ก้นทะเลลึก

ดาบเสียงคลื่นปักอยู่หลังกู่ฉิงซานอย่างเงียบงันขณะทำให้พื้นแห้งและเย็น

กู่ฉิงซานปลดปล่อยเปลวเพลิงอันร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง อุณหภูมิของเปลวเพลิงนี้เริ่มค่อยๆ บิดเบือนความว่างเปล่า

ที่รอยต่อของความว่างเปล่าและทะเล ไอน้ำสีขาวเริ่มปรากฏขึ้นเป็นกลุ่ม

แม้แต่เส้นผมของกู่ฉิงซานก็เริ่มขดตัวเล็กน้อย

ดาบเสียงคลื่นส่งเสียงหึ่งอย่างวิตกกังวล

มันมองออกว่าเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงนี้กำลังพยายามกัดกร่อนร่างกายของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ แต่มั่นคง

ภายใต้การควบคุม กระแสน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้าสู่พื้นที่นี้จากทะเลลึกก่อนราดใส่กู่ฉิงซาน

แต่ก่อนที่กระแสน้ำจะมาถึง มันระเหยก่อนสลายไปเพราะอุณหภูมิที่สูงยิ่ง

ดาบเสียงคลื่นกรีดร้องขณะหันไปมาอย่างร้อนรน

ตอนนี้ กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น

‘ฟรึ่บ’

เพียงพริบตา เปลวเพลิงที่ปกคลุมเขาเอาไว้มอดดับจนสิ้น

“ขอโทษที ข้าทำให้เป็นห่วงสินะ”

กู่ฉิงซานขอโทษ

เมื่อวิญญาณกลับเข้าร่างเมื่อครู่ เขาได้ยินเสียงโหยหวนของดาบเสียงคลื่น

ดาบเสียงคลื่นยินดียิ่งขณะบินไปรอบตัวเขาซ้ำไปมา

“อย่าห่วงไปเลย ข้าเอาชนะภัยพิบัติได้สำเร็จแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

เขามองหน้าต่างต้นเพลิง

เขาเห็นตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ภัยพิบัติลมและไฟสิ้นสุดลงแล้ว”

“ท่านกลายเป็นนักพรตระดับแสวงโลกาแล้ว”

“ภารกิจระดับสูงเสร็จสิ้น”

“พลังวิญญาณที่จำเป็นต่อการก้าวหน้าครั้งต่อไปเจ็ดแสนแต้ม”

“พลังวิญญาณตอนนี้สามแสนหนึ่งหมื่นแต้ม”

“ระบบจะปรับเปลี่ยนสั้นๆ และปิดฟังก์ชันทั้งหมดชั่วคราวเพื่อสลับไปโหมดวิวัฒนาการ”

สัญลักษณ์โลหิตขนาดเล็กทั้งหมดหายไป

กู่ฉิงซานพลันกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน!”

เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

กู่ฉิงซานถามว่า “ทำไมเจ้าไม่มีพลังเหนือธรรมชาติในขั้นสูงล่ะ”

แถวตัวอักษรสีโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าต่างต้นเพลิง

“บัญญัตินี้ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติสำหรับนักพรตมนุษย์”

“ตอนนี้พวกเรากำลังเข้าช่วงปรับเปลี่ยน ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้น โปรดรอให้ระบบปรับให้เสร็จสิ้นก่อนทำการติดต่อสื่อสาร”

หน้าต่างต้นเพลิงหายไปจากสายตาของกู่ฉิงซาน

มันเริ่มเตรียมวิวัฒนาการ

กู่ฉิงซานครวญคราง เทียบกับหน้าต่างเทพสงครามกับบัญญัติต้นเพลิงนี้แล้ว

หากมองเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ หน้าต่างเทพสงครามนับว่าทรงพลัง

ยิ่งกว่านั้น ฟังก์ชันของเทพสงคราม ภารกิจของเทพสงครามและสกิลของเทพสงครามล้วนสามารถช่วยนักพรตต่อสู้ได้ดีกว่า

ทันทีที่ต้นเพลิงวิวัฒนาสู่จุดกำเนิด มันจะสามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณให้เทพมารทรงพลังเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้

