ตอนที่ 3476 : ซูหลี่ลงสังเวียน
“ฉือหย่าชี”
คําตอบของจงกุ้ยอวี่ เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดไม่ฝันมาก่อนจริงๆ
เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยนาม ลือหย่าชี ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขาในวังเทียนฉือแห่งอู๋หยาเทียน
“เจ้าเป็นศิษย์ที่ครูพึ่งรับมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผ่านพลัง
นี่เขามีศิษย์น้องเล็กแล้วเหรอ?
อย่างไรก็ตามพอคิดดูอีกรอบต้วนหลิงเทียนก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย เพราะพลังฝีมือที่จงกุ้ยอวี่เผยออกมา เมื่อครู่ มันเหนือกว่าฉือหล่างของวังเทียนฉือหลายขุม
เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”
จงกุ้ยอวีก็เห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนกําลังเข้าใจผิด “ถึงแม้ข้าจะเป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่หญิงฉือหย่าชี แต่อาจารย์ของข้าก็ไม่ใช่บิดาของศิษย์พี่หญิงฉือหล่าง เป็นข้ากับศิษย์พี่หญิงกราบคนอื่นเป็นอาจารย์”
พอจงกุ้ยอกล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที
ในอดีต เขาเองก็ตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของฉือหย่าชีแต่แรก ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับนาง พลังฝีมือเรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าโหวเฟิงอวี่จ้าววังเทียนยอื้อเลยด้วยซ้ำ ถึงขั้นทําให้โหยวเฟิงอวี้หวาดกลัวอีกต่างหาก…และต้องทราบว่าโหยวเฟิงอวี่ จ้าววังเทียนฉือก็ถือว่าเป็นเทพสงคราม 6 ดาราคนหนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นเทพสงคราม 6 ดาราทั่วๆไป แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเทพสงคราม 6 ดารา ตัวตนที่ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราคนไหน ให้แข็งแกร่งเพียงไรก็สู้ไม่ได้!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า
ในตอนที่พบกันครั้งสุดท้าย พลังฝีมือของฉือหย่าชีอย่างน้อยก็ต้องบรรลุถึงเทพสงคราม 6 ดาราเป็นอย่างต่ำ
วันนี้ก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
จะว่าไปศิษย์พี่หญิง 3 กับศิษย์พี่ 6 เองก็เคยบอกไว้นานแล้ว ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่นั้นได้ออกจากวังเทียนฉือไปหลายปี แถมยังอยู่ฝึกปรือด้านนอกเป็นเวลานาน…ส่วนจะไปอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครรู้เป็นเรื่องลึกลับเรื่องหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนย้อนนึกถึงเรื่องที่เขาเคยได้ยินมาจากเหล่าศิษย์พี่สมัยยังอยู่ในวังเทียนฉือใต้ด่านของฉือหล่าง พอฉุกคิดดูวันนี้ ก็ทราบได้ไม่ยากว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขาคนนั้น สมควรไปกราบอาจารย์ด้านนอก
และเป็นไปได้อย่างมาก ว่าทั้งหมดเป็นเพราะกราบยอดฝีมือผู้นั้นเป็นอาจารย์ ถึงทําให้พลังฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นสูงจนเกินจริงในเวลาสั้นๆ
กระทั่งครูของเขา ฉือหล่าง บิดาบังเกิดเกลาของฉือหย่าชี ยังตกใจกับพลังฝีมือที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเกินจริงของลูกสาวด้วยซ้ำ!
เรื่องนี้เขารู้นานแล้ว
กล่าวอีกอย่างได้ว่า
แม้แต่ฉือหล่างเองก็ไม่รู้ ว่าลูกสาวของตัวเองไปกราบอาจารย์ยอดฝีมือด้านนอก
“อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ใดหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผ่านพลังออกไปโดยไม่รู้ตัว
พอจางกุ้ยอวได้ยิน ก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับทันที “ท่านอาจารย์ของพวกเราเป็นยอดฝีมือที่เร้นกายจากโลกหล้าคนหนึ่ง ถึงบอกไปเจ้าก็คงไม่รู้จักหรอก…เจ้ารู้แค่ว่าท่านอาจารย์ของพวกเรา เป็นยอดฝีมือที่บรรลุถึงขอบเขตเทพแล้วคนหนึ่งก็พอ”
บรรลุเทพ?
