อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะไล่ตามไปคว้าข้อมือนาง กำลังจะเอ่ยขึ้น พลันได้ยินข้างๆ มีเสียงสวบสาบ มีคนก้าวเดินเข้ามา ทั้งสองจ้องมองไป เป็นจงหมิ่นเหยียน พอเขาเห็นเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งก็ฉีกยิ้มกว้างกล่าวว่า “ที่แท้พวกเจ้าอยู่นี่เอง ทำเอาข้าหานานมาก”
ทั้งสองตกตะลึง คิดถึงที่เมื่อครู่เห็นๆ อยู่ว่าเขาอยู่กับหลิงหลง จีบกันไปมา ทำไมพริบตาก็มาอยู่ที่นี่คนเดียวแล้ว
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาสองคนอึ้งไป ก็ยิ้มกล่าวว่า “ทำไมมองข้าเช่นนี้ อาจารย์ให้ข้ามาตามพวกเจ้าอาจารย์เหมือนมีเรื่องจะสั่งการ”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ไม่ใช่ให้พวกเราไปกินข้าวหรือ”
จงหมิ่นเหยียนตะลึงงัน ตามมาด้วยยิ้มกล่าวว่า “อา…ใช่ แต่เมื่อครู่เขายังบอกว่ามีเรื่องจะบอก”
เสวียนจีไม่สงสัยเขา ยามนั้นจะตามเขาไป อวี่ซือเฟิ่งพลันถามว่า “เจ้าหก หลิงหลงล่ะ” เจ้าหก ชื่อเรียกนี้มีแต่หลิงหลงใช้ คนอื่นได้แต่ไว้ล้อเล่นหรือไม่ก็ตะโกนใส่หน้าตอนโมโห อวี่ซือเฟิ่งยิ่งไม่เคยเรียกขานเขาเช่นนี้มาก่อน
จงหมิ่นเหยียนสีหน้าแปรเปลี่ยน กล่าวว่า “นางไปก่อนแล้ว กำลังรอพวกเจ้า”
อวี่ซือเฟิ่งพลันยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “นางไปก่อนแล้ว? ไม่กระมัง!” กล่าวออกไป ในยามนั้นจงหมิ่นเหยียนสีหน้าแปรเปลี่ยน หันกายกระโดดสูงขึ้นไปราวสามจั้งเหมือนคิดหนี อวี่ซือเฟิ่งเตรียมตัวก่อนแล้ว จึงดีดลูกเหล็กในมือออกไปกำหนึ่ง ได้ยินเสียง ปึก ปึก ปึก ดังขึ้นหลายเสียง โดนกลางหลังคนผู้นั้น ร่างเขาโงนเงนราวกับจะล้ม อวี่ซือเฟิ่งตวัดกระบี่ในมือออกไปรอก่อนแล้ว เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บ แต่คนผู้นั้นพลันยกมือคว้ากิ่งไม้ราวกับชิงช้าโหนตัวขึ้นไป เด้งตัวออกไปยังพุ่มไม้ที่ไกลออกไป เขาสองคนรีบไล่ตามไป แต่ก็ช้าไป ที่พื้นมีเพียงรอยหยดเลือด คนผู้นั้นหนีเร็วมาก
“ตัวปลอมหรือ” เสวียนจีตกใจสงสัย คิดถึงจงหมิ่นเหยียนเมื่อครู่กับจงหมิ่นเหยียนตัวจริง ตั้งแต่รูปร่างยังหน้าตา แม้กระทั่งน้ำเสียงพูดจา ไม่มีตรงไหนไม่เหมือน ในใจยิ่งรู้สึกขนลุกชัน ใต้หล้านี้ถึงกับมีคนที่ปลอมตัวเป็นคนได้เหมือนมหัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร
อวี่ซือเฟิ่งใช้นิ้วแตะรอยเลือดมาดมดู กลิ่นคาวเลือดอ่อนๆ เลือดสดๆ สีออกเขียวๆ ไม่เหมือนเลือดมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์! เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นปีศาจ เขาหันกลับไปกล่าวว่า “ตัวปลอม ถูกวาจาข้าสะกิดโดนใจ จึงเปิดช่องโหว่ หนีไปเอง”
เสวียนจีน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เขา…เขาปลอมตัวได้เช่นนี้ เช่นนั้นที่ปลอมเป็นท่านพ่อหลอกศิษย์พี่หกนั่นก็คือเขา? เขา…เขาปะปนขึ้นมาเกาะฝูอวี้แล้ว?”