พูดกันตามตรง นี่ยังเป็นวัตถุแปลกปลอมอยู่ดี

ทว่า ความปรารถนาของต้นเพลิงในด้านพลังวิญญาณกลับมีมากกว่าหน้าต่างเทพสงคราม

แทบจะทันทีที่พลังวิญญาณปรากฏขึ้น มันจะหาทางเอามาอยู่ในมือ

กู่ฉิงซานส่ายหน้าและกำลังจะออกมา แต่เขาเห็นการ์ดใบหนึ่งทะยานออกมาอยู่ตรงหน้า

การ์ดสีมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”

นี่คือการ์ดเทพของตัวเอง

เขาเห็นการ์ดสามใบปรากฏขึ้นตรงหน้า

“หลั่งโลหิต” “หอกปีศาจแดง” “เกราะศึกหมอกดำ”

ท่ามกลางความมืด ความรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจของกู่ฉิงซาน

ด้วยความก้าวหน้าของเขา ไม่ว่าจะมีบัญญัติหรือไม่ เขาก็ได้จั่วการ์ดใบใหม่แล้ว

การจั่วครั้งนี้เป็นแบบสุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตจากกองการ์ดเชื่อมั่นได้เป็นการ์ดอะไร

กู่ฉิงซานไม่คิดให้มากความขณะยื่นมือไปจั่วแบบสุ่มในความว่างเปล่า

ฉับพลันนั้นมีการ์ดใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือ

ชุดเครื่องมือหลอมถูกดึงมาอยู่ตรงหน้าการ์ด มีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ด้านล่าง ทั้งชื่อและฟังก์ชันการ์ดถูกเขียนเอาไว้

“ยุทธปัจจัย…ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ”

“เมื่อท่านใช้การ์ดใบนี้ ท่านจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับฟังก์ชันหนึ่งของเกราะได้”

กู่ฉิงซานไม่ลังเล ตามวิธีที่เสี่ยวซีเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ เขาวางการ์ดใบนี้ลงบนการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ”

“ใช้งาน!” กู่ฉิงซานกล่าว

การ์ด “ชุดเครื่องมือสำหรับช่างเกราะ” พลันส่องแสงเจิดจ้า

มันค่อยๆ หลอมรวมกับการ์ด “ชุดเกราะศึกหมอกดำ” ก่อนหายไป

ไม่ช้า ในพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่างการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ข้อความบรรยายฟังก์ชันหนึ่งได้เปลี่ยนไป

“เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสามขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”

กู่ฉิงซานยินดี

ก่อนหน้านี้คือสูงกว่าสองขั้น แต่ตอนนี้กลายเป็นสามขั้นแล้ว

หากไล่ระดับพลังตอนนี้ มีระดับวงแหวนนภา ระดับสามพันโลกและระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าระดับแสวงโลกา กล่าวได้ว่า หากอยากซ่อนตัว มีเพียงศัตรูระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถตรวจจับเขาได้

นี่นับว่าดีทีเดียว

ถ้ารอให้ตัวเองก้าวเข้าสู่ระดับวงแหวนนภาแล้วใช้ยาเม็ดพัฒนาก็จะก้าวเข้าสู่ระดับสามพันโลก ถ้าอยากค้นพบตัวเองก็ต้องเป็นคนแข็งแกร่งในระดับราชาแห่งโลกอิสรภาพ

มันควรค่าแก่การเป็นเกราะศึกของมาร!

เขาถือการ์ด “เกราะศึกหมอกดำ” ในมือเอาไว้ด้วยอาการสั่นไหวเล็กน้อย

ฉับพลันนั้นเอง ชุดเกราะแผ่หมอกสีดำออกมาก่อนทำการสวมใส่

ทุกสิ่งเสร็จสิ้น

ตอนนี้ถึงเวลากลับเรือแล้ว

“ดาบเสียงคลื่น ไปกันเถอะ”

‘วิ้ง’

สถานที่ก้าวข้ามภัยพิบัติอยู่ไกลจากเรือมาก นั่นก็คือใต้ทะเลลึกหนึ่งล้านเมตร

กู่ฉิงซานเหาะอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว

ขณะพุ่งอย่างสุดกำลัง เขากวัดแกว่งดาบในความว่างเปล่าดังใจนึก

เขาเห็นว่าความว่างเปล่าทั้งหมดถูกฟันแยกออกในครั้งเดียว เผยให้เห็นการไหลอันปั่นป่วนของหมอกและความว่างเปล่าอันโกลาหล

กู่ฉิงซานลอบพยักหน้า

สิ่งที่เรียกว่าเก้าสิบแสวงโลกาสามารถตัดผ่านเก้าสิบชั้นของโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งวัตถุแปลกปลอมและตามหลอกหลอนได้เท่าที่ต้องการ

