ในเส้นทางวรยุทธ เมื่อนักบู๊ไปถึงระดับดินแล้ว พลังภายในจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านคุณภาพ
จากพลังภายในโอนเป็นกำลังภายใน และกำลังภายในที่แสดงออกมา ก็จะมีประสิทธิผลอันน่าอัศจรรย์ ในเส้นทางวรยุทธมีคำเรียกอย่างมืออาชีพ เรียกการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ว่า “พลังวิเศษ”!
อย่างเช่นน้ำแข็ง ไฟ ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และทักษะอื่นๆ ที่มหัศจรรย์และทรงพลัง
แน่นอนว่าเย่เทียนไม่ใช่นักบู๊ระดับดิน เขาแค่ฝึกพลังชั้นสี่เท่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาเทียบเท่ากับระดับดำในทางวรยุทธ
แต่เนื่องจาก “คัมภีร์หวง” ที่เขาใช้ฝึกฝนนั้นแตกต่างจากกำลังภายในทั่วไปในยุทธจักร เขาจึงสามารถใช้ทักษะได้ทุกประเภท ทักษะเหล่านี้มันคือเคล็ดวิชา
การใช้เคล็ดวิชาคือการผันแปรพลังชี่แท้ในร่างกายให้เป็นลักษณะพิเศษต่างๆ ผนึกเข้ากับทักษะโจมตี
จากภาพลักษณ์ภายนอกนั้นเกือบจะเหมือนกับทักษะของนักบู๊ระดับดินแล้ว
ดังนั้นมู่หยุนเทียนจึงเข้าใจเย่เทียนผิด
เย่เทียนไม่ได้มีความตั้งใจจะอธิบาย เหตุผลที่เขาใช้ทักษะแบบนี้ จริงๆ แล้วเป็นการข่มขู่ทุกคนในที่นี้ เพื่อที่จะชิงตำแหน่งฝ่ายรุกในเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป
แน่นอนว่า ความแข็งแกร่งของเย่เทียนไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่นอน
เย่เทียนเหลือบมองยิ่งหมิงซวนที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะหันไปหาฉินเจิ้งแล้วพูดว่า “ท่านฉิน เราไปคุยที่อื่นกันเถอะ”
“อ๊ะ? ได้ครับ! ได้ครับ!”
ฉินเจิ้งถึงได้สติกลับมา สายตาที่มองไปทางเย่เทียนระมัดระวังขึ้นมาก
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ มองไปทางลูกชายของเขา ฉินชิงหู่
ฉินชิงหู่สังเกตคำพูดและสีหน้า แล้วเดินเข้าไปหาทันที แสดงท่าทีต้อนรับเย่เทียนด้วยความเคารพ
“เย่…ปรมาจารย์เย่ เชิญท่านด้านในครับ!”
ทัศนคติ น้ำเสียง และแม้แต่คำทักทาย ฉินชิงหู่ก็ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เขาปฏิบัติต่อเย่เทียนในฐานะแขกที่ให้เกียรติและนับถืออย่างที่สุด!
ทุกคนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของท่าที แต่ไม่มีใครรู้สึกคาดไม่ถึง
เพราะในฐานะนักบู๊ระดับดิน นั้นมีคุณสมบัติเช่นนี้อย่างแท้จริง
“เหล่ามู่ ผมขอเข้าไปก่อนนะ”
จี้เจิ้งโก๋ก็ได้สติกลับมาเช่นกัน เขาทักทายมู่หยุนเทียน แล้วสบสายตากับฉินเจิ้ง ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปด้านใน
ทุกคนมองไปที่คนคุมหางเสือของตระกูลฉิน นายพลของเขตทหาร จี้เจิ้งโก๋ อดีตผู้บัญชาการของเขตทหาร ที่เดินตามเย่เทียนเข้าไปในห้องโถงด้านใน
“หมิงซวน ตอนนี้คุณเข้าใจความหมายที่อาจารย์บอกให้คุณขอโทษเขาแล้วใช่ไหม?”