อวี่ซือเฟิ่งพลันคิดได้ทันที เมื่อครู่ได้ยินศิษย์เกาะฝูอวี้พูดกัน ในใจเขาก็เอาแต่ติดใจอยู่เรื่องหนึ่ง มักรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ ยามนี้จึงได้กระจ่างขึ้นทันที หลุดกล่าวออกมาว่า “ข้ารู้แล้ว! มารปีศาจพวกนั้นปะปนเข้ามาแล้ว!”
เขาเล่าเรื่องตอนบ่ายให้เสวียนจีฟัง ตอนนั้นได้ยินว่าฉู่เหล่ยนำศิษย์ใหม่ขึ้นเกาะมา เขายังไม่ทันได้ใส่ใจ ต่อมายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ฉู่เหล่ยกำลังสนทนาเรื่องราวหนหลังอยู่กับตงฟางชิงฉี อยู่ๆ จะไปนำศิษย์ใหม่ที่ไหนขึ้นเกาะ?
“มารปีศาจพวกนั้น! ในบรรดาพวกมันต้องมีปีศาจชำนาญแปลงกาย! ขอเพียงได้เห็นครั้งหนึ่ง มันก็จะแปลงกายได้เหมือนไม่มีที่ติ ข้าควรนึกได้นานแล้ว! ถิงหนูกล่าวได้ไม่ผิด หมิ่นเหยียนกลับมาครั้งนี้ พวกเขาวางอุบายไว้แล้ว! อาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันระวัง ปลอมตัวปะปนขึ้นเกาะฝูอวี้!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่สนใจจะอธิบายต่อ รีบหันหลังออกวิ่งทันที “เร็ว! พวกเราต้องหาท่านพ่อเจ้ากับเจ้าเกาะตงฟาง!”
ทั้งสองรีบรุดไปยังโถงกลางทันที ระหว่างทางได้พบกับหลิงหลง พอนางเห็นอวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีก็รีบยิ้มกวักมือเรียก “พวกเจ้าอยู่นี่เอง! ไปกัน พวกเราไปโถงกลางด้วยกัน!”
เสวียนจีถูกคนปลอมตัวทำเอาตกใจอยู่ไม่น้อย เกรงว่าหลิงหลงนี่ก็ปลอม จึงไม่ตอบในทันที ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา ชิ้ง หลิงหลงอึ้งกล่าวว่า “เจ้าทำอะไร” เสวียนจีทำท่าราวกับจะฟันลงไป หลิงหลงตกใจยืนหน้าตาเซ่อซ่าไม่ขยับ มองกระบี่เปิงอวี้ฟันลงมาตาปริบๆ
เสียง เคร้ง ดังขึ้น อวี่ซือเฟิ่งใช้กระบี่รับกระบี่เปิงอวี้ไว้ เขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เดี๋ยวก่อน!”
