งานชุมนุมปักบุปผาเมื่อสี่ปีก่อน พวกเสวียนจียังเป็นเด็กน้อย ได้แต่นั่งเหงามองดูอยู่บนเก้าอี้ยาวข้างๆ หลิงหลงไม่เคยหยุดนึกภาพว่าเมื่อตนเองโตแล้วจะได้ร่วมงานชุมนุมปักบุปผา จัดการคู่ต่อสู้ทุกคนให้หมอบราบคาบ นั่นย่อมเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่เพียงใด ผู้ใดจะรู้ว่าสี่ปีให้หลัง งานชุมนุมปักบุปผารอบใหม่ คนร่วมงานกลับเป็นเสวียนจีที่เมื่อก่อนไม่สนใจที่สุด ยังมีเหตุจากสำนักเซวียนหยวน จึงต้องเพิ่มเติมจำนวนศิษย์เข้าไปอีก
ตลอดทางไปเกาะฝูอวี้ หลิงหลงระงับความตื่นเต้นไม่อยู่ เอาแต่คุยกับเสวียนจีถึงงานไม่หยุด นิสัยนางยังเหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ได้ข่าวลับจากศิษย์เข้าร่วมที่ไหนมา แม้แต่คนเขาใช้อาวุธอะไร ถึงกับไม่ชอบกินอะไรก็สืบมาหมด เอามาเล่าออกรสออกชาติเพิ่มให้เสวียนจีฟัง
“ปีนี้นะ กระบี่หยกประสานเกาะฝูอวี้อายุเกินแล้ว ดังนั้นเข้าร่วมไม่ได้แล้ว ศิษย์ใหม่ก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ไม่ต้องห่วง แต่ว่าคนตำหนักหลีเจ๋อหลายคนมีวิชากระบี่ประหลาดล้ำ…แหะๆ พูดถึงตำหนักหลีเจ๋อ เดิมซือเฟิ่งก็ต้องเข้าร่วมด้วยกระมัง แต่ไม่ร่วมก็ดี ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าสองสามีภรรยาบนเวทีประลองสูงต่ำ ใช่ว่าทำลายความสัมพันธ์หรือ”
ตั้งแต่หลิงหลงรู้ความสัมพันธ์เสวียนจีกับซือเฟิ่ง ก็เอาแต่หยิบยกมาหยอกล้อ
เสวียนจีได้ยินคำว่า ‘สองสามีภรรยา’ ก็อดหน้าแดงไม่ได้ ค้อนนางขวับ กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าพูดมั่วไป! จะว่าไป เจ้าไปเอาข่าวมากมายพวกนี้มาจากไหนกัน…”
หลิงหลงตบหน้าอกตนเองท่าทางได้ใจ ยิ้มกล่าวว่า “ข้ามีวิธีของข้าสิ! แหะๆ ที่ห้องท่านพ่อมีรายชื่อศิษย์เข้าร่วม ถูกข้าขโมยดูนานแล้ว! เดิมเจ้ากับซือเฟิ่งก็มีชื่อ แต่ตอนนี้ชื่อซือเฟิ่งถูกลบทิ้ง สำนักเส้าหยางเรา นอกจากข้า รุ่นอักษรหมิ่นทุกคนล้วนมีชื่อ! ศิษย์พี่ใหญ่เอย ศิษย์พี่สามเอย…เจ้าหก…อา…”
นางพูดถึงจงหมิ่นเหยียน น้ำเสียงพลันวูบลง เสวียนจีกลัวนางเศร้า จึงรีบแทรกขึ้นว่า “ล้วนเป็นคนคุ้นเคยกัน งานครั้งนี้ต้องครึกครื้นแน่! ข้าต้องปักบุปผาให้เจ้าดู!”
หลิงหลงหลุดหัวเราะออกมา จิ้มหน้าผากนาง กล่าวว่า “หน้าไม่อาย! เจ้ามั่นใจว่าจะชนะขนาดนั้นเลย? ฮ่าๆ เจ้าหกไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นไหนเลยเจ้าจะขี้โม้ได้!”
