ตอนที่ 374 ความรู้สึกลึกซึ้งทำให้ไหวหวั่น

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

พลังของการก้าวขึ้นมาเป็นระดับราชานั้นกลับร้ายกาจเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาก้าวขึ้นไปเป็นระดับจักรพรรดิเสียอีก เจ้าเด็กผู้นี้ช่างประหลาดเหลือเกิน  หรือว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะโลกสะพรึง หากแนะนำเขาแก่ท่านอาจารย์  ท่านอาจารย์อาจจะดีใจเป็นอย่างมากก็ได้

การแย่งชิงอำนาจกันระหว่างผู้อาวุโสในหุบเขาหมอเทวดานั้นช่างร้ายแรง พลังของศิษย์พี่ทั้งหลายของพวกเขาไม่อาจเทียบกับผู้อาวุโสที่หนึ่งและผู้อาวุโสที่สองของพวกเขาได้เลย

โชคดีที่ในครั้งนี้ ท่านอาจารย์ของเขาได้รับหน้าที่ในการค้นห้าหม้อเทพนิรันดร์ ขอแค่เพียงสำเร็จลุล่วงก็จะได้ผลงานใหญ่ ตำแหน่งของท่านอาจารย์ของพวกเขาในหุบเขาหมอเทวดานั้น จะต้องแซงหน้าผู้อาวุโสที่หนึ่งและสองไปอย่างแน่นอน

เช่นนั้นแล้วภารกิจครั้งนี้จะต้องทำให้สำเร็จ และหากเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้มีค่าเพียงพอแก่การใช้งานก็ไม่เลวเลย

ไปเหรินต้องการที่จะไปดู ‘มู่ซี’ ที่ห้องเสียหน่อย แต่กลับถูกเสี่ยวหงขวางเอาไว้

“นายท่านของข้ากำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ หากผู้ใดกล้าไปรบกวน ข้าจะเผามันผู้นั้นเสียให้ตาย”

มุมปากไป๋เหรินกระตุกเล็กน้อย สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของมู่เฉียนซียโสโอหังเหมือนกับผู้เป็นนายของมันมิมีผิดเพี้ยน

เมื่อต้องเผชิญกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามตัวหนึ่ง ไป๋เหรินไม่มีหนทางต่อกรมากนัก เขากล่าวขึ้น “เช่นนั้นข้ารอเขาบำเพ็ญจนเสร็จอยู่ที่ด้านนอกนี้แล้วกัน”

“อืม เช่นนั้นเจ้าก็รออยู่ดี ๆ” เสี่ยวหงกล่าวอย่างเกียจคร้าน

อารมณ์ของเสี่ยวหงนั้นทำให้ไป๋เหรินโกรธจนแทบกระอักเลือด

มู่เฉียนซีที่บำเพ็ญอยู่ด้านในห้องพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งครา ในที่สุดนางก็เลื่อนขั้นสำเร็จ ในขณะที่เลื่อนขั้นเป็นราชาแห่งภูตระดับหนึ่ง นางก็ได้เลื่อนขั้นเป็นราชายอดยุทธ์ควบคู่ไปด้วย

นางเข้าใกล้กับเป้าหมายที่ท่านอาเล็กได้ขอกับนางไว้เข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว  คิดว่าวันที่จะได้เป็นจักรพรรดิระดับเก้านั้นคงอยู่ไม่ไกลมากนัก

จังหวะนั้นเอง เงาร่างสีดำปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซีและมองมู่เฉียนซี มุมปากนั้นกองกันที่ด้านหนึ่งเป็นรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ

“ไม่เลว”

เขาเฝ้ามองนางอยู่ตลอด ตั้งแต่ตอนที่นางยังไม่ได้ฝึกบำเพ็ญสักเท่าไร จนกระทั่งได้บรรลุขั้นราชา เวลาที่ได้ใช้ไปนั้นไม่ถึงครึ่งปี ศาลาเลือนรางเก้าชั้นไม่ใช่สิ่งของวิเศษใดที่ช่วยนางในการฝึกฝนบำเพ็ญ นอกจากให้เคล็ดวิชากับนาง ก็ไม่เคยช่วยเหลืออะไรนางแม้แต่น้อย

นางพึ่งพิงความพยายามของตนเอง และวิชาปรุงยาที่ทรงพลัง จึงได้ก้าวมาทีละก้าวจนกระทั่งถึงวันนี้

ความรวดเร็วในการฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้ที่อยู่เบื้องล่างผู้นั้นเลย แม้แต่ผู้ที่อยู่เบื้องบนหรือแม้แต่ในแดนต้องขัง ก็มีน้อยคนที่จะมีความสามารถอย่างเช่นที่นางมี

มู่เฉียนซียิ้ม  กล่าวว่า “ข้าได้เลื่อนระดับขั้นไปเป็นราชาแห่งภูตแล้ว เจ้าว่าเมื่อเทียบกับเจ้า ข้ายังห่างชั้นกับเจ้าอีกเท่าไรรึ ?”