หลิงหลงสีหน้าซีดเผือด มองเขาสองคนอย่างไม่อยากจะเชื่อ เป็นนานก่อนจะน้ำตาหยดแหมะไหลไม่หยุด น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นอะไรไป เสวียนจี? ซือเฟิ่ง? เกิดอะไรขึ้น?”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้ามาจากไหน หมิ่นเหยียนทำไมไม่อยู่”
หลิงหลงกล่าวว่า “ข้า…เพิ่งมาจากที่พักหมิ่นเหยียน…ชายผมขาวนั่นบอกว่าได้เวลากินข้าวแล้ว…”
เสวียนจีถอนหายใจ เก็บกระบี่เปิงอวี้คืนฝัก เดินเข้าไปกอดหลิงหลงไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขอโทษ…ทำเจ้าตกใจแล้ว”
หลิงหลงทั้งตกใจและหวาดกลัว นิสัยเอาแต่ใจแต่เดิมก็เผยออกมาทันที กระทืบเท้าน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “พวกเจ้าเล่นอะไรกันนี่?! ล้อข้าเล่นเป็นลิงค่าง? อวี่ซือเฟิ่ง! เจ้าบอกข้า!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “มารปีศาจพวกนั้นปะปนขึ้นเกาะฝูอวี้มาแล้ว เมื่อครู่ปลอมตัวเป็นหมิ่นเหยียนมาตามพวกเรา ถูกข้าเปิดโปงลงมือจนบาดเจ็บหนีไปแล้ว เมื่อครู่เห็นเจ้ามาคนเดียว ดังนั้นจึงลังเล หมิ่นเหยียนล่ะ”
หลิงหลงกระทืบเท้า ร้อนใจกล่าวว่า “เมื่อครู่หมิ่นเหยียนถูกท่านพ่อเรียกตัวไป! เดิมข้าก็จะไปด้วย แต่ท่านพ่อหน้าบึ้งไม่ให้ข้าตามไป ข้าได้แต่มาก่อนคนเดียว…”
“ไม่ได้การ! นั่นไม่ใช่ท่านพ่อเจ้า!” อวี่ซือเฟิ่งตะโกนดัง “ตัวปลอม! ไม่ได้การ! พวกเรารีบค้นหา!”
เสวียนจีโกรธแค้นเจ้าคนที่ปลอมตัวไปมาอย่างมาก คิดว่าเขาเป็นคนหลอกจงหมิ่นเหยียนแล้วก็แทบอยากจะใช้กระบี่เปิงอวี้แทงเขาให้เป็นรูพรุนดังรังผึ้ง หลิงหลงยังคงงุนงงเล็กน้อย แต่ได้ยินว่าพวกเขาต้องการหา ย่อมไม่พลาดโอกาสนี้ ทั้งสามรีบกลับไปค้นหา เหินกระบี่รวดเร็วไปตามทิศทางที่จงหมิ่นเหยียนถูกหลอกไป
ป่าเขียวขจีหนาทึบราวกับคลื่นทะเล ปลายเท้าแตะผ่านไป หางตาเสวียนจีมองเห็นปลายชุดสีน้ำเงินเข้มของจงหมิ่นเหยียน เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้น ตรงหน้าเป็นฉู่เหล่ย นางกำลังจะตะโกนร้องเรียก หลิงหลงกลับตะโกนขึ้นก่อน “หมิ่นเหยียน! อย่าฟังเขา! เขาเป็นท่านพ่อตัวปลอม!”
จงหมิ่นเหยียนอึ้งเงยหน้าขึ้นมองเห็นเขาทั้งสามเหินกระบี่ลงมาอย่างรวดเร็ว เสวียนจีไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็ชักกระบี่จู่โจมฉู่เหล่ย ฉู่เหล่ยถอยหลังก้าวหนึ่งหลบกระบี่ที่จู่โจมมา น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “บังอาจ! พวกเจ้าทำอะไรกัน?!”
จงหมิ่นเหยียนไม่เข้าใจ เห็นเสวียนจีลงมือรุนแรงจู่โจมใส่ฉู่เหล่ย อดร้อนใจไม่ได้ กล่าวว่า “เสวียนจี! เจ้าบ้าแล้วหรือ?!” วาจาไม่ทันจบ อวี่ซือเฟิ่งก็แทงมาช่วยอีกกระบี่ เขายิ่งงงเข้าไปใหญ่ รีบกล่าวว่า “นี่ทำบ้าอะไรกัน? พวกเจ้า…บ้าไปหมดแล้วหรือ”
หลิงหลงคว้าเขาไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าถูกหลอกแล้ว! ท่านพ่อบอกว่าแต่ไรมาไม่เคยมีคำสั่งให้เจ้าไปเป็นสาย! มีคนปลอมตัวเป็นท่านพ่อมาหลอกเจ้า!”
จงหมิ่นเหยียนรู้สึกเพียงแค่ราวกับฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม วาจานางระเบิดใส่หัวเขาจนขาวโพลนไปหมด เป็นนานก่อนจะน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ”
หลิงหลงกล่าวอีกว่า “เมื่อครู่มีคนปลอมเป็นเจ้ามาหลอกเสวียนจีกับซือเฟิ่ง ถูกพวกเขาเปิดโปงทำร้ายบาดเจ็บกลับไป! เจ้าตั้งสติหน่อย! คนอย่างท่านพ่อจะให้เจ้าไปเป็นสายทำเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร?! คนนั้นไม่ใช่ท่านพ่อ!”