ผู้หญิงเรานี่เป็นพวกที่พอมีคู่รักก็ลืมครอบครัวจริงๆ เลย…เสวียนจีมองนางอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไร “ศิษย์พี่ใหญ่ก็ร้ายกาจนะ ว่าไป ข้ายังไม่ได้เห็นความสามารถเขาเลย! ท่านพ่อมักว่าเขามีคุณสมบัติ มีความสามารถ เกิดครั้งนี้มาเจอกับเขาเข้า ข้าว่าไม่แน่อาจจะแพ้ก็ได้นะ”
ครั้งนี้นางกลับถึงเส้าหยางยังไม่ได้พบตู้หมิ่นหัง ทุกคนร่วมเดินทางมายังเกาะฝูอวี้ด้วยกัน เขาก็อยู่ด้านหลังขบวนด้วย แต่ไม่เผยหน้า ราวกับจงใจหลบเลี่ยง เหตุใดเขาไม่อยากออกมาพบทุกคน หัวเราะเฮฮากันเหมือนเมื่อก่อนสนุกเพียงไร
“ครึ่งปีมานี้เขาเก็บตัวฝึกในถ้ำแสงฉานกระมัง เพิ่งออกมา เดาว่าพูดจาไม่เป็นแล้ว แต่เจ้าเป็นศิษย์น้องเล็ก หากต้องเจอกันจริง เขาต้องยั้งมือไว้น้ำใจกันบ้างกระมัง”
หากยอมให้กันจริงนั่นจะมีความหมายอันใด เสวียนจีหันกลับไปมองยังกลุ่มคนครู่หนึ่ง เหมือนเห็นเงาสีน้ำเงินอ่อนแวบหนึ่ง เพียงพริบตาเท่านั้น จากนั้นก็เร้นกายไปหลังฝูงคน นางได้แต่หันกลับมาอย่างงงงวย น่าแปลก ศิษย์พี่ใหญ่ที่เคยเมตตาอารีไปไหนเสียแล้ว
******
ยามบ่าย ทุกคนเหินกระบี่ถึงหมู่บ้านฝูอวี้ เนื่องจากงานชุมนุมปักบุปผากำลังจะเริ่ม คนในหมู่บ้านจึงเนืองแน่นไปหมด แต่ละแห่งล้วนมีแต่บรรดาศิษย์ที่มาชม เกาะฝูอวี้ไม่เหมือนสำนักอื่น ทั้งเกาะคลุมด้วยแหกระบี่ ไม่อาจเข้าออกกันตามใจ ดังนั้นหลายคนจึงถูกศิษย์เฝ้าประตูกันมารออยู่ที่หมู่บ้านนี้ เสียงสงสัย เสียงด่าทอ เสียงตะโกน…มีหมด แต่เห็นชัดว่าตงฟางชิงฉีไม่สนใจ นอกจากสี่สำนักใหญ่ คนอื่นๆ ไม่อนุญาตให้ขึ้นเกาะทั้งนั้น
“เจ้าสำนัก ท่านดู…” ฉู่อิ่งหงเห็นความวุ่นวายในหมู่บ้าน อดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
ฉู่เหล่ยพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าเกาะย่อมมีความเห็นของเขา ทำเช่นนี้แม้ว่าทำลายสัมพันธ์ฉันมิตรกับสำนักอื่นได้ง่าย แต่ก็อาจจะเป็นวิธีการดีที่จะหลบหลีกความยุ่งยาก”
อย่างไรเรื่องมารปีศาจทำลายโซ่หมุดทะเลยังรออยู่ พวกที่มาชมงานชุมนุมปักบุปผาก็เป็นพวกร้อยพ่อพันแม่ มีคนทุกประเภท หากเกิดเปิดประตูกว้างรับคนเข้าไป เกาะฝูอวี้เกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลย่อมไม่ดีนัก ง่ายต่อการเกิดเหตุสายลับแทรกซึม
ทุกคนเดินไปข้างหน้า ได้ยินคนเหล่านั้นกำลังทะเลาะกันดังคาด คนที่นำก่อเรื่องก็คือสองสำนักใหม่ที่เพิ่งเริ่มมีชื่อเสียงไม่กี่ปีมานี้ งานชุมนุมปักบุปผาทุกครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาก็ล้วนมาชมการประลอง และยังเคยแสดงความเป็นมิตรกับฉู่เหล่ย หวังจะได้ร่วมจัดงานชุมนุมปักบุปผา แต่ถูกฉู่เหล่ยปฏิเสธอ้อมๆ กลับไป ครั้งนี้พวกเขาก็มาร่วมชมการประลองที่เกาะฝูอวี้อีก ปรากฏไม่ให้เข้าไป จึงกำลังทะเลาะกับบรรดาศิษย์เฝ้าที่นี่อย่างไม่มีใครยอมใคร
“…งานชุมนุมปักบุปผาเป็นงานยุทธภพ ไม่ใช่ของเจ้าเกาะฝูอวี้คนเดียว! สำนักเส้าหยางเองไม่ได้ปฏิเสธคนเดินทางจากแดนไกลนับพันลี้ พวกเจ้าเกรงว่าประเมินค่าตนสูงไปหน่อยกระมัง!”