ถึงแม้วนหลิงเทียนจะพอคาดเดาได้แต่แรก ว่าผู้ที่มีความสามารถถึงขั้นชี้แนะฉือหย่าชีให้มีพลังฝีมือเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งทําให้จงกุ้ยอวี่มีพลังฝีมือระดับนี้ได้ทั้งที่อายุยังไม่ถึงพัน ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน…แต่พอได้ยินจงกุ้ยอวี่กล่าวบอกมาตามตรงใจเขาก็อดสั่นไปไม่ได้อยู่บ้าง
ที่แท้ศิษย์พี่หญิงใหญ่เขามีอาจารย์เป็นเทพจริงๆ
“ต้วนหลิงเทียน ข้าขอบอกเจ้าตามตรง ที่ข้ามาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ นอกจากผลอมตะหยวนปะทุแล้ว ก็มาเพราะเจ้านั่นล่ะ…”
จงกุ้ยอวี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ที่ข้ามาหาเจ้าก็ไม่ใช่อะไรหรอก ทั้งหมดก็แค่อยากเอาชนะเจ้าในศึกอัจฉริยะสวรรค์ให้ได้เท่านั้น เพื่อให้ศิษย์พี่หญิงรู้ว่า ศิษย์น้องที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง คือ ข้าจงกุ้ยอวี่! แม้ว่านางจะชมทั้งยกย่องเจ้าแค่ไหน เจ้าก็ไม่ได้เก่งไปกว่าข้า!”
ฟังจากคำพูดของจงกุ้ยอวี่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าฉือหย่าขี่ให้ความสําคัญกับเขามากแค่ไหน
ฟังจากที่จงกุ้ยอวี่พูดมา ดูท่าไม่พ้นต้องโดนศิษย์พี่หญิงใหญ่ยกเขาขึ้นมาข่มว่าเขาดีอย่างนู้นเก่งอย่างนี้แน่แท้ สิ่งนี้ทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้างเพราะทุกครั้งที่เขาเจอศิษย์พี่หญิงใหญ่ อีกฝ่ายมักปั้นหน้าดใส่เขาตลอด
คิดไม่ถึงจริงๆว่าลับหลังนางจะยกเขาขึ้นมาชมเชยและยกย่องเขาขนาดนี้
“ดูเหมือนศิษย์พี่หญิงใหญ่จะแข็งนอกอ่อนใน ปากร้ายใจดีจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“ข้าพร้อมรับคําชี้แนะทุกเมื่อ
เผชิญกับการท้าทายของจงกุ้ยอวี่ ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มตอบด้วยความยินดี เขาไม่ได้หวั่นเกรงอะไรแม้แต่นิดเดียวแม้จะรู้ว่าจงกุ้ยอวี่เป็นเทพสงคราม 5 ดารา
เนื่องจากมีการประลองระหว่างจงกุ้ยอวี่กับเมิ่งฝานกุ้ย ทําให้การประลองอีก 4 คู่ ถึงแม้จะไม่เลว แต่ก็แลดูจืดชืดไร้รสชาติอยู่บ้าง สิ่งนี้ก็ช่วยไม่ได้เพราะตัวเปรียบเทียบมันยอดเยี่ยมเกินไป เช่นนั้นถึงแม้หลายคนจะชมดูการประลองอีก 4 คู่ที่เหลือ ก็แค่ดูผ่านๆ และปากยังเอาแต่สนทนากันถึงเรื่องการประมอระหว่างจงกุ้ยอวี่และเมิ่งฝานกุ้ยไม่หยุด
กระทั่งมีอัจฉริยะอีก 10 คนชุดใหม่ขึ้นไปประลอง ก็ยังไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก
ในบรรดาพวกมัน ถึงแม้จะมีบางคนสําแดงพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 3 ดาราออกมา แต่ในเมื่อเห็นฉากการลงมือด้วยพลังอันน่ากลัวของจงกุ้ยอวีและเมิ่งฝานกุ้ยที่เป็นเทพสงคราม 5 ดารากับ 4 ดาราไปแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรจากดูมวยรุ่นใหญ่ แล้วมาดูเด็กน้อยทะเลาะกัน
