อวี่ซือเฟิ่งเก็บของเสร็จ กำลังจะไปหาจงหมิ่นเหยียน พลันรู้สึกว่าเบื้องหน้ามีเงาคนอยู่ในพุ่มไม้แวบหนึ่ง เขาตะโกนออกไปทันทีว่า “ผู้ใด?” เสียงยังไม่ทันจบก็โดดออกจากประตู เห็นเพียงเงาคนผู้นั้น วิ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแวบหนึ่ง ดูแผ่นหลังแล้วไม่เหมือนเป็นศิษย์เกาะฝูอวี้ และยิ่งไม่เหมือนศิษย์สำนักเส้าหยางที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้
ในใจเขารู้สึกสงสัย พลันนึกถึงคำพูดถิงหนู การกลับมาของจงหมิ่นเหยียนอาจไม่ได้เรียบง่ายดังที่เห็นภายนอก ไม่แน่ว่าอาจเป็นอุบายอูถง เขาควักเอาลูกเหล็กออกจากอกเสื้อดีดออกไปหลายลูก คนผู้นั้นล้วนหลบได้อย่างแผ่วพลิ้ว เขาพลันรู้สึกว่าฝีมือคนผู้นั้นคุ้นเคยมาก ถึงกับเป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ
หรือว่าเจ้าตำหนักส่งคนมาแฝงตัวอยู่ในเกาะฝูอวี้ก่อนหน้านี้แล้ว?! คิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ่งตกใจ รีบไล่ตามคนผู้นั้นไปทันที คนผู้นั้นเลี้ยวไปวกมา ราวกับไปหาที่ห่างไกลผู้คน เขาพลันรู้สึกถึงภัย รีบหยุดการไล่ตาม คนผู้นั้นเองก็ไม่มาสนใจเขา เงาร่างแวบไปมาสองทีแล้วก็หายไป
ผู้ใดกัน ขึ้นเกาะมาได้อย่างไร อวี่ซือเฟิ่งคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เห็นศิษย์กลุ่มหนึ่งออกลาดตระเวนมาตรงหน้า เห็นเขาก็โบกมือทักทายอย่างคุ้นเคย เขารีบถามว่า “พี่ชายทุกท่านเห็นมีคนผ่านมาทางนั้นไหม” เขาชี้ไปยังทิศทางที่คนผู้นั้นหายตัวไปเมื่อครู่
คนเหล่านั้นพากันส่ายหน้าว่าไม่มี มีคนถามว่า “คุณชายอวี่เห็นคนน่าสงสัยหรือ”
เขาพยักหน้า ลังเลกล่าวว่า “บนเกาะป้องกันแน่นหนา บางทีข้าอาจมองผิด…แต่เมื่อครู่มีเงาคนจริงๆ”
คนเหล่านั้นพากันกล่าวว่า “คุณชายอวี่เห็นก็ย่อมไม่น่าผิด พวกเราไปตรวจสอบละแวกใกล้เคียงนี้ให้ละเอียดสักรอบแล้วกัน” กล่าวจบก็กวักมือเรียกทุกคนให้ตามไปหาทางนั้น อวี่ซือเฟิ่งถอยหลังกำลังจะกลับ พลันได้ยินศิษย์เกาะฝูอวี้คนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อครู่พวกเรามาจากทางประตูหน้า เจ้าสำนักฉู่นำศิษย์หลายคนมา หน้าตาไม่คุ้น แต่ก็ทักทายพวกเราตามมารยาทปกติ”
ศิษย์ใหม่? อวี่ซือเฟิ่งตะลึงงัน อีกคนข้างๆ กล่าวว่า “สำนักเส้าหยางมีชื่อเสียงก้องหล้า ทุกปีล้วนมีคนนับหมื่นพันไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ ศิษย์ใหม่มากอีกสักหน่อยก็ปกติกระมัง”
สองคนนั้นพูดจากันเดินออกไปไกล อวี่ซือเฟิ่งยืนตะลึงอยู่ที่เดิม หวนคิดถึงตั้งแต่ออกจากเส้าหยาง ก็ไม่มีผู้ใดมาช้าหรือตกหล่น ‘ศิษย์ใหม่’ นั่นโผล่มาจากไหน แต่ในเมื่อตามฉู่เหล่ยขึ้นเกาะมา ก็ย่อมไม่เป็นบุคคลต้องสงสัย
