หลังจากได้รับที่อยู่ที่แน่นอน เย่เทียนก็วางสายแล้วขึ้นรถห้อตะบึงไปในทันที

คมใจคือร้านอาหารแฟรนไชส์ทั่วประเทศที่อยู่ใกล้กับบาร์ดรุณียั่วรัก สภาพแวดล้อมที่หรูหรา บวกกับราคาที่ไม่สูงนัก ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่พนักงานบริษัท

หลังจากนั่งรถมาสิบนาที เย่เทียนก็มาถึงร้านอาหารและพบกับซูเหมย

ซูเหมยสวมชุดเดรสสีม่วงอ่อน ผมหยักศกสีแดงลู่ลงมาที่หัวไหล่ ดูเซ็กซี่และมีเสน่ห์ ทำให้ผู้คนยากที่ละสายตาไป

เย่เทียนนั่งลงตรงหน้าซูเหมยอย่างไม่ยี่หระ พลางถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจู่ๆ ถึงคิดชวนผมไปกินข้าวล่ะ?”

“แม่ของฉันมาที่เจียงหนันแล้ว”

ซูเหมยยิ้มอย่างขมขื่น “เดี๋ยวก็จะมาที่นี่”

เย่เทียนยักคิ้ว “คุณป้ามาเป็นเรื่องที่ดี ทำไมผมรู้สึกว่าคุณดูหน้าตาเศร้าหมองจัง”

“เฮ้อ ก็คุณไม่รู้จักแม่ของฉัน มาเร่งรัดให้ฉันแต่งงานจนปวดหัวไปหมดแล้ว”

ซูเหมยส่ายหน้าเบาๆ ฝืนยิ้มพูดว่า “ที่ให้คุณมาครั้งนี้ ก็เพราะอยากให้คุณมาช่วยเป็นแฟนของฉัน ทำให้แม่ของฉันรู้สึกมั่นคง อย่าให้แม่เอาแต่นัดบอดให้ฉันตลอดเวลา”

เอามาเป็นโล่เหรอ?

สีหน้าของเย่เทียนแปลกไปทันที ไม่เคยคิดมาก่อนว่าภาพในละครน้ำเน่าเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

เพียงแต่ว่า ความลังเลของเย่เทียนทำให้ซูเหมยรู้สึกไม่พอใจในทันที เธอพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ว่าไงล่ะ? คุณไม่เต็มใจเหรอ?”

“ไม่ใช่ ผมเปล่า…”

เย่เทียนยิ้มแห้ง กำลังจะอธิบาย

ในเวลานี้ มีหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าหรูหรา ทั้งตัวเต็มไปด้วยอัญมณีปรากฏตัวขึ้นที่ประตูร้านคมใจ

เธอเหลือบมองไปรอบๆ ร้านอาหารแล้วขมวดคิ้วขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมที่นี่

ซูเหมยคอยสังเกตที่ประตูตลอดเวลา พอเห็นคนที่มาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ชูกำปั้นขึ้นโบกมือให้ พูดคุกคามเย่เทียนว่า “แม่ของฉันมาแล้ว อย่าเปิดเผยตัวเองล่ะ ถ้าถูกจับได้ ฉันจะเล่นงานคุณแน่!”

“…”

เย่เทียนรู้สึกไม่มีทางเลือก

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย? ไหนพูดเสียดิบดีว่าจะเลี้ยงข้าวตน?

แต่ตอนนี้อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างสมบูรณ์ ไม่อยากเป็นโล่ก็ต้องเป็น!

ข้างกายหญิงวัยกลางคนมีชายหนุ่มในชุดสูทยืนอยู่ ดูอายุประมาณยี่สิบเจ็ดปี บนข้อมือสวมนาฬิกาแบรนด์เนมปาเต็ก ฟิลิปป์ ใบหน้าอันหล่อเหล่ามีแววเย่อหยิ่งอยู่บ้าง เขาเป็นตัวอย่างของลูกหลานเศรษฐี

เขาดันแว่นกรอบทองที่สวมอยู่พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจ “น้าจ้าง ทำไมเหมยเหมยถึงนัดในสถานที่แบบนี้?”