มู่หยุนเทียนเดินเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงที่อธิบายไม่ถูก
ยิ่งหมิงซวนได้สติกลับมาทันที จิตใจห่อเหี่ยว พูดอย่างขวัญหนีดีฝ่อ “เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ผม…ผมพ่ายแพ้แล้ว…”
คำว่าฟ้า หมายถึงเย่เทียน เป็นฟ้าที่เขาจะไม่มีวันเหนือกว่าตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา
การโจมตีของเย่เทียนเมื่อครู่ได้ทำลายความมั่นใจของเขา ในที่สุดเขาก็กลายเป็นปีศาจภายในใจตัวใหญ่ที่สุดในเส้นทางวรยุทธของเขา!
“เฮ้อ คุณลองคิดทบทวนกับตัวเองให้ดีแล้วกัน!”
มู่หยุนเทียนถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโถงด้านใน
ความพ่ายแพ้ของยิ่งหมิงซวน เหมือนเป็นการเอาฝ่ามือฟาดลงกลางใจทุกคนที่ครั้งหนึ่งเคยดูถูกเย่เทียนอย่างแรง
และการตบครั้งนี้รุนแรงมาก ทำให้คนไม่กล้าแม้แต่จะโกรธเคือง
เยี่ยนจื่อเฉินก็เป็นหนึ่งในตัวแทนนั้น!
หลินอ้าวเสว่กัดริมฝีปากล่างอย่างแรง มองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ของเย่เทียน รู้สึกว่างเปล่าในใจ ราวกับว่าได้สูญเสียสิ่งของที่สำคัญที่สุดไปตลอดกาล
และทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นจากน้ำมือของเธอเอง!
…
“ปรมาจารย์เย่ นึกไม่ถึงเลยว่า ท่านจะเป็นนักบู๊ระดับดิน!”
ฉินเจิ้งศรัทธาในตัวเย่เทียนอย่างสมบูรณ์แล้ว ในขณะที่เขาพูด น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เย่เทียนแค่หัวเราะเบาๆ “เรื่องพวกนี้ ไม่ต้องไปพูดถึงมันอีก เรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า”
เมื่อพูดถึงเรื่องสำคัญ หลายคนในห้องก็กระฉับกระเฉงขึ้นมา
ถึงอย่างไร พวกเขาก็รู้เรื่องยาธาตุตั้งนานแล้ว!
ยิ่งกว่านั้นเย่เทียนได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอันทรงพลัง ซึ่งทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในศักยภาพของยาธาตุมากขึ้น
เป็นไปตามที่เย่เทียนคาดไว้ การสนทนาต่อมานำโดยเย่เทียน พูดถึงผลข้างเคียงหลังจากการใช้ยาธาตุอย่างละเอียด
ประการแรก ยาธาตุจะจำหน่ายในแวดวงวรยุทธในเจียงหนันและเมืองจินสองเขตพื้นที่นี้
สำหรับเรื่องราคา เย่เทียนได้ไปเพียงห้าแสนเท่านั้น และเขาไม่ต้องจ่ายราคาใดๆ ขอเพียงเขาปรุงยาออกมา มันจะมีราคาเม็ดละห้าแสน
เรื่องอื่นเย่เทียนจะไม่เข้าไปยุ่ง และไม่มีอารมณ์จะยุ่งด้วย
การแบ่งผลประโยชน์ แบ่งเป็นตระกูลจี้ ตระกูลฉิน ตระกูลมู่
ตระกูลมู่ครอบครองตำแหน่งผู้นำ เพราะเขาต้องรับผิดชอบในการบุกเบิกตลาดในเมืองจิน
พออยู่เบื้องหลัง เย่เทียนจึงเอ่ยปากบอกว่า “ผมจะให้ยาธาตุแก่พวกคุณ จะขายยังไงก็เป็นเรื่องของพวกคุณ ผมมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว”
“ปรมาจารย์เย่พูดมาตรงๆ เถอะ ไม่เป็นไร”
“ยาธาตุ ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายแก่ตระกูลเย่แห่งเมืองจิน เรื่องอื่น ผมจะไม่สนใจอะไรมาก”
พูดจบ เย่เทียนก็ไม่พูดอะไรอีก
หัวใจของทุกคนหนาวยะเยือกเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการกำจัดตระกูลเย่!
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังเย่เทียน พากันพยักหน้ารับปากทันที
“ปรมาจารย์เย่ ก่อนหน้านี้ล่วงเกินไว้มาก ได้โปรดยกโทษให้ด้วย”
เมื่อการพูดคุยดำเนินมาถึงท้ายที่สุด ฉินเจิ้งก็เอ่ยปากพูดอย่างสุภาพว่า “นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ปรมาจารย์เย่ได้โปรดรับไว้ด้วย”
ว่าแล้วเขาก็หยิบการ์ดสีดำออกมาจากตู้ข้างๆ แล้วยื่นสองมือให้เย่เทียน
แววตาของเย่เทียนจับจ้องไปที่การ์ดสีดำ ความสงสัยผุดขึ้นในดวงตา
“ฮ่าฮ่า นี่คือการ์ดมังกรดำของตระกูลฉินของเรา นอกจากจะสามารถถอนเงินร้อยล้านจากธนาคารใดๆ ก็ได้แล้ว คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับสวัสดิการของสมาชิกระดับสูงสุดในทุกกิจการของตระกูลฉินทั่วประเทศ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดฟรี!”
ฉินเจิ้งอธิบาย “ส่วนเจียงหนัน ถือเป็นต้นกำเนิดของตระกูลฉินเรา ปรมาจารย์เย่รับการ์ดนี้เอาไว้ วันหลังจะสะดวกมากมาย”
เย่เทียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ลองคิดดูอีกที สุดท้ายก็รับการ์ดนั้นมา
เมื่อฉินเจิ้งเห็นภาพนี้ ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้บอกให้เย่เทียนมาช่วยเรื่องปรับเปลี่ยนวิธีฝึกฝนของพลังภายในวรยุทธที่สืบทอดกันมาภายในครอบครัว
ท้ายที่สุดท่าทีของเขาก่อนหน้านี้ก็ชัดเจน ต่อให้เย่เทียนใจกว้างแค่ไหนก็ไม่มีทางยอมออกหน้าช่วยเหลืออีก
แผนการนี้ต้องทำอย่างช้าๆ ถึงอย่างไรพวกเขายังมีหนทางอีกยาวไกล
หลังจากนั้น เย่เทียนก็ปฏิเสธคำเชิญรับประทานอาหารของตระกูลฉินอย่างสุภาพ
เขาขับรถกลับไปที่บริษัท เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาอาหารแล้ว โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน
“ฮัลโหล เย่เทียน คุณอยู่ที่ไหน? ทำไมคุณไม่มาเที่ยวที่บาร์หลายวันแล้ว?”
ทันทีที่รับสาย ก็ได้ยินเสียงอันนุ่มนวลของซูเหมย
“หลายวันมานี้ยุ่งนิดหน่อยเลยไม่ได้ไป ว่าไง? โทรหาผมมีธุระอะไรเหรอ?”
เย่เทียนถามด้วยความสงสัย
ซูเหมยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันแค่อยากชวนคุณไปกินข้าว ถ้าคุณยังไม่ว่างก็ช่างมันเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่เทียนก็ยิ้มและรีบห้ามปรามเธอ
“ไม่ใช่ ตอนนี้ผมกำลังจะไปกินข้าว เอาอย่างนี้ คุณบอกสถานที่มา ผมจะไปหาคุณทันที”
“ได้ ฉันจะรอคุณอยู่ที่คมใจ”
น้ำเสียงของซูเหมยมีความปีติยินดี บอกที่อยู่กับเย่เทียนทันที