ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 21 ใกล้ปะทุ (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ในที่สุดเสวียนจีก็ได้สติ เรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง กำลังจะรีบพุ่งเข้าไป อวี่ซือเฟิ่งรีบคว้าข้อมือนางไว้ส่ายหน้าน้อยๆ นางอึ้งไป หันไปมองมองหลิงหลงกอดจงหมิ่นเหยียนร้องไห้จนน่าสงสาร จงหมิ่นเหยียนตอนแรกก็ต่อต้าน แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว กอดเอวนางไว้พลางปลอบโยนเบาๆ 

 

 

นางได้แต่ยั้งตนเองไว้ ไม่เข้าไปรบกวนเขาสองคน 

 

 

ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ายังมีหน้ากลับมา?” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนรีบผลักหลิงหลงออกเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์สำนึกผิด เดินเส้นทางผิด ไม่กล้าขออาจารย์อภัย ขออาจารย์ลงโทษ!” 

 

 

ฉู่เหล่ยแค่นหัวเราะกล่าวว่า “ผู้ใดเป็นอาจารย์เจ้า” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนก้มหน้าไม่กล่าวอันใด ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ข้าไม่สังหารเจ้าก็นับว่าเมตตาแล้ว! เจ้าถึงกับยังมีหน้ากลับมา!” 

 

 

“ขออาจารย์ลงโทษ! ศิษย์ไม่กล้าแก้ตัว!” 

 

 

ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “ดี! เช่นนั้นข้าถามเจ้า เรื่องหมิ่นเจวี๋ยจะว่าอย่างไร สังหารคนต้องชดใช้ เป็นเรื่องสมควร! ชดใช้ชีวิตเจ้ามา?” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนปลดกระบี่ที่เอวลง สองมือประคองส่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขออาจารย์ลงโทษ!” 

 

 

เขากล่าวได้เพียงสามคำ ฉู่เหล่ยก็โมโหทันที น้ำเสียงนิ่งเรียบกล่าวว่า “เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” สิ้นคำก็คว้ากระบี่เขา ชักออกมาทันที เหอหยางร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าสำนักโปรดไตร่ตรอง!” บรรดาศิษย์ข้างๆ เห็นเขาโมโห ก็รีบคุกเข่าลงกันถ้วนหน้า ทั่วลานเงียบกริบฉับพลัน 

 

 

หลิงหลงลุกขึ้นยืนกันหน้าจงหมิ่นเหยียน กล่าวน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ท่านพ่อ! ท่านก็รู้หมิ่นเหยียนถูกหลอก! ท่าน…ท่านพ่อก็รู้ว่าเขาช่วยข้า! หากท่านพ่อจะสังหารเขา ไม่สู้สังหารข้าก่อน!” 

 

 

ฉู่เหล่ยมองจงหมิ่นเหยียนที่คุกเข่าอยู่หลังนางด้วยสายตาเยียบเย็น เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้าเองไม่มีอะไรจะกล่าวหรือ” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนลุกขึ้นยืนตรง ลูบไหล่หลิงหลงเบาๆ ปลอบใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์ทำความผิดใหญ่หลวง ไม่กล้าขอให้ตนเอง แต่ขออาจารย์ให้โอกาสศิษย์แก้ตัวสักครั้ง เรื่องที่ผ่านมา ศิษย์คิดว่าก่อนรับการลงทัณฑ์ ขออธิบายสักหน่อย” 

 

 

“ยังมีข้อแก้ตัวอะไรอีก หมิ่นเจวี๋ยเพิ่งลงฝัง หากที่เซ่นไหว้ศพยังคงอยู่ หลักฐานความผิดราวภูผา เจ้ายังมีอะไรแก้ตัวอีก” 

 

 

“ศิษย์พี่รองไม่ใช่ศิษย์สังหาร!” 

 

 

ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หรือว่าทุกคนในสำนักเส้าหยางล้วนมองผิด วันนั้นไม่ใช่เจ้าเป็นคนเอาศพกลับมาหรือ” 

 

 

“ศิษย์ส่งกลับมา แต่ศิษย์ไม่รู้มาก่อนว่าในหีบนั้นเป็นศพศิษย์พี่รอง!” 