“เสี่ยวเฟิง เรื่องนี้ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”

จ้าวเสว่เฟิน แม่ของซูเหมยก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน เธอเดินเข้ามาในร้านอาหาร

บริกรรีบเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามาสองที่หรือเปล่าครับ?”

“เรามาหาคน”

จ้าวเสว่เฟินตอบอย่างราบเรียบ กวาดสายมองไปรอบๆ ร้านอาหารเพื่อหาซูเหมย

ซูเหมยคอยสังเกตความเคลื่อนไหวที่ประตูอยู่ตลอด พอเห็นผู้ชายที่อยู่ข้างหลังจ้าวเสว่เฟิน แววตาก็ดูซับซ้อนขึ้นมาทันที พลางลุกขึ้นกล่าวทักทาย “แม่คะ ทางนี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงเรียก จ้าวเสว่เฟินก็หันกลับมา พอเธอเห็นชายหนุ่มแปลกหน้านั่งอยู่เคียงข้างซูเหมย

เธอขมวดคิ้วทันที แอบนึกสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร?

แต่เธอก็ไม่คิดมาก นั่งลงข้างซูเหมยและตำหนิว่า “เสี่ยวเหมย ทำไมถึงมากินข้าวที่นี่ล่ะ? สถานที่เล็กๆ แบบนี้ไม่สะอาดเท่าโรงแรมใหญ่ ถ้ากินอะไรผิดไปจะทำยังไง?”

นอกจากมองแวบแรก สายตาของเธอก็ไม่ได้สนใจเย่เทียนเท่าไรนัก

เย่เทียนไม่ใส่ใจเขาเหลือบมองชายหนุ่มที่ติดตามเข้ามาและไม่พูดอะไร

“แม่คะ ร้านนี้อร่อยมาก ฉันกินข้าวที่นี่เกือบทุกวันเลย”

เมื่อเห็นความรังเกียจที่เผยออกมาจากคำพูดของจ้าวเสว่เฟินความจนใจก็ฉายผ่านดวงตาของซูเหมย

จ้าวเสว่เฟินดึงซูเหมยมามองพิจารณาเธออย่างละเอียดราวกับว่าไม่มีใครอยู่รอบตัว แล้วพูดอย่างปวดใจ “เธอยังมีหน้ามาพูดอีก ดูสิเธอผอมขนาดนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ฉันไม่ควรรับปากกับพ่อของเธอ ปล่อยให้เธอมาที่นี่ด้วยตัวเองเลย”

สีหน้าของเย่เทียนก็แปลกไป เป็นความรักของพ่อแม่ที่น่าสงสารจริงๆ!

ลำพังตัดสินจากรูปร่างหน้าตาภายนอก ซูเหมยน่าจะหนักประมาณเก้าสิบชั่ง ประกอบความสูง 168 เซนติเมตรของเธอ ถ้าอ้วนหน่อยก็ดูอ้วนเกินไป ถ้าผอมกว่านี้ก็ดูผอมเกินไป ตอนนี้มันเป็นสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ทว่า ในสายตาของจ้าวเสว่เฟิน ก็ยังผอมเกินไป

แม้แต่เย่เทียนเองก็เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซูเหมยเลย เธอยิ้มขมขื่นพลางพูดว่า “แม่คะ ยังมีคนอยู่นะ!”

