มู่เฉียนซี “หมายความว่า พวกเจ้าจะยอมทำตามคำสั่งของข้ารึ ?”
“เป็นเช่นนั้นแน่นอน เจ้าได้รับมรดกจากท่านเจ้าสำนักเช่นนี้ โชคชะตากำหนดเอาไว้แล้วว่าให้เจ้าเป็นเจ้าสำนักไป๋กู่คนใหม่ พวกเราจะพยายามทำทุกอย่างและยอมตายเพื่อเจ้าสำนักได้”
มู่เฉียนซี “พวกเจ้าคิดว่าเพียงแค่สัญญาปากเปล่าจะทำให้ข้าเชื่อได้เช่นนั้นรึ ?”
“เจ้า… เอ่อ… ท่านจะใช้หัวใจกู่ควบคุม หรือใช้วิญญาณกู่ควบคุมพวกข้าก็ทำได้ตามใจ พวกข้านั้นไม่ปฏิเสธ” พวกเขาก้มหน้าพลางกล่าว
“เจ้าคิดว่าข้าที่เพิ่งได้ตำรานั่นมา แล้วจะสามารถฝึกกู่ได้เลยงั้นรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อะ เอ่อ…”
“พวกข้า…”
มู่เฉียนซีหยิบยาออกมาขวดหนึ่ง “แต่ต่อให้ไม่มีกู่ ข้าก็มีวิธีรับมือกับพวกเจ้าได้ นี่คือยาหัวใจปีศาจ หากพวกเจ้าไม่เชื่อฟังข้า พิษของยาหัวใจปีศาจนี้จะทรมานพวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าตายทั้งเป็น”
“กล้ากินหรือไม่ ? หากพวกเจ้าไม่กล้ากิน เส้นทางเดียวของพวกเจ้านั่นก็คือความตาย” ดวงตาของมู่เฉียนซีเต็มไปด้วยความเย็นชาขณะที่นางกล่าวประโยคหลัง
พวกเขาเป็นคนสำนักไป๋กู่ที่ซ่อนตัวมาโดยตลอด ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังจนมีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ พวกเขาจะยอมตายง่าย ๆ ได้อย่างไรกันเล่า ?! ถึงแม้ว่าโอกาสรอดจะเหลือเพียงน้อยนิด แต่พวกเขาก็จะไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้ไป
ครั้นแล้วพวกเขารีบกินยาหัวใจปีศาจที่มู่เฉียนซียื่นให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวด้วยความเคารพว่า “ต่อให้ตัวตาย พวกข้าก็ไม่มีวันหักหลังท่านเด็ดขาด”
“ดี ในเมื่อพวกเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะมอบหมายภารกิจให้กับพวกเจ้า”
“ข้าจะให้พวกเจ้าหาคนของสำนักไป๋กู่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทั้งหมดซึ่งอยู่ทางตะวันออก ทางตอนกลาง และทางตะวันตกของเซี่ยโจว โดยเฉพาะตะวันตก ทางนั้นถือเป็นจุดสำคัญที่สุด หากพบเจอคนของสำนักไป๋กู่ ผู้ใดที่จงรักภักดีให้ไว้ชีวิตพวกเขา ส่วนผู้ใดที่คิดร้าย ไม่จงรักภักดีก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมด จากนั้นรวบรวมกำลังคนของสำนักตามหาเบาะแสของโอวหยางหว่าน”
“หืม ?! สถานที่ที่ล้าหลังอย่างทางตะวันตกเป็นจุดสำคัญที่ต้องไปตามหาเช่นนั้นหรือ ? ที่นั่นต่อให้มีสำนักนิกายอยู่ก็คงจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนัก”
“คำสั่งของข้า พวกเจ้าเพียงทำตามด้วยความจงรักภักดีเป็นพอ ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาไร้สาระให้มากความ”
“ขอรับ! ขอรับ! พวกเราจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ หาโอวหยางหว่านผู้นั้นให้เจอให้ได้”
มู่เฉียนซี “ที่นี่นอกจากตำราทักษะลับกับศพของเจ้าสำนักคนเก่าก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว พวกเจ้าไสหัวกันไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
หลังจากที่พวกเขาจากไป มู่เฉียนซีก็ออกจากวังใต้ดินแห่งนี้
ภาพมายาของดอกไม้แห่งความโลภนั้น เวลานี้ถูกกำจัดไปแล้ว มู่เฉียนซีได้พบกับไป๋เหริน ศิษย์พี่สี่แห่งหุบเขาหมอเทวดาที่กำลังนอนสลบไสลอยู่ ส่วนสหายคนอื่น ๆ ของเขานั้นถูกเขาจัดการไปจนหมด เหลือก็แต่เพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังมีลมหายใจอยู่
— ตุบ! ตุบ! ตุบ! —
มู่เฉียนซีเอาเท้าเตะร่างของเขาสองสามครั้ง นางเห็นคนของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านี้แล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เตะร่างของเขาแล้ว มู่เฉียนซีก็ทำให้เขาตื่นขึ้นมา ไป๋เหรินค่อย ๆ ลืมตา กลิ่นคาวเลือดบริเวณรอบ ๆ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดยิ่งนัก เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ จากนั้นความจำของเขาก็ค่อย ๆ กลับคืนมา