คนกล่าวหน้าตารุงรังไปด้วยหนวดเครา เป็นหนึ่งในบุคคลระดับอาวุโสของสำนักใหม่นั่นคนหนึ่ง ศิษย์เกาะฝูอวี้หลายคนยืนอยู่ท่ามกลางทุกคนอย่างไม่เกรงกลัว กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าเกาะมีคำสั่งล่วงหน้า งานชุมนุมปักบุปผายังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ นอกจากสี่สำนักใหญ่ที่มาเข้าร่วมประลองที่เกาะฝูอวี้แล้ว ที่เหลือไม่ให้เข้าไป ขอเชิญทุกท่านกลับไปรอที่หมู่บ้าน ถึงวันเปิดงานอย่างเป็นทางการค่อยแบ่งรอบกันเข้าเกาะ สิ่งใดล่วงเกินก็ขอทุกท่านโปรดอภัย”
หลายคนที่กำลังเอาเรื่องไหนเลยจะสนใจว่าพวกเขากล่าวว่าสุภาพอย่างไร ได้แต่พากันโหวกเหวกโวยวาย ฉู่เหล่ยฟังจนทนไม่ไหว ขมวดคิ้วกล่าวเสียงดังกังวานว่า “สำนักเส้าหยางมาเยือน รบกวนแจ้งด้วย”
คำว่าสำนักเส้าหยางกล่าวออกไปทำให้ทั่วลานเงียบกริบ ทุกคนที่มีเรื่องกันอยู่ก็รีบแหวกทางให้พวกเขาเดินผ่าน ศิษย์เกาะฝูอวี้พอเห็นว่าเป็นพวกฉู่เหล่ยก็รีบยิ้มกว้างทันที วันนั้นที่เกาะฝูอวี้ถูกมารปีศาจโจมตี ได้เจ้าสำนักฉู่กับเจ้าหุบเขาหรงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงช่วยเหลือ ทำให้พวกเขาพ้นภัยมาได้ บรรดาศิษย์จึงรู้สึกต่อพวกเขาไม่เหมือนคนอื่น
ศิษย์ผู้นั้นรีบกรอกรายงานแจ้งการมาเยือน ส่งศิษย์สองคนนำพวกเขาไปยังเกาะฝูอวี้ ทุกคนบริเวณโดยรอบแม้ว่าไม่ยินยอมแต่ก็ไม่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าสำนักเส้าหยาง แต่ละคนได้แต่บ่นงึมงำ มองจ้องพวกเขาผ่านด่านไปตาปริบๆ
หลิ่วอี้ฮวนตามอยู่ด้านหลังอวี่ซือเฟิ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่จริง เกาะฝูอวี้กำลังล่วงเกินผู้อื่น วันหน้าก็คงอยู่ยากแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด หลิงหลงที่อยู่ข้างๆ หูไวได้ยิน แค่นเสียงฮึกล่าวว่า “กลัวอะไรกับคนยุทธภพพวกนี้ ล่วงเกินก็ล่วงเกินสิ พวกเขาจะทำไรได้!”