เขาคิดเรื่องนี้ไม่ตก ได้แต่หันหลังกลับ ผ่านไปทางที่พักจงหมิ่นเหยียน กำลังคิดเดินเข้าไปหาเขา พลันได้ยินเสียงด้านในแว่วมา ฉอเลาะใสกังวาน เป็นเสียงหลิงหลง ทั้งสองคงจะคุยส่วนตัวกันอยู่แน่ เขาไม่คิดแอบฟังคนอื่น ได้แต่หันหลังกลับ พลันเห็นคนตรงข้ามเดินมาท่าทางอรชรอ้อนแอ้น เป็นเสวียนจี พอนางเห็นอวี่ซือเฟิ่งยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูก็อึ้งไป ตามมาด้วยฉีกยิ้มกว้างราวกับผีเสื้อ โผเข้ามากอดแขนเขาไว้
“ซือเฟิ่ง! ที่แท้เจ้าก็อยู่นี่! ข้าก็ว่าทำไมหาเจ้าไม่เจอ”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางยิ้มกว้าง ท่าทางเบิกบานแจ่มใส อดลูบหน้าผากนูนอิ่มของนางไม่ได้ กล่าวอ่อนโยนว่า “มีเรื่องอะไรให้เบิกบานใจหรือ ยิ้มหน้าบานเช่นนี้”
“หาเจ้าตั้งนานก็หาไม่เจอ อยู่ๆ มาเจอที่นี่ ไม่นับเป็นเรื่องเบิกบานใจหรือ” สองตานางส่องประกายราวกับเด็กน้อยได้ของถูกใจ
เขาหัวเราะเบาๆ บี้จมูกนางที่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “หลิงหลงอยู่ข้างใน พวกเราอย่ารบกวนพวกเขา ไปกันเถอะ”
เสวียนจีได้พบเขาก็ย่อมลืมจงหมิ่นเหยียนไปหมดสิ้น กอดแขนเขาไว้เดินกลับ สองคนพูดไปหัวเราะไป พลันได้ยินเสียงหลิงหลงในลานด้านหน้าดังขึ้น น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าไม่ยอมบอกข้าก็แล้วไป! เจ้าคิดดูแคลนข้า รู้สึกข้าไร้ประโยชน์ ใช่ไหม?!”
ทั้งสองสบตากัน กว่าจะได้มาพบกันอีกครั้ง อย่าได้ทะเลาะกันเลย มันช่างเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจกันเหลือเกิน กำลังคิดเช่นนี้ พลันไม่อาจจากไป ได้แต่ปีนกำแพงแอบมองเขาสองคนว่าแท้จริงทะเลาะอะไรกัน หากมีเรื่องไม่ดี พวกเขาก็จะได้เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ย
ลานเล็กๆ มีโต๊ะหินตัวหนึ่ง เก้าอี้หินสองตัว จงหมิ่นเหยียนนั่งอยู่ หลิงหลงยืนหันหลังให้เขา ดังคาด กำลังมีเรื่องกัน เบื้องหน้าเสวียนจีมีกิ่งดอกไหวบังอยู่ นางยกมือแหวกออกมองลงไป เห็นเพียงจงหมิ่นเหยียนรีบลุกขึ้นมาดึงมือหลิงหลง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ได้ดูแคลน! ในใจข้าคิดอย่างไร ถึงวันนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ?”
หลิงหลงสะบัดออกเต็มแรง แต่สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด ได้แต่โมโหกล่าวว่า “ดี! ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ เหตุใดไม่ให้ข้าแก้แค้น?! เหตุใดไม่รับปากพาข้าไปเขาปู้โจวซานหาอูถง?!”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวสีหน้าจริงจังว่า “ประการแรก เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายอีก ประการที่สอง แม้ไปเขาปู้โจวซาน เจ้าก็หาอูถงไม่พบ ประการที่สาม…ข้าไม่อยากได้ยินชื่อคนคนนี้จากปากเจ้าอีก!”