 

 

“ปลิ้นปล้อน!” ฉู่เหล่ยผลักหลิงหลงออก กระบี่ในมือส่องประกาย ขณะที่ทุกคนกำลังร้องตกใจก็ฟันลงไปทันที จงหมิ่นเหยียนหลับตาลง รู้สึกเพียงแค่มีลมวูบผ่านหน้า พาดผ่านหน้าอกเขาไป ตามมาด้วยเสียง ชิ้ง ห่างจากเท้าเขาไปไม่กี่นิ้ว 

 

 

เขาค่อยๆ ลืมตาเงยหน้ามองอาจารย์ เห็นแววตาเจ็บปวดลึกๆ ของฉู่เหล่ย ในใจเขาพลันสะดุ้ง ก้มหน้าลง น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ขออาจารย์…สังหารข้า!” 

 

 

ฉู่เหล่ยนิ่งจ้องสีหน้าซีดขาวของเขา ฉับพลันก็มีภาพที่ตนเองเลี้ยงดูเขาแต่เล็กลอยเข้ามาในห้วงความคิดทีละฉาก สอนเขาอ่านหนังสือ เขียนหนังสืออย่างไร ถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้เขาอย่างไร เด็กคนนี้เติบโตขึ้นทุกปี ทุกปีล้วนต้องตัดชุดใหม่ ชุดเก่าเหอตันผิงก็ตัดใจทิ้งไม่ลง ได้แต่เอาไปเก็บลงหีบ ชุดเด็กน้อยในหีบแต่ละชุด พริบตาเขาก็โตเช่นนี้แล้ว 

 

 

หลังจากกระบี่นั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็แทงไม่ลงอีก สุดท้ายได้แต่ถอนใจยาว เคร้ง กระบี่หล่นลงตรงหน้าจงหมิ่นเหยียน ฉู่เหล่ยไพล่มือหันหลังกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ ข้าจะฟังเจ้าอธิบายก่อน มีโอกาสเพียงครั้งเดียว” 

 

 

ในใจจงหมิ่นเหยียนว่างเปล่าไร้หนทาง ไม่รู้รสชาติเป็นเช่นไร สุดท้ายได้แต่กัดฟัน กำลังจะกล่าวออกมา พลันได้ยินฉู่เหล่ยกล่าวอีกว่า “คุกเข่าที่นี่ดูได้ที่ไหนกัน ลุกขึ้นให้หมด! อย่ามาทำเสียหน้านอกสำนัก!” 

 

 

ทุกคนพากันลุกขึ้น หลิงหลงทั้งร้องไห้ทั้งแย้มยิ้ม ปรี่เข้าไปประคองเขา นางเอาแต่เรียกชื่อ “หมิ่นเหยียน! หมิ่นเหยียน!” จงหมิ่นเหยียนยิ้มเฝื่อนกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เรียกข้าเจ้าหกแล้วหรือ” นางกอดคอเขาแน่น สะอื้นกล่าวว่า “ยามนี้เจ้ายังมาพูดอะไรไร้สาระ! กลับมาก็ดีแล้ว!” เขาถอนหายใจ ลูบผมนางสองที กล่าวอ่อนโยนว่า “ขึ้นเกาะกันก่อน วันหลังค่อยว่ากัน” 

 

 

บรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้มองพวกเขาจัดการเรื่องส่วนตัวเสร็จ ก็นำทางเหินกระบี่ไปยังเกาะฝูอวี้ 

 

 

หลายครั้งเสวียนจีคิดจะเข้าไปคุยกับจงหมิ่นเหยียน แต่ก็ลังเลถอยกลับมา โลกของทั้งสองคนตรงหน้าเหมือนว่าไม่ควรมีตนเองแทรกอยู่ อวี่ซือเฟิ่งเหมือนมองความในใจนางออก บีบมือนางกล่าวเบาๆ ว่า “คืนนี้พวกเราไปหาเขาด้วยกัน ตอนนี้ให้เขาสองคนคุยกันไปก่อนแล้วกัน” 