เมื่อซูเหมยเอ่ยเตือนเช่นนี้ จ้าวเสว่เฟินก็ดูเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงรีบแนะนำ “เสี่ยวเหมย ยังจำคุณปู่หลี่ที่อยู่ข้างบ้านคุณตาได้หรือเปล่า? นี่คือหลานชายของคุณปู่หลี่ชื่อหลี่เฟิง”

หลี่เฟิงลุกขึ้นยืนอย่างรู้งาน เผยรอยยิ้มอันสดใส

“เสี่ยวเหมย ไม่ได้พบกันนานแล้ว คุณสวยขึ้นมากเลย”

“พี่เสี่ยวเฟิง” ซูเหมยเรียกเขาเบาๆ

หลี่เฟิงยิ้มเท่ “เสี่ยวเหมย ผมเห็นคุณจะมีชีวิตข้างนอกที่ไม่ค่อยดี ทำไมคุณไม่กลับไปล่ะ? คุณน้าคุณอาอายุมากแล้ว ให้เวลากับพวกเขามากกว่านี้หน่อยดีไหม?”

“เสี่ยวเฟิงพูดถูก ไม่งั้นเธอก็อย่าอยู่ในเจียงหนันอีกเลย กลับบ้านไปกับแม่ ทรัพย์สินของครอบครัวเรายังไม่เพียงพอที่จะให้เธอกินดื่มไปทั้งชาติอีกเหรอ?”

พยักหน้าเห็นด้วย พูดอย่างฮึกเหิม

“แม่คะ ฉันมีชีวิตที่ดีมาก” ซูเหมยขมวดคิ้ว

จ้าวเสว่เฟินตำหนิอย่างไม่พอใจ “ดียังไง? เธอดูตัวเองตอนนี้สิว่าผอมแค่ไหน? ไม่รู้ว่าทุกวันกินอะไร ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาแล้วทำยังไง?”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นเย่เทียนที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอดก็หน้านิ่วคิ้วขมวด อดพูดไม่ได้ว่า “ที่นี่ก็ดีมากนะครับ รสชาติก็ดี สิ่งแวดล้อมก็ดีด้วย กินจนป่วยน่าจะพูดเกินจริงไปหน่อยนะครับ”

พอเย่เทียนพูดออกไปแบบนี้ จ้าวเสว่เฟินก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจเหมือนตอนที่พบเขาครั้งแรก แล้วกวาดสายตามองเย่เทียนหลายครั้ง

“เสี่ยวเหมย นี่ใครกัน? เป็นพนักงานบาร์ของเธอเหรอ?”

“เขา…” ซูเหมยเปิดปากกำลังจะแนะนำ

เย่เทียนลุกขึ้นก่อนและแนะนำตัวเอง “สวัสดีครับคุณน้า บางทีคุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อผม แต่ผมได้ยินเสี่ยวเหมยพูดถึงคุณบ่อยๆ ผมเป็นแฟนของเสี่ยวเหมย ชื่อเย่เทียนครับ!”

“แฟนของซูเหมย?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงจ้าวเสว่เฟิน แม้แต่หลี่เฟิงเองก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง

พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าซูเหมยมีแฟนแล้ว! มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังคนในครอบครัวใช่ไหม?

หลี่เฟิงมองพิจารณาเย่เทียนอย่างรอบคอบ มองดูเย่เทียนที่ธรรมดาไม่โดดเด่น จู่ๆ ก็มีแสงสว่างแวบเข้ามาในหัวของเขา เขาแน่ใจว่าซูเหมยตั้งใจหาคนอื่นมาแอบอ้าง

เมื่อคิดได้ดังนี้ หลี่เฟิงก็ยิ้มมุมปากอย่างสนุกสนานแล้วพูดว่า “ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินว่าซูเหมยมีแฟนแล้ว? น้าจ้าง เสี่ยวเหมยเคยพูดถึงให้คุณฟังบ้างหรือเปล่า?”

ไม่ว่าเย่เทียนจะเป็นตัวจริงหรือไม่ก็ตาม ในเมื่อเขาเริ่มแนะนำตัวเองแบบนี้ หลี่เฟิงก็ถือว่าเป็นศัตรูหัวใจแล้ว!