับ?” นักข่าวจี้ถามต่อตามสัญชาตญาณความเป็นนักข่าว ดาราชอบอ้างว่าเป็นเพื่อนเพื่อกลบเกลื่อนความสัมพันธ์แบบชู้สาว พวกเขาเองก็รู้ทางหมดแล้ว
“ตอนนี้เป็นเพื่อนธรรมดาค่ะ ต่อไปจะเป็นอะไรฉันไม่รู้”
เอ๋?! ไห่เจาคืนชีพในทันที หัวใจที่เต้นอย่างอ่อนแรงเมื่อครู่เร่งจังหวะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คำพูดนี้มันยังไงๆนะ ฟังดูเหมือนมีหวัง?!
“ไม่ทราบว่าจะจัดงานแต่งเมื่อไรคะ?” พวกนักข่าวชินกับการตอบคำถามคลุมเครือแบบนี้ของพวกดาราแล้ว ไม่ปฏิเสธก็คือการยอมรับนั่นแหละ!
“เรื่องนี้ไว้ฉันจะตอบในการสัมภาษณ์ส่วนตัวครั้งหน้านะคะ โลกเราเปลี่ยนไปทุกวัน เมื่อกี้ไฟป่ายังลุกลามอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เหล่าทหารกล้าของพวกเราควบคุมไฟได้แล้ว แล้วใครจะมั่นใจเรื่องในอนาคตได้ล่ะคะ?”
คำพูดนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการเตือนให้พวกนักข่าวรีบไปทำข่าวดับไฟป่า ยังทำให้ดอกไม้เบ่งบานในใจของไห่เจาด้วย คล้ายกับว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนแล้ว ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบาน ผีเสื้อบินขวักไขว่ ภูตน้อยบินกันให้เต็มท้องทุ่ง~
“เสี่ยวซี คุณ—” เขามองเธอด้วยความรู้สึกเซอร์ไพร้ส์และกังวลเล็กน้อย หรือเขาจะแอบรักนานเกินไปเลยเกิดภาพลวงตา? คิดเข้าข้างตัวเอง หรือไม่ก็เข้าใจผิด?
“เรื่องในอนาคตก็ต้องพูดในอนาคต ทำตอนนี้ให้ดีก็พอแล้ว” อวี๋หมิงซีตอบกลับไห่เจา
ไห่เจาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ายังมีหวัง! ยิ้มตาหยีขึ้นมาทันที
พอนักข่าวไปกันหมดแล้วทั้งสองคนก็ขึ้นรถ ไห่เจาอยากถามบางอย่าง แต่เสี่ยวเชี่ยนอยู่ด้วยเลยรู้สึกว่าไม่เหมาะ เอามือถูกันอย่างร้อนใจ
“ทางนี้ไม่มีเรื่องที่พวกพี่ต้องทำแล้ว กลับไปก่อนเถอะ”
เสี่ยวเชี่ยนมองตาของทั้งสองคนอยู่ๆก็รู้สึกว่าที่ก่อนหน้านี้บอกว่ารักษาจะอวี๋หมิงซีให้หายอาจต้องใช้เวลาเกือบปี ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ ชีวิตคนเรานี่เปลี่ยนได้ทุกเมื่อจริงๆ ไฟป่าครั้งนี้เหมือนเป็นยาช่วยกระตุ้น ช่วยย่นระยะเวลาให้ไห่เจาได้เมียไวขึ้น
อย่างน้อยๆก็ช่วยให้เขาทรมานน้อยลงไปได้หลายเดือน อวี๋หมิงซีเห็นถึงความจริงใจของไห่เจาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ และก็ทำให้เธอคิดอะไรขึ้นมาได้ตอนที่ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย
“พี่เสี่ยวซี” ขณะที่ทั้งสองคนเตรียมลงจากรถเสี่ยวเชี่ยนก็เรียกอวี๋หมิงซี
“อะไรเหรอ?”
“สู้ๆ”
อวี๋หมิงซียิ้ม ครั้งนี้เธอยิ้มจากใจจริง
จากเป้าหมายที่เสี่ยวเชี่ยนพูดไว้ อีกไม่นานเธอก็น่าจะทำสำเร็จแล้วมั้ง
ดูเวลาตอนนี้ก็อยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว อวี๋หมิงซีหันไปพูดกับไห่เจา “ไปที่ๆนึงเป็นเพื่อนฉันได้ไหม?”
“ไปสิ!”