จนเมื่อถึงคราวที่ซูหลี่ต้องขึ้นสังเวียนประลอง ค่อยดึงความสนใจของผู้คนได้บ้าง
ถึงแม้พลังฝีมือของซูหลี่ที่เปิดเผยออกมาจนถึงตอนนี้จะเป็นแค่เทพสงคราม 2 ดาราเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ซูหลี่ก็เป็นอัจฉริยะที่มีอายุแค่ 600 ปีเศษ จนเป็นอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุด 2 อันดับแรก จึงเสมือนมีรัศมีเจิดจ้าเปล่งประกายเหนือศีรษะซูหลี่อย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าอัจฉริยะอายุน้อยอีกคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนเอง
“ไม่คิดเลยว่าในบรรดาพวกเรา ข้าจะเป็นคนแรกที่ลงสังเวียน”
ซูหลี่คลี่ยิ้ม จากนั้นชุดคลุมก็สะบัดเล็กน้อย คนดีดตัวขึ้นจากอัฒจันทร์ที่นั่งก่อนที่ใต้ฝ่าเท้าจะปรากฏแสงกระบี่เล่มหนึ่ง พาร่างท่องทะยานลงสู่สังเวียนอย่างมีเอกลักษณ์
“อะไร!? คู่ต่อสู้ของซูหลี่คือ ทั่วป๋าผิง งั้นรึ?!”
เมื่อทุกคนให้ความสนใจกับซูหลี่ พวกมันจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับชื่อคู่ประลองของซูหลี่สัก เท่าไหร่ เพราะชื่อซูหลื่นั้นน่าสนใจมากกว่า ใครบ้างจะไม่สนใจอัจฉริยะที่มีอายุได้ 600 ปีเศษแต่ กล้าเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์แถมพลังฝีมือสมควรเป็นเทพสงคราม 2 ดาราขึ้นไปบ้างเล่า?
สิ่งนี้นับว่าสามารถบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้เลย!
จนเมื่อทุกคนสังเกตเห็นชื่อคู่ต่อสู้ของซูหลี่ ก็มีหลายคนอดอุทานออกมาไม่ได้ เห็นได้ชัด ว่าอัจฉริยะทั้งหลายรู้จักคนที่ชื่อ ทั่วป๋าผิงกันดี!
“ทั่วป๋าผิง อัจฉริยะอันดับ 1 ของตระกูลทั่วป๋าแห่งเหิงโย่วเทียนลือกันว่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อน พลังฝีมือมันก็เทียบได้กับเทพสงคราม 3 ดาราแล้ว ตอนนี้ไม่พ้นต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่!”
“ทั่วป๋าผิงนั่น ข้าเกรงว่าตอนนี้พลังฝีมือมันสมควรเทียบได้กับชนชั้นยอดฝีมือของเทพสงคราม 3 ดาราแล้วล่ะ!”
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าการประลองนัดแรกของซูหลี่กลับต้องมาพบเจอกับทั่วป๋าผิงเข้าให้…คนของวิหารเฟิงฮ่าวจับคู่ประลองแบบนี้ ไม่กลัวถูกผู้คนก่นด่าหรือไร? ทั่วป๋าผิงไม่ใช่ชนชั้นไร้ชื่อเสียงเรียงนาม พวกมันเองก็สมควรรู้พลังฝีมือของทั่วป๋าผิงดี!”
“พวกมันย่อมรู้ถึงพลังฝีมือของทั่วป๋าผิงแน่นอน กระทั่งข้อมูลของทั่วป๋าผิงเองพวกมันยังลงไว้ดิบดีว่ามีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 3 ดาราขึ้นไป…”
“ไอ้พวกวิหารเฟิงฮาวนั่น เห็นได้ชัดว่าจงใจทําให้ซูหลี่แพ้!”