 

 

นางพยักหน้า ถิงหนูที่อยู่ข้างๆ พลันกล่าวเบาๆ ว่า “เรื่องนี้ดูเหมือนง่ายไปหน่อย หลังขึ้นเกาะ พวกเจ้าต้องเฝ้าดูเขาไว้ อย่าได้วางใจ” 

 

 

เสวียนจีตะลึงงัน ร้อนใจกล่าวว่า “เดี๋ยว เดิมเขาก็เป็นคนของพวกเรานะ! ตอนนี้กลับมาแล้ว! ถิงหนู ไยเจ้ากล่าวเช่นนี้!” 

 

 

ถิงหนูกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้านิ่งคิดหน่อย คิดให้ดี เขาช้าเร็วไม่กลับมา หากกลับมาเอาตอนขึ้นเกาะ เบื้องหลังยากจะไร้อุบายแฝง อุบายก็ไม่แน่ว่าเป็นเขาวาง จงหมิ่นเหยียนแม้ว่าเป็นคนฉลาด แต่ไม่อาจเทียบกับมารปีศาจ จริงๆ แล้วแม้แต่หลิงหลงก็อาจยังสู้ไม่ได้ พวกเจ้าคิดดู เจ้าเกาะตงฟางไม่อนุญาตให้คนนอกขึ้นเกาะ ลองคิดอีกที เหตุใดเขาจึงกลับมาตอนนี้” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วกล่าวว่า “ความหมายเจ้าก็คือ อูถงส่งเขาขึ้นเกาะมาเป็นสาย?” 

 

 

“ก็ไม่แน่ว่าเป็นไปไม่ได้ สรุปคือพวกเจ้าต้องเฝ้าดูเขาให้ดี” 

 

 

เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง แม้ว่าไม่ยินยอม แต่ก็ยังพยักหน้า 

 

 

หลิ่วอี้ฮวนที่ไม่กล่าวอะไรมาตลอด พลันหัวเราะเยียบเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง ลูบจมูกกล่าวว่า “คนโง่เอ๊ย! คนโง่! ถูกหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า ใต้หล้ามีแต่เขาที่จะเป็นคนโง่เช่นนี้ได้!” 

 

 

ทั้งสองนึกถึงวาจาเขาที่เมืองชิ่งหยางวันนั้น ในใจพลันเงียบงัน 

 

 

ทุกคนขึ้นเกาะฝูอวี้ ดังคาด บนเกาะป้องกันแน่นหนากว่าครั้งก่อนมาก ทุกห้าก้าวจะมีเวรยาม สิบก้าวจะมีการตรวจสอบ มาถึงหน้าห้องโถงกลาง ตงฟางชิงฉีมายืนรออยู่ที่นั่นนานแล้ว พวกฉู่เหล่ยทั้งสามรีบตรงเข้าไปทักทาย ทุกคนทักทายตามมารยาทก่อนจะเข้าไปนั่งดื่มน้ำชา 

 

 

ตงฟางชิงฉีมองจงหมิ่นเหยียนยืนอยู่ในกลุ่ม สีหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ในใจยามนั้นก็เข้าใจ จึงยิ้มกล่าวว่า “ครั้งนี้เป็นศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นสำนักเส้าหยางพวกเจ้าได้แสดงฝีมือแล้วสินะ! คนมากันครบแล้วกระมัง ข้าดูหน่อย…เอ๋? หมิ่นเจวี๋ยทำไมไม่มา” 

 

 

ต่อให้เขาฉลาดเพียงใดก็ย่อมเดาสาเหตุไม่ออก พอกล่าวออกมา เห็นสีหน้าทุกคนผิดปกติ ก็รีบหุบปาก หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “พวกเด็กๆ มากันครบแล้ว! หลิงหลง ครั้งก่อนเจ้าทำให้พวกเราเป็นห่วงแทบแย่ ครั้งนี้ลงโทษเจ้าดื่มมากกว่าคนอื่นสองจอก! เหอๆ” 