แม้ในตอนนี้ มู่เฉียนซีกำลังรู้สึกภาคภูมิใจระคนสุขใจ ทว่าจิ่วเยี่ยก็ยังคงสาดน้ำเย็นใส่นางอยู่เช่นเคย “ซี ถ้าหากว่าเจ้ารักษาความเร็วในการฝึกเช่นนี้เอาไว้ หนึ่งร้อยปีก็น่าจะตามข้าได้ทัน”

นี่เป็นการคาดการณ์ในสถานการณ์ที่ในหนึ่งร้อยปีนี้ ตัวของเขาไม่สามารถปลดคำสาปได้ และพลังความสามารถของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นไปกว่าเดิม

มู่เฉียนซีตะลึงงัน “ว่าอย่างไรนะ! หนึ่งร้อยปีเลยเชียวรึ ?”

ระยะเวลานี้นานเกินไปแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “จิ่วเยี่ย เจ้าอย่าได้ดูแคลนข้านัก มันไม่นานเช่นนั้นแน่นอน เจ้าคอยก่อนเถอะ”

แต่ไหนแต่ไรมา เขานั้นไม่เคยที่จะดูแคลนนาง เพียงแต่ความห่างชั้นกันนั้น มันช่างมากมายเสียเหลือเกิน จิ่วเยี่ยพยักหน้า กล่าวว่า “อืม ข้ารอเจ้า”

มู่เฉียนซี “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นราชาแห่งภูตระดับหนึ่งแล้ว แต่อาถิงก็ยังคงหลับใหลไม่มีการตอบสนองเช่นเก่า เขายังคงหลับเสมือนหมูนอนตาย ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะฟื้นตื่นขึ้นมา”

ดวงตาที่เย็นยะเยือกมองมาที่นาง “ข้าไม่รีบ”

มู่เฉียนซีตกตะลึง “คนผู้นั้นควรเป็นผู้ที่สำคัญสำหรับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบ ?”

นางนั้นรู้จักจิ่วเยี่ยมานานแล้ว นางย่อมรู้จักนิสัยและความคิดของเขา มิตรสหายที่ดีเช่นจื่อโยว เมื่อบอกว่าจะฆ่าก็ฆ่าเลย และผู้ที่สามารถทำให้เขาสิ้นเปลืองแรงใจแรงสมองได้เช่นนี้ต้องไม่ธรรมดา

“มีศาลาเลือนรางเก้าชั้นอยู่ ต้องหาเจอเป็นแน่” จิ่วเยี่ยกล่าวอยู่ลึก ๆ “แต่สำหรับข้าแล้ว ซีสำคัญกว่ามาก” คํากล่าวนี้ดังกึกก้องราวกับเสียงประกาศกร้าวถึงสุราชั้นดีของพ่อค้าสุรา ทำให้หัวใจของมู่เฉียนซีสั่นสะท้านเล็กน้อย “ข้าสำคัญกว่ารึ ? เพราะว่าข้าอาจจะถอนคำสาปของเจ้าได้เช่นนั้นหรือ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามเสียงใส

— ฟึ่บ! —

มู่เฉียนซีถูกจิ่วเยี่ยดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างดุดัน ดวงตาที่เหมือนน้ำแข็งคู่นั้นมีแววตักเตือน มันดูราวกับว่าจะดูดวิญญาณของนางไป

“ไม่ใช่  มันไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลอะไรทั้งนั้น เพียงเพราะเจ้ามีความสำคัญสำหรับข้า  เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”

จิ่วเยี่ยมองมองดูมู่เฉียนซีผู้ที่เอาใจใส่เขาดังเดิม และได้ฉุดขโมยร่างของนางเข้ามา “อื้อ…”

มู่เฉียนซีมองไปยังบุรุษผู้ที่อยู่ใกล้ชิดติดร่างนางอย่างที่สุด เขากล่าวว่านางนั้นสำคัญมากสำหรับเขาหรือ ? มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่นางมีทักษะทางการรักษาที่น่าภูมิใจ ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์โลกตะลึงในการฝึกบำเพ็ญของนาง ไม่เกี่ยวอะไรกับศาลาเลือนรางเก้าชั้น แต่เป็นเพียงเพราะตัวนางผู้นี้โดยแท้

มู่เฉียนซีดึงคอของเขาเข้ามา จากนั้นทั้งสองก็พัวพันกันอย่างดุเดือด

ในที่สุดเมื่อการจุมพิตอันหนักหน่วงจบสิ้น หน้าผากขาวของมู่เฉียนซีก็ได้อยู่ชิดติดริมฝีปากบาง ๆ ของเขา  นางกล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย สิ่งที่เจ้ากล่าวมานี้ ช่างทำให้ข้าชอบเสียจริงนะ  และข้าเองรู้สึกว่าเจ้าก็สำคัญมากสำหรับข้า”

“อืม” จิ่วเยี่ยพยักหน้าพึงพอใจ จากนั้นเขาได้ทำการปล้นจุมพิตนางอีกครั้ง  จุมพิตครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าครั้งที่เพิ่งผ่านมา นางชอบมัน ทว่าเขาชอบมันยิ่งกว่า