น่าเสียดายที่เขาอยู่ในภาพซ้อนทับของยุคโบราณ

ตอนเผ่าพันธุ์เทพเลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเพื่อสร้างโลกขึ้นมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบโดยเผ่าพันธุ์บรรพกาล พวกเขาจงใจวางโลกเหล่านั้นให้ไกลจากสวรรค์ดึกดำบรรพ์กับโลกมารดึกดำบรรพ์

ดังนั้นเมื่อกู่ฉิงซานเผยความว่างเปล่าออกมา สิ่งที่ปรากฏจึงเป็นกระแสอันโกลาหล ไม่มีโลกปรากฏตรงหน้ากู่ฉิงซาน

เวลาผ่านไป

ในที่สุดกู่ฉิงซานมาถึงทะเลใกล้เรือยักษ์

เขาเริ่มจากจับอาหารทะเล ย้ายตำแหน่งไปทางเรือยักษ์อย่างช้าๆ ท้ายที่สุดกระโดดกลับขึ้นเรือ

พวกมารจำตัวตนของเขาได้ทันทีจึงไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด

พวกมารทักทายเขาก่อนที่เขาจะทักทาย

ยังไงเสีย กู่ฉิงซานก็ใช้เวลาไปกลับนานกว่าหนึ่งชั่วโมง

พวกมารบางตนมีความอยากอาหารที่น่าทึ่ง พวกมันไปทะเลก่อนกู่ฉิงซาน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

กู่ฉิงซานลอบยินดีเช่นกัน

โชคดีที่จื้อลัวเตรียมการไว้เพื่อช่วยเขาในการผ่านภัยพิบัติในโลกอิสรภาพ

จื้อลัว…

กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ

ฉับพลันนั้นเอง เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา

“เป็นอะไรหรือ สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย”

กู่ฉิงซานตอบสนอง

นี่คือการสื่อสารวิญญาณของจ้าวแห่งความเงียบ

เพราะคราวที่แล้วพวกเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ความสัมพันธ์จึงเปลี่ยนไปจากคนแปลกหน้าเป็นคนรู้จักที่พยักหน้าทักทายกัน บางครั้งก็ได้สนทนากันหลายประโยคอีกด้วย

เขากำลังจะเงยหน้า แต่เสียงของจ้าวแห่งความเงียบดังขึ้นอีกครั้ง “อย่ามองข้า เดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจผู้อื่นเอาเปล่าๆ ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดจากอีกฝ่าย

“จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปล่อยเรือลำเล็กแล้วออกจากที่นี่ไปพร้อมกับสหายส่วนหนึ่ง”

“ว่าไงนะ! ตอนนี้อยู่ไหน”

“หัวเรือ”

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพขณะกวาดมองไปข้างหน้า

เขาเห็นว่าที่หัวเรือมีการคุ้มกันแน่นหนา มารสองตนปลดปล่อยวิชาวิเศษเพื่อคุ้มกันที่นี่เอาไว้อย่างสมบูรณ์

อารักขามารของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกำลังคุ้มกันที่นี่ ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นที่นี่

ทว่าในช่วงไม่กี่วันมานี้ เรือทั้งลำเข้าสู่สภาพตื่นตัว มีการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้งมาจากใต้บัญชาของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่มีมารตนอื่นสามารถเข้าใกล้หรือสอดแนมได้

ดังนั้น พวกมารจึงตื่นตัวอย่างเข้มงวดเช่นกัน ไม่มีมารตนไหนกล้ายั่วยุจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งหรือพยายามที่จะหาทางตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงทางหัวเรือ

เกรงว่าจ้าวแห่งความเงียบจะใช้วิธีพิเศษจนตรวจจับเรื่องราวนี้ได้

“เจ้ามองเห็นอะไร เจ้าคิดยังไงกับสิ่งที่เห็น” กู่ฉิงซานถาม

เสียงของจ้าวแห่งความเงียบไม่ดัง

ผ่านไปสักพัก นางส่งกระแสจิตตอบกลับมาว่า “จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งขึ้นเรือแล้ว ดูท่ากำลังเตรียมตัวจะไป”

“เจ้าตามไปดูได้หรือไม่” กู่ฉิงซานถาม

“จะเป็นไปได้อย่างไร” จ้าวแห่งความเงียบกล่าวพร้อมกับยิ้มแห้ง “ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วตอนที่ดูจากไกลๆ หากเอนตัวนิดเดียว ข้าถูกจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งสังเกตเห็นแน่นอน”