 

 

ฉู่เหล่ยยิ้มกล่าวว่า “เด็กน้อยดื่มอะไรกัน! พี่ชิงฉีอย่าได้เอาใจพวกเขาจนเสียคน” 

 

 

หลิงหลงรีบกล่าวว่า “ควรๆ! เกาะท่านอาตงฟาง สุราร้อยบุปผาน้ำค้างเขียวข้าคิดถึงไม่เคยลืม! ยังมีกับแกล้มของฮูหยินเจ้าเกาะทำอีก…ใช่แล้ว ท่านอาตงฟาง ฮูหยินท่านล่ะ” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนรีบรั้งแขนเสื้อนาง บุ้ยใบ้ไม่ให้นางพูดมาก หลิงหลงงุนงงไปหมด ไม่รู้เรื่องรู้ราว 

 

 

ตงฟางชิงฉีแสร้งไม่ได้ยิน เพียงยิ้มกล่าวว่า “สุรานั้นมีอยู่! เกรงแต่ว่าเจ้าดื่มมากไปจะต้องให้ท่านพ่อเจ้าแบกกลับไปน่ะสิ” 

 

 

ฉู่เหล่ยถามว่า “เจ้าหุบเขาหรงกับเจ้าตำหนัก พวกเขายังมาไม่ถึงหรือ” 

 

 

ตงฟางชิงฉีส่ายหน้า “เจ้าหุบเขาหรงถึงพรุ่งนี้ ส่วนทางตำหนักหลีเจ๋อนั้นเหมือนมีธุระส่วนตัว อีกสองสามวัน…เอ๋ ซือเฟิ่งอยู่นี่! เหอๆ เจ้าตำหนักเจ้ามักจะทำตัวลึกลับ ทำเอาคนเดาใจไม่ถูกจริงๆ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบางไม่กล่าวอันใด ฉู่เหล่ยมองสองฝ่ายที่ต่างไม่รู้กันท่ าทางประดักประเดิดอยู่บ้าง พูดมากไปก็รังแต่จะประดักประเดิดกันมากขึ้น ดังนั้นจึงสั่งว่า “ข้ากับเจ้าเกาะไม่ได้เจอกันนาน มีเรื่องอยากสนทนากันมากมาย พวกเจ้าออกไปพักกันก่อน ไว้ค่อยไปตามพวกเจ้ามากินข้าว” 

 

 

เด็กๆ กรูกันออกไป แต่ละคนตรงไปยังห้องพักตนเอง 

 

 

เสวียนจีนั่งอยู่ในห้องได้ครู่หนึ่งก็เบื่อมาก เปิดประตูออกมามองด้านนอกมีแต่ศิษย์เกาะฝูอวี้ลาดตระเวนเต็มพื้นที่ ดูท่าครั้งนี้เจ้าเกาะตงฟางตัดสินใจแล้วว่าแม้ต้องล่วงเกินคนในยุทธภพก็ต้องทำให้งานชุมนุมปักบุปผาดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย 

 

 

ตอนนี้ในสมองนางมีแต่เรื่องจะถามจงหมิ่นเหยียน ตอนนี้เขาต้องอยู่กับหลิงหลงแน่ ทั้งสองจากกันไปนาน ตนเองไม่อาจไปรบกวนได้ นางได้แต่เลี้ยวกลับไปหาอวี่ซือเฟิ่ง คิดจะบ่นสิ่งที่ติดข้องในใจ เพิ่งก้าวไปได้สองก้าวก็เหมือนมีอะไรปาใส่หัว นางอึ้งเงยหน้าขึ้นมองเห็นแต่ต้นท้อต้นใหญ่ มกรกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ที่สูงที่สุด กัดกินผลท้ออย่างสบายอารมณ์ เมื่อครู่ที่ปาโดนหัวนางก็คงเป็นเม็ดท้อที่เขาคายทิ้ง 

 

 

“นี่! เจ้าหน้าตาซึมกะทือเหมือนคนตาย จะไปไหนหรือ” เขาพูดจาหาเรื่องเจ็บตัวเหมือนเดิม 

 

 

เสวียนจีมองเขา โมโหจนหายใจไม่ทัน ก้มลงเก็บเม็ดท้อ เล็งแล้วปาไปที่หน้าเขา มกรเกือบถูกเม็ดท้ออัดเข้าหน้าอกก็หลบอย่างว่องไว ก้มตัวโดดลงจากต้นท้อ หัวเราะเยาะว่า “ไม่โดน!” 

