ตอนที่ 309 เอาคืนศัตรู
ตอนที่ 309 เอาคืนศัตรู

ในค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิท มีลมกระโชกแรง ซูหวานหว่านยังคังนั่งห้อยขาอยู่บนชิงช้านอกประตู ไม่นานฉีเฉิงเฟิงก็เดินอ้อมมาด้านหลังและออกแรงไกวชิงช้าให้หญิงสาวเบา ๆ ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสนาน

“เจ้าคิดว่าสือเฉิงชุนจะโกรธหรือไม่ เมื่อเขาได้เข้าไปในบ้านของตระกูลสือแล้ว?” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาอย่างไม่อาจห้ามรอยยิ้มได้

“เจ้านี่มันช่างหน้าเนื้อใจเสือเสียจริง ๆ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นโชคร้ายของเขาแล้วล่ะ” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมาแล้วนั่งลงข้าง ๆ นาง และทั้งสองก็หยอกล้อกันไปมา

“แต่ว่าข้าได้เตรียมความประหลาดใจเอาไว้รอเขาแล้ว” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาดัง ๆ ในขณะที่นางกำลังจินตนาการความสำเร็จในการเอาคืนสือเฉิงชุน!

ลูกน้องของสือเฉิงชุนได้ปีนเพื่อที่จะเข้าไปด้านใน แต่ในตอนนี้บ้านของตระกูลสือทั้งมืด ไร้ผู้คน มีเพียงใบไม้ที่ปลิวเกลื่อนอยู่บนพื้นดิน ไม่มีคนมาค่อยดูแลทำความสะอาด และมีเพียงแค่เสียงฝีเท้าของกลุ่มของพวกเขาเองทั้งนั้น

ประกอบกับความวังเวงของบ้านตระกูลสือ ทำให้ชายชาตรีที่มีกันอยู่ประมาณสามคนสิบรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แม้เวลาที่พวกเขาอยู่ในสนามสู้รบจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

สือเฉิงชุนยืนอยู่ในที่แสงสว่างส่องถึง และปล่อยให้ลูกน้องคนอื่น ๆ ไปซ่อนตัวอยู่ในความมืด ถึงแม้ว่าท้องฟ้าตอนนี้จะเริ่มสว่างขึ้น แต่ในตอนนี้ซูหวานหว่านก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาแต่อย่างใด

ค่ำคืนเป็นค่ำคืนที่หนาวเหน็บ อากาศหนาวเย็นทำให้หยาดน้ำค้างตามผมของสือเฉิงชุนกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ชายหนุ่มอดไม่ไหวที่จะส่งเสียงออกมา แล้วคิดว่าในวันนี้ตัวเองอุตส่าห์พาคนมาฆ่าซูหวานหว่าน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเขาจะถูกซูหวานหว่านหลอกได้!

นางไม่ได้ตั้งใจที่จะมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

เมื่อคิดได้แบบนี้สือเฉิงชุนก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาและพูดว่า “ไปที่คลังเก็บเกลือกันเถอะ”

“ขอรับ” เหล่าทหารตอบรับ

เหล่าบรรดาลูกสมุนของสือเฉิงชุนปีนข้ามกำแพงออกมาจากบ้านตระกูลสืออีกครั้ง และเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงคลังเก็บเกลือ เหล่าทหารพากันตกใจว่าเหตุใดในคลังเก็บเกลือถึงได้มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งขนาดนี้! ไม่มีใครกล้าที่จะจะเดินเข้าไปใกล้ แต่สือเฉิงชุนก็ตะโกนออกมาว่า “เปิดประตู”

“ขอรับ” มีทหารคนหนึ่งตอบรับและเปิดประตูออกมา ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกหนูตัวอ้วนหลายสิบตัวก็วิ่งออกมา แต่เมื่อพอเปิดประตูกว้างขึ้นก็พบว่ามีมูลหนูอยู่จำนวนมากอยู่บนเกลือ!

ด้านในเต็มไปด้วยใบไม้ แมลง หรือแต่กระทั่งรังนก!

“นี่…” สือเฉิงชุนกำหมัดของแน่นด้วยความโกรธ เขาไม่เคยคิดว่าคลังเกลือที่เขาอุตส่าห์เตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี จะกลายเป็นแบบนี้เสียได้!