กู่ฉิงซานเงียบ

ใช่แล้ว จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งคือราชามารที่แข็งแกร่งที่สุด เขาต้องตื่นตัวและระแวดระวังมากเวลาลงมือ

ตอนนี้เขาทิ้งพวกมารไว้ที่เมือง เขาคิดจะทำอะไรกันแน่

แล้วเขาจะกลับมาหรือเปล่า

ไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าสืบด้วย

จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งต้องเตรียมการมานาน มารทุกตนจะถูกจับได้ทันทีที่เข้าใกล้

กู่ฉิงซานใคร่ครวญอยู่หลายอึดใจ

ด้วยพละกำลังของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาบนเรือมากนักถ้าอยากจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมา

เว้นแต่ว่าเขาจะออกเดินทางไกลหรือไม่ก็วางแผนที่จะไปจากเรือลำนี้

“เจ้าเห็นธิดาสองตนของเขาหรือเปล่า” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

“เห็น พวกนางขึ้นเรือไปก่อน ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้มันผิดปกติ ข้าก็เลยมาคุยกับเจ้า” จ้าวแห่งความเงียบตอบ

หัวใจของกู่ฉิงซานดิ่งวูบ

แม้กระทั่งธิดาสองตนก็อยู่บนเรือ จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งอาจจะไม่กลับมาที่เรือยักษ์ลำนี้ก็ได้

ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

กู่ฉิงซานคร่ำครวญก่อนพลันตบถุงเก็บของ

จี้น้ำเต้าหยกพุ่งออกมจากถุงเก็บของ

‘ฟิ่ว’

มันคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าๆ น้ำเสียงดูเกียจคร้าน

“อย่าเพิ่งนอน ข้าเตรียมพลังวิญญาณไว้ให้เจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

จี้น้ำเต้าหยกกระตือรือร้นทันที

‘ฟิ่วๆ’

“เรื่องจริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหากับข้าอยู่”

‘ฟิ่ว ฟิ่วๆ!’

“เจ้าไปที่หัวเรือ ตามเรือที่เพิ่งออกไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นกลับมาบอกข้า”

‘ฟิ่ว’

จี้น้ำเต้าหยกตอบรับ

เขาเห็นแสงสีขาววูบไหว มันหายไปต่อหน้ากู่ฉิงซาน

มันเหาะไปทางหัวเรือ แต่ไม่มีมารตามทางตนไหนทราบถึงตัวตนของมัน

มีเพียงกู่ฉิงซานที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ใช่แล้ว มีเพียงจี้หยกเหวยจุนที่มีพลังวิเศษ “หยกไร้ข้อบกพร่อง” เท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ต้องห่วงเรื่องจะถูกพบโดยจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง แค่ตามไปสืบก็พอ

“จ้าวแห่งความเงียบ ขอบคุณที่แจ้งข่าวนะ”

กู่ฉิงซานกล่าว

เมื่อครู่เขาเพิ่งก้าวข้ามภัยพิบัติไป ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือ

โชคยังดี จ้าวแห่งความเงียบทราบข่าว ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะพลาดเหตุการณ์นี้โดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้ารู้สึกถึงไอเย็นเยือกจากเหตุการณ์นี้ มันกำลังปกคลุมตัวข้า” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่กลับไปโลกมารของตัวเองล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ข้าทำสัญญากับจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแล้ว ข้าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ” จ้าวแห่งความเงียบกล่าว

กู่ฉิงซานจมสู่ความเงียบ

เขาปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมเสมอ

อีกฝ่ายจ่ายชีวิตเพื่อช่วยดาบ

จากนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เขาต้องช่วยอีกฝ่ายในทะเล

นี่คือสิ่งที่ยุติธรรม เขาเต็มใจที่จะตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ

แต่ก็นั่นแหละ

ตอนนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกถึงจิตสังหารจนพูดไม่ออกเช่นกัน

เหมือนกับลางร้ายแห่งความตายที่เขาเคยเผชิญก่อนออกไปที่ทะเล ตอนนี้ทุกสิ่งมันช่างแปลกประหลาด

ถ้าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีแผนอื่นจริงก็น่าจะบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกสิ

จากนั้น กู่ฉิงซานก็ไม่ปฏิบัติตามหลักการแลกเปลี่ยนอีกต่อไป