 

 

ทันทีที่กล่าวจบ ก็ถูกนางปาด้วยก้อนดินเข้าเต็มที่ งับเอาก้อนดินเข้าเต็มปาก 

 

 

“ถุยๆ! นังหญิงหน้าเหม็น! เผาเจ้าทิ้งเลย!” เขาโมโหยกแขนเสื้อเช็ดหน้า “ถึงกับปาดินใส่ใต้เท้ามกรผู้ยิ่งใหญ่! กลับไปจะเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ฟ้องเจ้า ให้เจ้าโดนเสียบ้าง!” 

 

 

เสวียนจีเห็นหน้ากระดำกระด่างของเขาทุลักทุเลเต็มทนก็อดขำพรืดออกมาไม่ได้ ความอัดอั้นตันใจราวกับหายไปสิ้น 

 

 

“ถูกปาจนสมองโง่หรือ หัวเราะบ้าอะไร…” มกรล้วงเอาผลท้อออกมาโยนให้นาง “รสชาติไม่เลว ให้เจ้าชิม!” 

 

 

เสวียนจีไม่เกรงใจ ใช้แขนเสื้อเช็ดขนบนผลท้อแล้วก็งับทันที ดังคาด รสหวานอย่างยิ่ง 

 

 

“ที่นี่ไม่เลว เทียบกับเส้าหยางล้วนสวยกว่าหมด! เหมือนอุทยานเล็กของราชันสวรรค์” มกรยกมือบังเหนือคิ้วมองไปรอบทิศ ทิวทัศน์เกาะฝูอวี้งดงามมาก ใต้หล้าเลื่องชื่อ แต่วาจาจากปากเขากลับกลายเป็นอุทยานของราชันสวรรค์ไปแล้ว ยังเป็นอุทยานเล็กเสียด้วย 

 

 

“สวรรค์ดีมากหรือ” เสวียนจีกินท้อไปก็ขุดพื้นไป ฝังเม็ดท้อลงดิน 

 

 

มกรคิดไปคิดมา “ทิวทัศน์ก็ไม่เลวนะ แต่ของไม่อร่อย ไร้รสชาติ! ดูสวยงาม กินแล้วเหมือนก้อนดิน อย่างไรของในโลกมนุษย์ก็อร่อยกว่า” 

 

 

เสวียนจียิ้ม กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ดูงาม มักจะปลอม” 

 

 

มกรปรบมือ “ไม่เลว! ที่แท้เจ้าก็รู้ประโยคนี้! ไป๋ตี้มักกล่าวว่าของที่ดูแล้วงามยั่วยวนมักจะเชื่อไม่ได้ ไม่ว่าคน เรื่องราว หรือของกินอะไรก็ตาม ต้องเข้าใจและลิ้มลองด้วยตนเองจึงจะสรุปได้” 

 

 

“เขาพูดได้มีเหตุผล แต่…ไป๋ตี้คือใคร” 

 

 

มกรตะลึงงัน มองนางอย่างสงสาร ถอนใจกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าปัญญาอ่อนจนแม้แต่ไป๋ตี้ก็ไม่รู้จักแล้ว…เวียนว่ายช่างทำร้ายคนจริง…” 

 

 

เสวียนจีกระชากผมเขาจนเขาร้องโหวกเหวกโวยวาย “ว่ามาเร็ว! อย่านอกเรื่อง!” 