“มารดามันเถอะ ซูหลื่อย่างไรก็พึ่งอายุได้ 600 ปีเศษ แต่พวกล่อจัดให้ปะทะกับทั่วป๋าผิงเนี่ยนะ! หากสิ่งนี้ไม่เรียกรังแกผู้คน แล้วสิ่งไหนจึงเรียกว่ารังแกผู้คน?”
ในขณะที่หลี่มีสีหน้าสงบไม่นําพาแม้จะรู้ว่าต้องประลองกับทั่วป๋าผิง ก็มีอัจฉริยะมากมายหลายคนบนอัฒจันทร์เริ่มโวยวายหมายหาความเป็นธรรมให้ซูหลี่ เพราะทั้งหมดรู้สึกว่าการจับคู่ประลองของวิหารเฟิงฮ่าวมันกลั่นแกล้งซูหลีเกินไป
“ซูหลี่”
ทั่วป๋าผิง มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มรูปหล่อ มาในชุดคลุมาวสีฟ้าขอบเงิน ใบหน้าหล่อเหลาแลดูมากอัธยาศัย พอมาถึงสังเวียน ก็ส่งยิ้มให้ซูหลี่พลางกล่าว “การประลองครั้งนี้ถึงแม้เป็นข้าที่เอาเปรียบเจ้าเรื่องอายุ แต่ถ้าข้าไม่มีเปรียบเรื่องนี้ ข้าคงไม่กล้าพูดว่าจะเอาชนะเจ้าได้”
“ตอนข้าอายุเท่าเจ้า ข้ายังไม่ได้เป็นแม้แต่จักรพรรดิอมตะสมญานามด้วยซ้ำ…”
กล่าวถึงประโยคท้าย ทั่วป๋าผิง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเตือหนึ่ง
“ชนะ?”
ซูหลี่คลี่ยิ้มเฉยเมย “คิดเอาชนะข้า…ไม่ง่ายนักหรอก”
“หืม เช่นนั้นรึ?”
สองตาทั่วป๋าผิงลุกวาวขึ้นมาทันที “ซูหลี่ ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในตัวเองไม่น้อยเช่นนั้น เพื่อเป็นการให้ความเคารพแก่เจ้า ข้าจะลงมือเต็มกําลัง”
“เชิญเถอะ”
ซูหลี่พยักหน้า จากนั้นร่างคนก็ลอยขึ้นไป แสงกระบี่ใต้ฝ่าเท้ายังเริ่มควบแน่นมีสภาพ ชุดคลุมเริ่มโบกสะบัด สภาวะร่างให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับเซียนกระบี่หนุ่มผู้สง่างาม แลดูน่าเกรงขามทั้งแหลมคมอันตรายไม่น้อย
“รับมือ!”
ทั่วป๋าผิงก็ไม่พูดพร่ำทําเพลง หลังโพล่งคําพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดก็ปะทุระเบิดออกมาพุ่งพล่าน จากนั้นทั่ววร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง จนคนคล้ายกลับกลายเป็นมนุษย์ทองคํา!
และทั่วผิวกายของมัน ก็ปรากฎพลังแสงสีทองควบแน่นก่อเกิดขึ้นมาฉาบเคลือบเอาไว้ทําให้คนกลายเป็นมนุษย์ทองคําไปแล้วจริงๆ!
กฎทอง ความลึกซึ้ง กายาทองคํา
“เจ้าใช้กระบี่ พอดีข้าก็ใช้กระบี่ด้วยเช่นนั้นวันนี้ข้าจะใช้กระบี่ในมือข้าสยบกระบี่ในมือ เจ้า!”
ถึงแม้ซูหลี่จะยังไม่ได้นําศาสตราอมตะคู่กายออกมา แต่ทั่วป๋าผิงก็รู้ได้ทันทีว่าซูหลี่เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง พอมันสะบัดมือเบาๆก็ปรากฎกระบี่สีมรกตขึ้นจากความว่างเปล่า ตัวกระบี่หมุนคว้างกลางหาวส่องประกายระยับปานผิวสระกระจ่างยามสารท!