“ไม่ถามเหรอว่าไปไหน?” เสี่ยวเชี่ยนขัดจังหวะ ทำไงดีล่ะเนี่ย ยังไม่ทันจะอะไรเลยก็ยอมทำตัวเป็นทาสแล้ว
“เขาไปไหนก็ไปที่นั่นแหละ” รอมาตั้งหลายปีกว่าจะได้เห็นแสงแห่งความหวัง ไม่ว่าจะไปไหนเขายอมไปหมด
“จึ๊ๆ เห็นแล้วปวดฟัน รีบๆไปเลยไป เดี๋ยวจะเลยเวลาเข้าเยี่ยม ขึ้นทางด่วนเลยนะจะได้ไวหน่อย” เสี่ยวเชี่ยนเดาดูก็รู้ว่าอวี๋หมิงซีจะพาไห่เจาไปไหน
หากตอนนี้อยากเปิดเพลงประกอบให้ไห่เจา ก็ต้องเพลงนี้เลย จะภูเขาคมหอกหรือทะเลเพลิงก็ยอมสู้เพื่อเธอ ลูกศรเป็นหมื่นดอกพุ่งมาผมขอรับไว้เอง~ มาเลย มาเลย เวลาร้องต้องใส่อินเนอร์หนักๆด้วยนะ!
“เยี่ยมเหรอ?” ดูเหมือนไห่เจาจะจับคำสำคัญได้
“อืม ไปถึงแล้วนายจะรู้เอง”
ก่อนหน้านี้ไม่กล้า ตอนนี้อยู่ๆก็มีความกล้า อวี๋หมิงซีรู้สึกว่าเธอควรจะเผชิญหน้ากับปมในใจของตัวเอง เหมือนกับที่เธอกล้าเข้าไปประจันหน้ากับคนร้าย
หลังจากที่มนุษย์เจอกับความตื่นเต้น หวาดกลัว อะดรีนาลีนจะพุ่งสูง อย่างเช่นอวี๋หมิงซีในตอนนี้ อะดรีนาลีนในร่างกายให้ความกล้ากับเธอเป็นอย่างมาก เพียงพอที่จะทำให้เธอกล้าไปเผชิญเรื่องที่เธอหลบมาตลอด
ไห่เจาขับรถพาเธอไป จากตรงนี้ใช้เวลาขับรถไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเรือนจำ สามารถลากเส้นได้เป็นสามเหลี่ยมกับเมืองQและเมืองหลิน แต่ถ้าขับไปจากเมืองQจะไกลกว่า
ตลอดทางไห่เจาไม่ได้ถามว่าไปทำอะไร เขาขับรถไปได้สักพักก็หันหน้าไปถามอวี๋หมิงซีว่าเจ็บมือหรือเปล่า ต้องไปโรงพยาบาลไหม?
เอาแต่ถามเรื่องอื่น ไม่ได้ถามเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อไปถึงเรือนจำ ขั้นตอนก็เหมือนคราวก่อน อาจเป็นความบังเอิญอีกแล้วที่เจอเหตุการณ์ซ้ำกับครั้งก่อน มีการแสดงอีกแล้ว
“เรือนจำที่นี่มีการแสดงทุกวันเลยเหรอคะ?” อวี๋หมิงซีเซ็ง
กิจกรรมสร้างความบันเทิงให้นักโทษตอนนี้มีมากขนาดนี้เลย?
“ขอโทษด้วยครับ ก็เรือนจำของเราถูกยกย่องเป็นเรือนจำตัวอย่าง…อันที่จริงเมื่อวานเป็นการซ้อมใหญ่ วันนี้เป็นการแสดงอย่างเป็นทางการครับ” แม้แต่ผู้คุมก็ยังเป็นคนเดิม
เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ปกติในเรือนจำไม่ได้มีกิจกรรมแน่นขนาดนี้ อวี๋หมิงซีมาได้ถูกจังหวะพอดี
“งั้นเอาแบบนี้ ช่วยไปคุยกับหัวหน้าของคุณหน่อย ดูว่าจะให้ฉันร่วมแสดงสักเพลงได้ไหม? ฉันไม่ยุ่งกับนักโทษคนไหนแน่นอน แค่ร้องเพลงเดียวได้ไหมคะ?”
อวี๋หมิงซีคิดไว้เรียบร้อยแล้ว เธอไม่ต้องพูดคุยกับซุนเสีย ครั้งนี้เธอมาเพื่อจัดการกับตัวเองให้เด็ดขาด
เสี่ยวเชี่ยนพูดถูก อยากจะเดินออกมา ตัวเองก็ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับอดีต ถ้าเธอไม่กล้าแม้แต่จะเจอหน้า แล้วจะต้อนรับชีวิตใหม่ได้อย่างไร