เขารู้สึกเหมือนกับตกอยู่ในภาพมายา จากนั้นก็เริ่มสังหารเหล่าบรรดาศิษย์น้องของเขาจนพวกเขาตายกันหมด เขาหันมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าทุกคนตายจากไปแล้ว แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยจากความจริงที่ว่า…โชคดีที่ผู้ตายไม่ใช่ตัวเขา
เขาหันมองไปทางมู่เฉียนซี “มู่ซี นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความสับสน “ข้าไม่แน่ใจเช่นกัน เจ้าพวกคนชั่วช้าสารเลวพวกนั้นไล่ตามฆ่าข้าจนข้าหนีมาอยู่ในนี้ เมื่อมาถึงก็เห็นท่านนอนสลบอยู่ แล้วศิษย์พี่เหล่านี้ เหตุใดถึงได้ตายกันหมด ?”
ไป๋เหรินถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่มู่ซีไม่รู้เรื่อง หากเรื่องนี้ไปถึงหูท่านอาจารย์ ต่อให้คนเหล่านี้ที่ตายไปเป็นศิษย์ไร้ประโยชน์ ความสามารถอ่อนด้อย อย่างไรท่านอาจารย์ก็คงต้องลงโทษเขาเป็นแน่
ส่วนเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้…
เวลานี้ไป๋เหรินได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่กล้าผลีผลามลงมือจัดการกับมู่เฉียนซี จากนั้นเขาก็เห็นวังใต้ดิน ทำให้ไป๋เหรินรู้ว่าในนี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับหม้อเทพนิรันดร์เลยแม้แต่น้อย
ไป๋เหรินทำได้เพียงจากไปด้วยความผิดหวัง เขากล่าว “มู่ซี ข้าว่าเรารีบขึ้นไปเอาผลเก้าอัคคีกันเถอะ”
มู่เฉียนซีพยักหน้า
ผู้คนส่วนมากที่บุกเข้ามาในวังใต้ดินแห่งนี้ก็ได้ตายไปเพราะดอกไม้แห่งความโลภ และยังมีคนบางกลุ่มที่ฉวยโอกาสตอนที่คนของหุบเขาหมอเทวดาไม่สนใจผลเก้าอัคคีนั้น เข้าไปแย่งผลเก้าอัคคีไปครอบครอง แต่เป็นเพราะสัตว์หินเพลิงแดงแข็งแกร่งอย่างยากจะหาสิ่งมีชีวิตใดมาเทียบเทียม ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถเอาผลเก้าอัคคีไปได้เลย
“แค่ก ๆ ๆ” ไป๋เหรินไอออกมา เขากล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียว “มู่ซี เวลานี้ร่างกายข้าได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ไม่อาจรับมือกับสัตว์หินเพลิงแดงนั้นได้ เราถอยไปรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถอะ”
มู่เฉียนซี “แต่เวลานี้ผลเก้าอัคคีสุกแล้ว หากไม่เอามันมา มันอาจจะใช้ไม่ได้ผล”
“แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้แล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา “ในเมื่อท่านไม่มีวิธีต่อสู้ เช่นนั้นข้าจัดการเองก็ได้”
“มู่ซี เจ้าเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ภูตระดับเก้า เจ้ายิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์หินเพลิงแดงนั่น” ไป๋เหรินกล่าวด้วยความกังวลใจ
“ไม่เป็นไร มันเป็นเพียงแค่สัตว์หินไม่ใช่รึ ? เสี่ยวหงของข้าจัดการได้อยู่แล้ว” มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็เรียกสัตว์พันธสัญญาอย่างเสี่ยวหงออกมาจากมิติ
เมื่อไป๋เหรินเห็นเสี่ยวหงตัวเล็ก ๆ น่ารักปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าก็ผงะไปครู่หนึ่ง เขากล่าว “มู่ซี เจ้าตัวนี้เป็นสัตว์พันธสัญญาของเจ้าหรือ แต่นี่… เอ่อ… มันก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์หินเพลิงแดงนั่น”
เสี่ยวหงได้ยินเช่นนี้ก็โกรธอย่างมาก “ข้าผู้นี้ เจ้ากล่าวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์หินบ้านั่นรึ ? เช่นนั้นเจ้าก็เบิกตาดูดี ๆ แล้วกัน ว่าข้าใช่คู่ต่อสู้ของเจ้านั่นหรือไม่”
“เพลิงเผาสวรรค์!” เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งออกไปล้อมรอบสัตว์หินเพลิงแดงในทันที
“โฮกกกก!” เปลวไฟของเสี่ยวหงน่ากลัวอย่างที่สุด และสามารถยับยั้งสัตว์หินเพลิงแดงนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เปลวไฟที่ร้อนแผดเผาของเกาะอัคคีนี้ มันคุ้นชินไปแล้ว แต่เปลวไฟที่รุนแรงของเสี่ยวหงนั้น มันไม่อาจต้านทานได้จนในที่สุดมันก็วิ่งหนีไป
ไป๋เหรินตะลึงลาน เบิกตากว้างด้วยความตกใจพลางจ้องมองไปที่เจ้าหมูน้อยสีแดงตัวนั้น “เจ้าตัวนี้มัน… มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม!”