แต่ไรมาหลิงหลงไม่เคยถูกเขาดุใส่เช่นนี้มาก่อน ยามนี้ถึงกับอึ้งไปทันที กล่าวไม่ออกสักคำ จงหมิ่นเหยียนถอนหายใจ พลันรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่อย่าเห็นเจ้าโดนเขาทำร้ายอีก!”
หลิงหลงพลันได้สติหน้าแดง ดิ้นรนเสียงดังขึ้นว่า “เจ้า…เจ้าบิดพลิ้วนี่! เจ้ายังคง…ยังคงดูแคลนข้า! เหตุใดพวกเสวียนจีไปได้ ข้าไม่ได้? เจ้า…”
นิ้วมือเขาสัมผัสริมฝีปากอ่อนนุ่มของนาง ทำให้นางต้องกลืนวาจาพลุ่งพล่านกลับคืน
“อย่าเอ่ยถึงเสวียนจีหรือคนอื่น” เขากล่าวแผ่วเบา ก้มหน้าลงค่อยๆ เข้าใกล้ริมฝีปาก วาจาที่เหลือถูกกลืนหายไปที่ริมฝีปากนาง “ผู้ชายเราปกป้องเพียงผู้หญิงของตนเอง…”
หลิงหลงรู้สึกเพียงแค่หน้ามืดตาลาย ไฟโทสะทั้งหมดหายไปกับจุมพิตร้อนผ่าวของเขา
ทั้งสองที่ปีนกำแพงอยู่ล้วนรู้สึกเก้กัง สบตากันพลันหน้าแดง แอบหัวเราะคิกก่อนจะโดดลงจากกำแพง
ทำได้ดี หมิ่นเหยียน! ในใจอวี่ซือเฟิ่งรู้สึกชื่นชมวิธีการที่เขาจัดการรับมือหลิงหลง เป็นดังที่พี่หลิ่วว่าไว้จริง บางครั้งพูดเหตุผลกับสตรีไม่มีประโยชน์ พวกนางแม้ว่าไร้เหตุผลก็จะต้องเถียงให้มีเหตุผล หากเจ้าไม่ยอมให้นาง นางก็จะโยงไปว่าเจ้าไม่รักนางพอ ยื้อไปมาเช่นนี้ สุดท้ายทั้งสองก็ยังแยกแยะไม่ออก สุดท้ายก็คงเป็นเจ้าไม่รักนาง ไม่สู้กอดนางไว้ก่อน แล้วก็จุมพิตนาง ได้ผลกว่า
เขาหันกลับไปมองสบตาเสวียนจี นางยังดี เซ่อซ่า แต่ไรมาไม่ทะเลาะกับใคร นางมีแต่ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาต่อสู้ บางครั้งก็หวังเหมือนกันว่านางจะหาเรื่องมาทะเลาะกับตนเองบ้าง เขาจะได้ลองวิธีพี่หลิ่วว่าบ้างว่าได้ผลไหม…
“ซือเฟิ่ง เจ้ายิ้มเจ้าเล่ห์อะไร เหมือนพี่หลิ่วเลย” เสวียนจีมองเขาอย่างแปลกใจ
อวี่ซือเฟิ่งรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ กล่าวว่า “อย่าพูดเหลวไหล!” พลางแอบตกใจเตือนตนเองว่าอย่าเป็นแบบหลิ่วอี้ฮวนเด็ดขาด เช่นนั้นย่ำแย่ยิ่ง
“เห็นพวกเขาเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว” นางพลันยิ้ม “ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกทุกอย่างไม่จริง ข้ายังกำลังคิดว่าใช่ภาพมายาหรือไม่…ศิษย์พี่หกกลับมาจริงหรือ ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว เขากลับมาจริงๆ”
อวี่ซือเฟิ่งได้ยินเสียงนางผิดปกติ อดก้มลงมองไม่ได้ ขอบตานางเริ่มแดง นางยกมือแตะหน้าผากกล่าวเบาๆ ว่า “ดีจริงๆ เขากลับมาแล้ว…”
เขาเอื้อมมือไปปิดเปลือกตานางไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจี”
นางส่ายหน้า “ข้าแค่ดีใจมาก รู้สึกทุกอย่างเหมือนความฝัน ซือเฟิ่ง เจ้าว่า นี่ใช่ความฝันไหม” นางกุมมือเขาไว้ พลันเงยหน้ามองเขา ท่าทางเช่นนี้ราวกับเด็กน้อย