มองปราดเดียวก็บอกได้ทันที ว่ากระบี่เล่มนี้ของมันไม่ธรรมดา
“เทพสงคราม 3 ดารารึ”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ที่นั่งประจํา ชมมองมือกระบี่ 2 คนที่กําลังเผชิญหน้ากันก็หยีตาลงเล็กน้อย “ทั่วป๋าผิงคนนี้นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับซูหลีจริงๆ”
ถึงแม้ในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนยังไม่เห็นซูหลี่ลงมือจริงจังเลยสักครั้ง
อย่างไรก็ตาม พินิจจากคําพูดของซูหลีก่อนหน้าเรื่องไม่แน่ใจว่าจะติดอยู่ใน 30 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้หรือไม่ เขาก็พอเดาได้ว่าพลังฝีมือของซุหลี่อาจจะยังไม่ถึงระดับเทพสงคราม 4 ดารา หาไม่แล้วคงไม่พูดแบบนั้นออกมา
เพราะจากศึกอัจฉริยะสวรรค์ในอดีต ตราบใดที่บรรลุถึงระดับเทพสงคราม 4 ดารา เช่นนั้น 8-9 ใน 10 ส่วนต้องติดอยู่ใน 30 อันดับแรกได้แน่นอน
แน่นอนว่ายังมีบางครั้งที่ศึกอัจฉริยะสวรรค์มีอัจฉริยะอันร้ายกาจมาเข้าร่วมมากมาย ถึงขั้นที่เทพสงคราม 4 ดาราที่อ่อนแอหน่อยยังไม่อาจติดอยู่ใน 30 อันดับแรกได้
ทว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์เช่นนั้น หาดูได้ยากนัก
ส่วนใหญ่แล้วจากสถิติของศึกอัจฉริยะสวรรค์ ขอเพียงพลังฝีมือเทียบได้กับเทพสงคราม 4 ดารา ก็เพียงพอจะเข้าสู่ 30 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้ไม่ยากเย็น
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกําลังเหม่อคิดอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงกระบี่ดังขึ้นเข้าหู
พอมองจ้องไปยังต้นเสียง เขาก็พบว่าตอนนี้รอบกายซูหลี่ถูกปกคลุมไปกระบี่พลังไร้สภาพปานห่าพิรุณ แถมห่าพิรุณกระบี่ดังกล่าวบัดนี้ยังพุ่งฉับไวราวลําแสงไล่ต้อนซูหลี่ไม่เลิกรา!
ตอนนี้ขอเพียงสายตาดีหน่อย ก็สามารถมองเห็นร่างซูหลี่วูบไปวูบมาท่ามกลางห่าพิรุณลําแสงกระบี่ได้อยู่
และห่าพิรุณลําแสงกระบี่นั่น ยิ่งมาก็ยิ่งกระชับพื้นที่ เห็นได้ชัดว่าคิดจะล้อมกรอบซูหลีให้จงได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่วงล้อมกระบี่กําลังจะปิดทางซูหลีได้หมดแล้วนั้นเอง อยู่ตซูหลี่ก็หยีตาลง คนลงมือเคลื่อนไหวฉับไวปานสายฟ้า!
ฟับบบ!!
เสียงหอนของกระบี่แหวกอากาศฉับไวเสียจนดังสนั่นปานจะสะท้านฟ้า ดังกลบเสียงห่าพิรุณลําแสงกระบี่เสียมิด! เป็นซูหลี่ที่บัดนี้ทั่วร่างปรากฏแสงสีแดงปานโลหิตคลุมกาย จนคนคล้ายกระบี่เล่มเขื่องเล่มหนึ่ง พุ่งทะลวงฝ่าวงล้อมพิรุณลําแสงกระบอย่างไร้ครั่นคร้าม!
เจตนากระบี่อันคมกล้าปานจะทําลายได้ทุกสิ่งกวาดสะท้านไปทั่วสารทิศ