“ท่านแม่ทัพ มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ด้วย” ทหารคนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ติดอยู่ตรงหน้าต่าง และนำไปให้สือเฉิงชุนได้ดู

ในจดหมายนั้นเขียนเอาไว้ว่า

‘สือเฉิงชุน การที่ตระกูลของเจ้าต้องโทษประหารชีวิตทั้งตระกูลมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ทุกอย่างที่ขึ้นมันเกิดมันเป็นเพราะป้าของเจ้าต่างหากที่ฝึกวิชาภาพลวงตา และใช้มันคร่าชีวิตผู้คน ถ้าจะให้พูดกันตามตรงมันเป็นความผิดของตระกูลสือของเจ้าเอง! เจ้าจะมาเกลียดชังและโทษคนอื่นเพราะเรื่องนั้นไม่ได้ วันนี้ข้าแค่ต้องการที่จะเตือนเจ้า ถ้าเจ้ามาสร้างปัญหากับข้าอีกเมื่อไรล่ะก็ ระวังหัวของเจ้าเอาไว้ดี ๆ ก็แล้วกัน – ซูหวานหว่าน’

“ซูหวานหว่าน!” สือเฉิงชุนเอ่ยชื่อของซูหวานหว่านออกมาด้วยความขุ่นเคือง และจดหมายในมือของเขาที่ถืออยู่ก็ถูกเขาฉีกขาดไม่มีชิ้นดี

ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบเอ่ยประจบออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ ซูหวานหว่านนางเป็นใครกัน? ทำไมถึงต้องทำแบบนี้! ท่านไม่ใช่เป็นลูกชายของท่านเสนาบดีเสียหน่อยจะโกรธไปทำไม ตระกูลสือสมควรถูกสาปแช่งแล้ว พวกเขา…”

“หุบปากซะ!” สือเฉิงชุนขมวดคิ้วแน่น ชายหนุ่มดึงดาบออกมาและฟันไปยังทหารที่อยู่ข้างหลังตนอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาทรุดลงและแน่นิ่งไปทันที

เหล่าทหารคนอื่นตกใจ และไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา หลังจากที่สงบสติอารมณ์ของตัวเองได้แล้วก็พูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “เมื่อตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเคยได้รับความเมตตาจากเสนาบดีสือมาก่อน และเรื่องของตระกูลสือที่กลายมาเป็นแบบนี้มันจะเงื่อนงำอะไรบางอย่าง และการที่จะหาหลักฐานมาได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย!”

เมื่อเหล่าทหารทุกคนที่ได้ยินแบบนี้ ก็มีใครบางคนที่ขยิบตาแล้วพูดขึ้นมาทันทีว่า “ท่านแม่ทัพ ซูหวานหว่านนางเป็นคนเลวทราม นางเป็นคนเลวและทำให้ตระกูลสือได้รับคำสาปแช่ง พวกเราควรที่จะฆ่านางเสีย!”

“อืม” สือเฉิงชุนพยักหน้า มองไปที่ศพบนพื้นและพูดอย่างเคร่งขรึม “สั่งให้มาจัดการศพนี่ซะ ที่เหลือก็ตามข้ากลับไปที่พัก!”

“ขอรับ”

เหล่าทหารก็ตอบรับ แล้วมองแววตาอันสั่นไหวของสือเฉิงชุน

ในก้นบึ้งลึกของหัวใจเหล่าทหาร ทุกคนต่างคาดเดาว่า ‘ซูหวานหว่าน’ ในจดหมายฉบับนี้เป็นลูกสาวของตระกูลใดกัน ส่วนอีกทางด้านหนึ่งในตอนนี้ซูหวานหว่านกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่กับฉีเฉิงเฟิงที่ตำหนักขององค์ชายสาม ทั้งสองคนกำลังพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แล้วสาวใช้ก็ยกขนมเข้ามา แต่ปรากฏว่าจานขนมที่อยู่บนโต๊ะกลับว่างไปหนึ่งจาน ทำให้สาวใช้ตะลึงงันมาก พวกนางไม่รู้ว่าซูหวานหว่านนั้นแอบเอาขนมเข้าไปให้สือซีเอ๋อร์กินเพราะสือซีเอ๋อร์กำลังเหนื่อยเพราะทำงานเพิ่มคะแนนอยู่ในมิติฟาร์มแทนนางนั่นเอง อีกทั้งยังแอบเอาพวกธัญพืชเข้าไปอีกด้วย

ขนมที่วางอยู่บนโต๊ะจานหนึ่งหมดไป พลันมีชายวัยกลางคนวิ่งเข้ามาภายในห้องพร้อมกับกล่าวว่า “ฝ่าบาท! แย่แล้ว! ข้าน้อยนั้นได้ยิน…ได้ยิน…”

“ไม่ต้องรีบค่อย ๆ พูดก็ได้” ฉีเฉิงเฟิงพูดออกมาพร้อมคีบกับใส่ชามของซูหวานหว่าน

เมื่อเห็นทั้งสองคนยังมีท่าทีที่นิ่งสงบ พ่อบ้านก็รู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิมแล้วพูดว่า “เฮ้อ ฝ่าบาท! ท่านจะต้องเป็นกังวลเสียหน่อยแล้ว! พวกเรากำลังเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว! คุณหนูจ้าวไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้แล้ว!”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ซูหวานหว่านเลิกคิ้วแล้วถามออกมาพร้อมกับจิบชาดื่มช้า ๆ แล้วพูดว่า “องค์ชายของพวกเจ้ายังไม่เอ่ยปากบอกให้ข้าออกไปเลย แล้วเจ้ามาไล่เช่นนี้ คิดว่าข้าจะไปไหม?”