มู่เฉียนซีพยักหน้า “ใช่แล้ว”
ไป๋เหรินตกใจจนเหงื่อไหลพราก โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้ลงมือจัดการกับเจ้าเด็กหนุ่มมู่ซีผู้นี้ ถึงแม้ว่ามู่ซีจะไร้เดียงสาหลอกง่าย แต่หากเขาจะลงมือฆ่า มู่ซีต้องเรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามออกมารับมือ ซึ่งเขาไม่อาจสู้ได้อย่างแน่นอน
ในสายตาของเขาเวลานี้ เจ้าหนุ่มมู่ซีซ่อนตัวได้ลึกลับยิ่งนัก มิน่า… ถึงกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานได้ถึงเพียงนี้
สัตว์หินเพลิงแดงถูกเสี่ยวหงจัดการไปแล้ว จากนั้นมู่เฉียนซีเก็บผลเก้าอัคคีมาได้อย่างง่ายดาย นางกล่าวถามขึ้น “ศิษย์พี่ไป๋เหริน ท่านอยากจะชิมสักลูกหรือไม่ ?”
มุมปากของไป๋เหรินกระตุกเล็กน้อย นี่เป็นผลวิญญาณระดับปฐพี ไม่ใช่ผลวิญญาณธรรมดาทั่วไป ลองชิมดูสักลูกก็แล้วกัน
ไป๋เหริน “แต่เจ้าเป็นคนเอามันมาได้ ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า อีกประการหนึ่ง ข้าเองก็เป็นถึงจักรพรรดิแห่งภูต ไม่จำเป็นต้องกินผลเก้าอัคคีนี้แล้ว”
“อ้อ งั้นรึ ?” มู่เฉียนซีเก็บผลเก้าอัคคีเอาไว้ทั้งหมด นางไม่ได้ยื้อจะให้เขาต่อ จากนั้นนางจึงกล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ เรากลับเกาะเดิมกันดีกว่า ข้าอยากเลื่อนขั้นพลังแล้ว”
ไป๋เหริน “ได้”
ในเมื่อมีผลเก้าอัคคีนี้แล้ว โอกาสที่จะเลื่อนขั้นเป็นราชาแห่งภูตก็มีเต็มร้อย
เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้มีความแข็งแกร่งมากตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ เขาคงใช้ยาวิญญาณกองพะเนินช่วยเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเลื่อนขั้นเป็นราชาแห่งภูตครั้งนี้ ประสิทธิภาพของผลวิญญาณก็อาจจะอ่อนด้อยลงก็เป็นได้
เมื่อกลับมาถึงเกาะเดิม มู่เฉียนซีให้เสี่ยวหงคุ้มกันความปลอดภัยเอาไว้ จากนั้นนางก็เริ่มกัดผลเก้าอัคคี
— กรึบ! —
“อืม รสชาติไม่เลว”
หลังจากที่กินผลเก้าอัคคีนั้นหมด ไม่นานนักพลังอันทรงพลังก็ไหลผ่านเส้นลมปราณ อีกทั้งพลังจิตทั่วทั้งเกาะก็รวมตัวกันไหลเข้าสู่ร่างของนางอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ไป๋เหรินที่พักอยู่ห้องข้าง ๆ มู่เฉียนซีถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
“นี่คือ…”
.
.
.