มู่เฉียนซีสตรีที่เขารัก ท่าทางน่าหลงใหลนี้ของนางทำให้เขาอยากจะกลืนนางลงไปทีละคำ… ทีละคำ…

ตำแหน่งของจิ่วเยี่ยในหัวใจของมู่เฉียนซีนั้นหนักขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะความคิดที่บริสุทธิ์ของเขาต่อมู่เฉียนซี พวกเขาสามารถสนิทสนมกันได้อย่างถึงที่สุด แต่เมื่อสัมผัสถึงความสัมพันธ์แบบบุรุษสตรี  มู่เฉียนซีก็ยังไม่กล้าก้าวเลยข้ามเส้นนั้นไป

ความไวต่อความรู้สึกของจิ่วเยี่ยนั้นทำให้เขาจับความรู้สึกยังไม่ยอมรับนี้ของนางได้  เวลานี้เขาไม่คิดบีบบังคับนาง

ดวงตาสีฟ้างามมองมู่เฉียนซีที่หลับอยู่ จิ่วเยี่ยกอดนางเอาไว้  เขากล่าว “ข้าจะรอให้เจ้าปลดอุปสรรคในใจออก ข้านั้นมีเวลารอเจ้าพร้อมได้เสมอ” ขณะที่มู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยกำลังหวานชื่นกันอยู่นั้น ไป๋เหรินที่รออยู่ด้านนอก รอนานจนเริ่มจะบ้า  เขากล่าวขึ้น “เห็นได้ชัดว่าการบรรลุระดับพลังจบลงแล้ว เช่นนั้นเหตุใดมู่ซีจึงยังไม่ออกมา ?”

เสี่ยวหงหาวหวอดใหญ่ มันกล่าว “นายท่านของข้านั้นง่วงและหลับไปแล้ว ไม่มีเวลาว่างมาพบเจ้า”

เขาเป็นถึงลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากผู้อาวุโสที่สามแห่งหุบเขาหมอเทวดา เจ้าเด็กผู้นั้นกลับกล้าให้เขามายืนตากลมรอคอยเช่นนี้

เหตุผลของนางเป็นเช่นนี้รึ ? หลับ!

ถึงแม้ว่าไป๋เหรินจะโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก แต่เขาก็มิกล้าบุกเข้าไปอย่างแข็งกร้าว เขาทำได้เพียงโกรธฟึดฟัดแล้วจำใจเดินกลับไปพักผ่อน หลังจากที่มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาก็พบว่าจิ่วเยี่ยหายตัวไปเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา มุมปากของมู่เฉียนซีเผยรอยยิ้มตื้น ๆ “หนึ่งร้อยปีหรือ ? ความอดทนของข้านั้นมีจำกัด มากที่สุดสามปี สามปีข้าจะต้องล้ำหน้าเจ้าให้ได้ หลังจากนั้นเจ้าก็เป็นของข้า”

คําสารภาพที่คลุมเครือดูเหมือนจะทำให้ใจของนางนั้นหลงใหล… ทำให้นางเต็มไปด้วยกำลังที่จะต่อสู้

ความงดงามที่น่าหลงใหลของบุรุษอย่างเยี่ยอ๋อง นางนั้นไม่อาจที่จะไม่เกิดความรู้สึกอันใดต่อเขาได้ ทว่านางไม่มีความสามารถเพียงพอ เขาแข็งแกร่งมากกว่านางเกินไป  ตอนสุดท้ายนั้นนางยังจะต้องพบเจอตัวแปรอีกมากมาย

ทันใดนั้นเงาร่างสีเขียวเงาหนึ่งโผล่ขึ้นที่ด้านหลังของจิ่วเยี่ย

เป็นจื่อโยวนั่นเอง เขาถอนหายใจพลางกล่าวขึ้นว่า “ใครที่ไหนเขาสารภาพกันเช่นนั้น”

จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงต่ำทุ้ม “ถ้าหากเป็นไปได้ การฝึกบำเพ็ญของข้านี้ให้ปลดทิ้งเปล่าเสียก็ไม่เป็นไร ความแข็งแกร่งของข้าหยุดก่อนได้ ข้าจะรอซีก่อน”

จื่อโยวกล่าวอย่างจนปัญญา “เยี่ย เจ้านั้นโดนผีสิงเข้าให้แล้วหรือไร ?  เจ้าเคยทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง ข้านั้นไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา”

“แต่ว่าซี นาง…” เขานั้นกลัวว่าพลังความสามารถของนางจะไม่ล้ำหน้าเขาไปเสียที แล้วนางก็คงจะไม่กล่าวความในใจทุกอย่างกับเขา

จื่อโยว “อะไรกัน ? สตรีงามตัวน้อยไร้ซึ่งความมั่นใจรึ ?”

“มิใช่ว่านางไม่มีความมั่นใจ แต่ซีมีปมในใจในเรื่องระหว่างบุรุษสตรี”

จื่อโยว “เหอะ ๆ เยี่ยอ๋องเอ๋ยเยี่ยอ๋อง… ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพระองค์นั้น นับวันยิ่งไวต่อความรู้สึกในเรื่องความรักของมนุษย์เข้าไปทุกที นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก”

.

.

.