จงหมิ่นเหยียนไหนเลยจะตั้งสติทัน ในสมองเขาสับสนไปหมด กอปรกับทั้งสามตรงหน้ายังต่อสู้กันดุเดือด กระบี่ปะทะกันส่งเสียงกึกก้องดุดัน ทำให้คนฟังแล้วก็พลอยวุ่นวายใจตาม เขาค่อยๆ กุมศีรษะตนยองลงนั่งกับพื้น พูดไม่ออกแม้คำเดียว รู้สึกเพียงแค่ทุกสิ่งก่อนหน้าผ่านไปอย่างรวดเร็วราวเมฆหมอก คลุมเครือไม่ชัดเจน สิ่งใดก็มองไม่กระจ่าง
เสวียนจีจู่โจมอยู่นาน ในใจเริ่มลนลาน กระบวนท่ากระบี่พลันเปลี่ยนราวกับมังกรกระโจนขึ้นจากทะเล ปะทะกันพันพัว กระบี่เปิงอวี้แอบมีประกายวิบวับ ค่อยๆ ถูกนางสะบัดเร็วขึ้นราวกับงูเพลิงเลื้อยตัวฉก ฉู่เหล่ยก่อนหน้ารับมือการโจมตีของเขาทั้งสองคนมาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็เริ่มหมดแรง การเคลื่อนไหวของนางยิ่งเร็วขึ้น ทำเอาตาลายตามไม่ทัน กอปรกับอวี่ซือเฟิ่งเองก็เคลื่อนไหวแปลกประหลาด ทำให้คาดไม่ถึงว่ากระบี่จะแทงมาทางไหน เขาฝืนรับมือไปหลายกระบวนท่า ในที่สุดก็โดดหนี น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนทรยศหรือ?! เล่นบ้าอะไรกัน!”
หลิงหลงมองท่าทางเขา น้ำเสียงและอารมณ์เหมือนฉู่เหล่ยทุกอย่าง แต่ยังเชื่อว่าเขาคือตัวปลอมนั้น ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ กล่าวเบาๆ ว่า “พวกเจ้า…เดี๋ยว! เขาไม่ใช่ตัวปลอมกระมัง”
เสวียนจียิ้มเยียบเย็น ลูบกระบี่ในมือกล่าวว่า “เจ้าหลอกผู้อื่นได้ แต่หลอกข้าไม่ได้! กลิ่นคาวบนหลังเจ้าไม่อาจพ้นจมูกข้าไปได้! กลิ่นปีศาจ!”
คนผู้นั้นถูกนางเปิดโปงก็หันหลังคิดหนี อวี่ซือเฟิ่งพุ่งกระบี่ออกไปเต็มแรง คนผู้นั้นอยู่กลางอากาศไม่อาจหลบได้ทัน ได้แต่ป้องกันหน้าอกไว้ ถูกกระบี่เขาเฉียดผ่านข้างแก้มไป สีหน้าเขาแปรเปลี่ยน สองเท้าแตะบนยอดไม้เบาๆ ทั้งร่างก็ราวกับควันเขียวจางหายไปอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย
“เขาหนีไปได้อีกแล้ว!” เสวียนจีแค้นใจ เก็บกระบี่เปิงอวี้คืนฝักฮึดฮัด
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ใบหน้าเขามีบาดแผล อย่างไรก็ปลอมตัวไม่ได้อีก ไม่ว่าปลอมตัวเป็นผู้ใด ดูหน้ามีรอยแผลเป็นก็รู้ว่าเป็นเขา”
ทั้งสองหันกลับไป เห็นจงหมิ่นเหยียนท่าทางอึงอลไร้สติ อดถอนหายใจไม่ได้
“ไปกันเถอะ” อวี่ซือเฟิ่งเขาไปตบบ่าเขา “ไปหาเจ้าสำนักฉู่ เล่าทุกอย่างให้กระจ่าง”