หลิ่วอี้ฮวนแสยะยิ้ม กล่าวว่า “ไม่อาจทำอะไรหรอก แม่นางหลิงหลงกล่าวได้ถูกต้อง ข้ากล่าวผิดไปแล้ว”
หลิงหลงเห็นท่าทางหยอกเย้าเสเพลของเขาก็โมโห เห็นแก่ที่เขาเป็นสหายเสวียนจี ไม่อาจโมโหใส่เขา ได้แต่สะบัดหน้าหนีไม่สนเขา
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “แม้กล่าวว่าเกาะฝูอวี้เป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ แต่เหมือนวันนี้ล่วงเกินผู้อื่นเช่นนี้ วันหน้าท่องยุทธภพก็คงยากยิ่ง เช่น ศิษย์พวกเขาออกไปฝึกฝนตน สำนักในแต่ละพื้นที่ก็จะยอมเปิดทางให้ แต่วันหน้าก็ไม่แน่”
หลิงหลงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ความหมายเจ้าก็คือ เมื่อก่อนพวกเราลงเขาฝึกฝนตนราบรื่นเช่นนั้น ก็เพราะคนอื่นยอมเปิดทางให้หรือ”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า “ใช่ เปิดทางให้ผู้อื่น ก็เท่ากับเปิดทางให้ตนเอง นับประสาอันใดกับที่พวกเขายอมเปิดทางให้ไม่ใช่พวกเราผู้น้อย แต่เป็นชื่อเสียงหน้าตาของห้าสำนักใหญ่ แต่หน้าตายิ่งใหญ่เพียงใด ตัวเล็กโดดเดี่ยวก็ย่อมสู้กลุ่มใหญ่ไม่ได้ หากทำให้คนหมู่มากโมโห แม้ครอบครองความยิ่งใหญ่ใต้หล้า คนอื่นก็ไม่สนใจเจ้า”
หลิงหลงเงียบไป ปัญหาพวกนี้นางไม่เคยคิดมาก่อน
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “ยามนี้ก็ต้องดูว่าเจ้าเกาะตงฟางจะจัดการดูแลคนที่หมู่บ้านฝูอวี้นี้อย่างไร หากดูแลต้อนรับดี ทุกคนก็ยังยอมให้เกียรติกันต่อ หลังงานเริ่มต้น เปิดเกาะฝูอวี้ให้ทุกคนเข้าไปได้ ก็ย่อมเป็นแผนที่ดี แต่หากเกิดเหตุปะทะ แม้เป็นเรื่องเล็ก วันหน้าก็ย่อมทำให้คนเกาะฝูอวี้อยู่ยาก”
มกรที่เอาแต่ทำหน้าเบื่ออยู่ข้างๆ ไม่กล่าวอันใด อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ กล่าวว่า “กลัวบ้าอะไร! สังหารให้หมดก็พอ! พละกำลังแท้จริงพูดจาดังกว่าเงินทอง”
เขาป่าเถื่อนเช่นนี้ตลอด…เสวียนจีค้อนขวับ “ซือเฟิ่งพูดอยู่ เจ้าพูดแทรกอะไร!”
มกรโมโหมาก ในใจด่าทอนางไม่รู้มากมายกี่ร้อยรอบ “เจ้าชอบฟังเขาพูด ก็ให้เขาพูดไปเลยนะ พูดให้ตายไปเลย!” เขางึมงำไม่กล้าให้นางได้ยิน
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “วันๆ เอาแต่สังหารๆ ไม่ใช่เรื่องวิถีของผู้บำเพ็ญเซียน คนให้เกียรติเจ้า เคารพเจ้าเป็นห้าสำนักใหญ่ใต้หล้า ไม่ให้เกียรติเจ้า ไม่เห็นหัวเจ้า หรือว่าเจ้าจะสังหารทุกคนหมดจริงๆ”
มีอะไรไม่ได้กัน…ฟ้ากว้างใหญ่ แผ่นดินกว้างใหญ่ แต่หน้าตาใหญ่สุด วาจามกรนี้ได้แต่เก็บอัดแน่นในใจ จะได้ไม่มีเรื่องกับเสวียนจี
ทุกคนกำลังเดินไปพูดไป พลันได้ยินด้านหลังมีคนหนึ่งเสียงดังขึ้นว่า “อาจารย์! รอก่อน!”
เสวียนจีได้ยินก็รู้สึกว่าเสียงคุ้นมาก พอหันกลับไปก็ตกใจหายใจเฮือก สมองอึงอลราวกับสายพิณขาดผึง พลันไร้วาจา
จงหมิ่นเหยียน!
เขาเปลี่ยนเป็นชุดปกติ ยืนอยู่หลังฝูงคน มองพวกเขาเงียบๆ ทุกคนพากันอึ้งไป แม้แต่หลิงหลงเองก็นิ่งอึ้ง สงสัยว่าที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นเพียงฝันกลางวัน
จงหมิ่นเหยียนค่อยๆ เดินแหวกฝูงชนออกมาตรงหน้าฉู่เหล่ย คุกเข่าลงโขกศีรษะกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ศิษย์ทรยศจงหมิ่นเหยียน คารวะอาจารย์!”
ฉู่เหล่ยยังไม่ทันตั้งสติ แต่หลิงหลงข้างๆ อยู่ๆ สะอื้นขึ้น ก้าวออกมาโผเข้าหาเขา กอดคอเขาไว้แน่น ร้องไห้จนพูดจาไม่เป็นภาษา