เขาอดเอื้อมมือไปปาดน้ำตาที่หางตานางไม่ได้ ก่อนจะเอามาแตะที่ริมฝีปากตนชิมดู พลันยิ้มกล่าวว่า “บางครั้งก็อิจฉาหมิ่นเหยียนนะ”
เสวียนจีงงกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่ได้…”
เขาพยักหน้า “ข้ารู้…” น้ำเสียงราวทอดถอนใจ
เสวียนจีตะลึง กล่าวว่า “พวกเจ้ามักเอาเขามาว่าข้า เจ้าก็ด้วย พี่หลิ่วก็ด้วย หรือว่าต้องแยกว่าชอบผู้ใดมากกว่าผู้ใดจึงจะได้? วันนี้ข้าร้องไห้เพื่อเจ้า พรุ่งนี้ไม่อาจร้องไห้ให้ผู้อื่น? ข้าอยู่กับเจ้าแล้ว วันหน้าไม่อาจพูดคุยหัวเราะกับคนอื่นอีกหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่กล่าวอันใด
เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่ปวดหัวมาก พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว หันหลังเดินกลับ “ข้าเหนื่อยมาก จะไปนอนพักสักหน่อย”
กำลังจะก้าวออกไป แขนพลันถูกเขารั้งไว้ อวี่ซือเฟิ่งก้าวตามมาดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดเขา ยามถูกสองแขนเขาโอบกอดแน่นในอ้อมกอด เสวียนจีถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “เดี๋ยวมีคนเห็น…” วาจาไม่ทันจบ ก็รู้สึกเพียงแค่ริมฝีปากเขาแตะเปลือกตานาง รู้สึกร้อนผ่าว นางอดหลับตาลงไม่ได้ แนบใบหน้าลงกับฝ่ามือเขา คิดออดอ้อน แต่ก็อยากร้องไห้ให้สะใจ ระบายความอัดอั้นน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมดออกมา
เขาไล่จูบจากเปลือกตาลงไป อ้อยอิ่งอยู่ติ่งหูนาง กล่าวเบาๆ ประโยคหนึ่ง เสวียนจีพลันลืมตาโพลง อึ้งจ้องมองเขา “เมื่อครู่เจ้า…ว่าอะไรนะ ภาษาถิ่นแดนตะวันตกหรือ” อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อยไม่ตอบ นิ้วมือปัดผ่านแก้มนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ข้าก็เห็นแก่ตัวเช่นนี้ หวังว่าเจ้าจะสนใจเพียงข้าคนเดียวตลอดไป ร้องไห้หรือหัวเราะก็เพื่อข้า เจ้าจะรังเกียจข้าไหม”
นางพึมพำกล่าวว่า “จะรังเกียจ…ได้อย่างไร…”
เขาหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “รังเกียจก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ดีกว่าถูกเจ้าลืม เสวียนจี ข้าต้องการให้เจ้าจดจำข้า ไม่ลืมข้าตลอดไป”
เขาจูบนางอย่างแรง ไม่เหมือนจูบเมื่อก่อนที่ผ่านมา เหมือนกับจะกลืนกินนางลงไป
ใจนางแทบจะกระดอนออกมาจากอก แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ความรู้สึกไม่คุ้นเคยนี้ทำให้นางส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอ สองขาอ่อนแรง พิงแนบร่างกายนางเข้ากับกายเขา ไร้สิ้นเรี่ยวแรง
หลังหูพลันถูกเขากัดทีหนึ่ง นางตกใจรู้สึกเจ็บส่งเสียงร้อง “อา” ดังขึ้น กล่าวเสียงสั่นว่า “อย่า… อย่าทำอย่างนี้…” น้ำเสียงแหบพร่า แม้แต่นางเองยังแอบตกใจเสียงตน
อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ปล่อยนาง เสวียนจียืนกับพื้นได้ สองขาถึงกับไร้เรี่ยวแรง ยังเอนร่างพิงเขาต่อ เขาประคองท้ายทอยนางเอาไว้แผ่วเบา
เป็นนาน นางจึงได้กล่าวเสียงแผ่วว่า “เหตุใด…ไม่เหมือน…” นางคิดถาม เหตุใดจูบไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่รู้ทำไม ถึงกับถามไม่ออก
“เพราะข้าต้องการให้เจ้าไม่เหมือนเดิม” เขาหัวเราะเบาๆ นิ้วมือลูบหลังใบหูนางแผ่วเบา “เช่นนี้ ตอนนี้เจ้าก็นับว่าเป็นของข้าแล้ว วันหน้าจะต้องได้เป็นของข้าแท้จริง”
วาจาเขามีความรู้สึกบางอย่างบอกไม่ถูก ไม่เข้าใจเลย นางหน้าแดง ครั้งแรกที่นางอายจนไม่กล้าเงยหน้ามองเขา รู้สึกเพียงแค่จูบเขายังระอยู่ข้างแก้มนาง นางห่อไหลเล็กน้อย หลับตาลงผินหน้าออก กายสั่นเทา เขาเชยคางนางให้หันกลับมา
“ไม่…” นางลนลาน ท่าทางเขินอายหวาดหวั่นอย่างที่สุด แต่ก็เหมือนรอคอย
ยามกลีบปากทั้งสี่กำลังจะประสานกัน พลันรู้สึกมีอะไรผิดปกติ ทั้งสองหันกลับไปมองพร้อมกัน เห็นมกรหน้าห่างกันแค่คืบ หน้าตาเซ่อซ่าจ้องมองเขาสองคน
“อา!” เสวียนจีตกใจ พลันรู้สึกอายจนยากระงับ รีบหลบหลังอวี่ซือเฟิ่ง กดใบหน้าลงแผ่นหลังเขา พูดอย่างไรก็ไม่กล้าโผล่หน้าออกมา
ในใจอวี่ซือเฟิ่งก่นด่ามกรเป็นก้างขวางคอ แต่ปั้นหน้ายิ้มถามว่า “ทำไม มีเรื่องอะไรหรือ”
มกรฮึดฮัดกล่าวว่า “ไม่ต้องสนข้า ต่อๆ อ้อ จ้องมองเช่นนี้ไม่ดี? เช่นนั้นข้าหันหลัง เอาสิ! ต่อๆ!”
ต่อกับผีสิ! อวี่ซือเฟิ่งแทบอยากจะถีบเขาตกทะเล ขมวดคิ้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรกัน”
มกรฮึกล่าวว่า “ข้ามารบกวนเรื่องดีงามของพวกเจ้า? แต่ก็ขอโทษจริงๆ ในสายตาข้า ความรักหนุ่มสาวของพวกเจ้าก็แค่กรวดหินดินทรายเท่านั้น…”
“ยังไม่พูด? เช่นนั้นพวกเราไปแล้ว” อวี่ซือเฟิ่งรั้งไหล่เสวียนจีหันหลังกลับกำลังจะออกเดิน
มกรรีบตะโกนดังขึ้นว่า “ตาแก่นั่นบอกว่าจะกินข้าวแล้ว! ให้คนมาตามหาพวกเจ้า พอดีมาเจอข้ากำลังว่าง ดังนั้นเลยไหว้วานให้ข้ามาตาม! ฮึ อย่างไรก็มีแต่ข้าว่างที่สุด…พวกเจ้าคุยฝากรักจิ๊จ๊ะกัน รำลึกความหลังกัน…”
อวี่ซือเฟิ่งได้ยินวาจาเขาเหมือนเด็กน้อยอยู่มาก อดหัวเราะดังไม่ได้ เขยิบไปใกล้หูเขากล่าวว่า “จะกินข้าวแล้ว เจ้าก็ไม่ว่างแล้ว สุราอาหารบนเกาะฝูอวี้ดีกว่าข้างนอกพันเท่า”
เขารู้จักนิสัยมกรกระจ่างแล้ว มันจึงมองเขาอย่างพอใจตาวาว วิ่งออกไปก่อนอย่างไม่หันหลังกลับมามองอีก เสวียนจีอดหลุดขำออกมาไม่ได้ เงยหน้าสบตาอวี่ซือเฟิ่ง ใบหน้านางยังคงแดงระเรื่ออยู่ หากยังแดงได้อีก
“เจ้า…เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้!” นางสะบัดมือทิ้ง ในใจลนลานสับสนวิ่งออกไปทันที