 

 

มกรลูบผมตนเองอย่างยังหวาดระแวง ผละออกห่างจากนางมาได้ จึงได้กล่าวว่า “นังหญิงหน้าเหม็น ความรู้น้อย! ข้าบอกเจ้านะ ไป๋ตี้ก็คือตงฟางไป๋ตี้ ผู้ดูแลฝั่งตะวันออกทั้งหมด เหมือนเป็นดังอนุชาราชันสวรรค์! ตอนแรกหากไม่ใช่ไป๋ตี้ขอร้องให้เจ้า เจ้าตายไปนานแล้ว! ยังมีหน้ามาถามข้าว่าไป๋ตี้คือใคร” 

 

 

เสวียนจีเหมือนพอมีภาพทรงจำนี้อยู่บ้าง แต่ก็เลือนรางเต็มที ในที่สุดก็ขี้เกียจนึก ถอนหายใจเดินไปนั่งลงบนพื้น กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เขากล่าวได้ถูกต้องมาก ของที่ดูแล้วยิ่งงาม ก็มักจะยิ่งปลอม ยามนี้ช่วยหลิงหลงกลับมาแล้ว ศิษย์พี่หกก็กลับมาแล้ว ซือเฟิ่งก็อยู่ที่นี่…ยังมีพี่หลิ่ว ถิงหนู…ทุกคนล้วนดีๆ กันหมด ดีมากๆ ช่างเป็นดังภาพฝันที่แสนงดงาม ข้ายังกังวลอะไร…” 

 

 

เป็นครั้งแรกที่มกรได้ยินนางกล่าวความในใจกับตนด้วยท่าทางเป็นการเป็นงานเช่นนี้ อดเขยิบเข้าไปใกล้อีกหน่อยไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้ากังวลอะไร พวกผู้หญิงมักจะกังวลว่าดองหัวไชเท้าจืดนี่นั่น เอาแต่กังวลไปเองจนเสียเรื่อง” 

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่รู้…อาจจะกังวลว่ามีคนมาทำลายทุกสิ่ง ยิ่งกลัว…มันจะเป็นเรื่องไม่จริง” 

 

 

“จริงไม่จริง ข้าก็ไม่รู้แล้ว…” มกรนั่งยองลงกล่าวว่า “แต่หากมีคนมาทำลาย เจ้าจะช่วยยันพวกเขากลับไปไม่ได้อีกหรือ แม่ทัพเทพสงครามยังกลัวมารปีศาจพวกนั้น? เมื่อก่อนเจ้าเป็นดาวข่มทำลายพวกเขาเลยนะ!” 

 

 

เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “ข้าเมื่อก่อนร้ายกาจเช่นนี้จริงหรือ” 

 

 

“แน่นอน! แต่ว่านะ เทียบกับข้ามกรผู้ยิ่งใหญ่แล้วก็ขาดอีกราวหมื่นแปดพัน เอาน่า ยามนี้ข้าใจดี ยอมช่วยเจ้าสักหน่อย เจ้าควรจะโขกศีรษะขอบคุณความใจดีข้าถึงจะถูก” 

 

 

น้อยมากที่เสวียนจีจะไม่โมโห คิดไปคิดมา พลันรู้สึกว่าเขาคิดตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ไม่เลว มีคนมาทำลาย ก็ยันกลับไปก็ได้นี่ คิดถึงตรงนี้ นางก็ปล่อยวางเบิกบานใจ ถอนหายใจยาว หงายหลังลงนอนกับพื้น กล่าวว่า “ไม่เลว ความฝันแสนงดงาม ผู้ใดคิดทำลาย ข้าก็จะไล่ตีพวกเขาให้กระเจิง!” 

 

 

“ยังมีข้า! ข้าก็จะลงมือต่อยตีด้วย!” มกรได้ฟังว่ามีเรื่องให้ต่อยตีก็รีบขอร่วมวง 

 

 

เสวียนจียกมือไปลูบใบหน้าหล่อเหลาของเขาราวกับลูบลูกสุนัขตัวหนึ่ง กล่าวว่า “ดี คนชั่วมา ก็ส่งเจ้าไปเป็นแนวหน้า! เหอๆ”