“ข้าน้อยไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ท่านรีบออกไปก่อนเถิด!” พ่อบ้านก็รีบพูดออกมาจนลิ้นพันกัน “วันที่องค์ชายสามไปที่บ้านของแม่ทัพสวี ฝ่าบาทบอกว่าจะจับตัวคุณหนูจ้าวไปส่งที่ศาลาว่าการ แต่ตอนนี้ท่านยังไม่ได้ส่งตัวนางไป และพวกเขากำลังมาที่นี่! ถ้าคุณหนูจ้าวยังอยู่ที่ตำหนักองค์ชายสามต่อไปมันจะเป็นอันตรายแก่ตัวท่าน! องค์ชายสามรีบพานางออกไปก่อนจะดีกว่า!”

“หืม?” ริมฝีปากของซูหวานหว่านก็แยกออกเบา ๆ หากแต่นางยังคงกินอาหารต่อไปด้วยท่าทางที่ดูสบาย ๆ และไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด!

แต่ผิดกับพ่อบ้านที่เกิดอาการร้อนรนอย่างมากเมื่อเห็นท่าทางของซูหวานหว่าน เขาแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องหญิงสาวให้หนีไปซ่อนตัวก่อน นางจึงพูดออกมาอย่างใจเย็นว่า “อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป พวกเขามาช้าอย่างแน่นอน! ข้าขอกินข้าวอีกสักหน่อยแล้วกัน”

“เอ่อ…” พ่อบ้านร้อนรนจนเอื้อมมือออกไปดึงซูหวานหว่านให้ออกไป แต่ฉีเฉิงเฟิงก็ยกมือขึ้นมาขวางเอาไว้แล้วพูดว่า “ขนาดนางยังไม่เร่งรีบเลย เจ้าจะตื่นตระหนกไปทำไมกัน”

หลังจากนั้นฉีเฉิงเฟิงเหลือบมองไปที่ซูหวานหว่านแล้วพูดออกมาว่า “ฮูหยิน เจ้าไม่ต้องไปซ่อนตัวหรอก หากพวกเขามาที่นี่เราก็แค่ต้องเตรียมพร้อมเท่านั้น ข้าไม่อยากที่จะหลอกพวกเขาอีกแล้ว”

“ถ้าเจ้าไม่ต้องการหลอกพวกเขา เช่นนั้นข้าจะทำเอง” หลังจากพูดออกมาแบบซูหวานหว่านก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางร้อนรน และรีบเดินหันหลังออกไปทันที หลังจากเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว นางก็ได้ยินคนส่งเสียงเรียกให้นางหยุด

“คุณหนูจ้าว เจ้าจะหนีไปที่ไหนอีก?”

เสียงเย็นชาของชายคนหนึ่งก็ดังออกมาจากประตู เสียงของเขาช่างดูคุ้นเคย แต่ซูหวานหว่านไม่ได้สนใจเสียงนั้น และรีบเดินออกไปทันที

“วันนี้มันเป็นวันอะไร ท่านแม่ทัพเหนียนและแม่ทัพสวีมาที่นี่ด้วยกันได้!” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมา แล้วหันไปพูดตำหนิพ่อบ้านของตัวเองที่อยู่ยืนข้าง ๆ ว่า “ยังไม่รีบนำเก้าอี้มาต้อนรับพวกเขาทั้งสองคนอีก!”

“ไม่จำเป็น พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะมานั่งพูดคุยอะไร” สือเฉิงชุนพูดออกมาอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาก็เหลือบไปมองที่ชามและตะเกียบสองคู่ที่วางอยู่บนโต๊ะ และคิดได้ในทันทีว่าผู้หญิงที่เดินออกไปเมื่อครู่คือซูหวานหว่าน และเขาก็กล่าวออกมาว่า “หน่อมฉันรู้ดีว่าองค์ชายสามคงจะรู้ดีว่าที่พวกเรามาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร? องค์ชายได้โปรดอย่าแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด อย่าทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก และได้โปรดส่งตัวซูหวานหว่านมาให้ข้าเสียดี ๆ จะดีกว่า”

“พวกเราอยู่ที่นี่…จะมีซูหวานหว่านได้อย่างไรกัน เจ้ามองผิดไปหรือเปล่า? นางแอบหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้ และตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหนแล้ว” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวออกมา พร้อมกับนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ซูหวานหว่านอยากที่จะยกนิ้วให้กับเฉิงเฟิงทันทีเมื่อได้ยินแบบนี้

นางคิดว่าฉีเฉิงเฟิงจะสามารถห้ามแม่ทัพเหนียนแทนนางได้ แต่ใครจะไปคิดว่าแม่ทัพเหนียนนั้นจะกล้าเผชิญหน้าแบบนี้

สือเฉิงชุนก้าวเท้าออกมาข้างหน้าและพูดว่า “ในเมื่อท่านไม่ยอมส่งตัวคนมาดี ๆ ข้าคนนี้จะเป็นคนจับตัวของนางเอง!”