ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 19 ใกล้ปะทุ (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนงานชุมนุมปักบุปผาจึงจะเริ่ม ตามธรรมเนียม ยามนี้บุคคลสำคัญห้าสำนักใหญ่ต้องมาเกาะฝูอวี้เพื่อร่วมพิธีจับสลากเด็ดบุปผาก่อน ฉู่เหล่ยสองสามีภรรยาพร้อมฉู่อิ่งหงกับอาวุโสอีกห้าท่านก็เตรียมตัวออกเดินทาง ผู้ใดจะรู้ว่าเกาะฝูอวี้พลันมีจดหมายมา เจ้าเกาะตงฟางแจ้งมาในจดหมายว่าบุปผาในงานปีนี้เด็ดไว้แล้ว ครั้งนี้จึงไม่ต้องมีพิธีจับสลากเด็ดบุปผา

 

 

“งานนี้ไม่ปกติ ไม่รู้เด็ดบุปผาอะไรไว้” ฉู่เหล่ยพับจดหมายลง เอ่ยขึ้นเบาๆ ปกติบุปผาที่เด็ดไว้ต้องแจ้งให้ทุกคนรู้ล่วงหน้าก่อนเพื่อจะได้เข้าใจลักษณะมารปีศาจจึงจะคิดวิธีรับมือได้ ไม่เช่นนั้นศิษย์อายุน้อยไร้ประสบการณ์ แม้เป็นมารปีศาจบาดเจ็บ แต่ก็อาจทำให้เกิดภัยถึงชีวิตได้

 

 

เหอตันผิงยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ไยต้องกังวล พวกเราล่วงหน้าไปถึงเกาะสักสองสามวันก็กระจ่างแล้วไม่ใช่หรือ”

 

 

อาวุโสท่านอื่นข้างๆ ก็เห็นด้วย ฉู่เหล่ยนิ่งเงียบกล่าวว่า “ไม่ ไม่ใช่ข้ากังวล หลายปีนี้เกิดเรื่องมากมาย ก็ยากจะไม่ระแวง…บางทีข้าอาจคิดมากไปจริงๆ”

 

 

เขาคิดไปคิดมา กล่าวอีกว่า “เช่นนี้แล้วกัน อิ่งหง เหอหยาง เจ้าทั้งสองคนตามพวกข้าไปชมการประลองงานชุมนุมปักบุปผา ที่เหลือเฝ้ารักษาการณ์อยู่เส้าหยาง ศิษย์ที่พาไปก็อย่ามากนัก ทุกคนอยู่สำนักระวังป้องกันให้มาก ข้าจะทิ้งวิหคเทพหงหล่วนไว้ หากเกิดเรื่องก็ให้รีบไปส่งข่าว”

 

 

เหอหยางอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจทันที กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าสำนักกังวลว่ามารปีศาจพวกนั้นจะอาศัยจังหวะนี้มาก่อกวนหรือ”

 

 

ฉู่เหล่ยพยักหน้า “ใช่ อูถงนั่นบ้าคลั่งนัก ยังให้ศิษย์เราหลายคนมาแจ้งข้าอีก ข้าจะปล่อยให้พวกเขาฉวยโอกาสนี้มาก่อกวนได้อย่างไร นับประสาอันใดกับสำนักเซวียนหยวนยังยอมสยบให้พวกเขา…ข้ามักรู้สึกว่าระยะนี้จะเกิดเรื่องใหญ่”

 

 

กำลังกล่าวอยู่นั้น นอกประตูพลันมีศิษย์มารายงาน พวกเสวียนจีมาแล้ว เด็กพวกนี้เก็บของเรียบร้อย เตรียมร่วมขบวนเดินทางไปเกาะฝูอวี้ พอได้ยินฉู่เหล่ยว่าไม่ต้องไปเด็ดบุปผา แต่ละคนก็อึ้งไป

 

 

“ปีนี้ไม่จะไม่มีงานชุมนุมปักบุปผาแล้วใช่ไหม” หลิงหลงทนไม่ไหวที่สุด นางอยากให้งานนี้จบเร็วๆ ทุกคนจะได้เดินทางไปเขาปู้โจวซานช่วยหมิ่นเหยียน

 

 

ฉู่เหล่ยถลึงตาใส่นาง “เหลวไหล! ทำไมจะไม่มี อีกสองวันพวกเราค่อยออกเดินทาง ปีนี้น้องสาวเจ้าก็ร่วมด้วย เจ้าก็ต้องพยายามฝึกบำเพ็ญเพียร จะได้ไปร่วมครั้งหน้าได้”

 

 

หากเป็นนิสัยหลิงหลงเมื่อก่อน ตนเองไม่ได้ร่วมงานใหญ่เช่นนี้ก็คงโวยวายแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่านางเพียงแต่อึ้งไปครู่ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “นี่ไม่สำคัญ งานใหญ่จบเร็วหน่อย พวกเราจะได้รีบไป”

 

 

ฉู่เหล่ยรู้นางพูดถึงเรื่องจงหมิ่นเหยียนว่าสำคัญกว่า ในใจอดเงียบงันไม่ได้ งานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้อูถงต้องมาก่อเรื่องแน่ ไม่รู้จงหมิ่นเหยียนจะมาด้วยไหม หากต้องรับมือเขาดังศัตรู ผู้ใดจะลงมือลง คิดถึงเด็กที่ตนเองเลี้ยงดูมาจนโตกับมือ ตอนเด็กก็น่ารักน่าชัง คอยตามหลังร้องเรียกอาจารย์และอาจารย์หญิง ชอบกินมาก อะไรก็ยัดเข้าปาก พริบตาก็โตเป็นผู้ใหญ่ เด็กโตแล้ว ก็ย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง ผู้ใหญ่ไม่มีทางสั่งเขาได้อีก ไม่ว่าเขาทำเรื่องนี้ด้วยเหตุผลใด ตนเองจะยอมให้โอกาสเขาอีกครั้ง ฟังเขาเล่า

 

 

ในเมื่อไม่ต้องล่วงหน้าไปเกาะฝูอวี้ พวกเสวียนจีได้แต่กลับไป หลิ่วอี้ฮวนกลับไปนอนรำลึกเรื่องราวเก่าๆ ต่อ ถิงหนูถูกมกรตามตอแยถามแต่เรื่องอู๋จือฉีต่อ หลิงหลงลากมือเสวียนจีมาถามนางว่าครึ่งปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เห็นพวกเขาผ่านเรื่องราวอันตรายและสนุกสนานกันมามากมาย หลิงหลงก็กัดฟันกรอดกล่าวว่า “หากข้าอยู่ด้วยจะดีขนาดไหนนะ! เสียเวลาลงเขาฝึกฝนตนไปตั้งปี!” นางนึกแค้นใจอูถงอย่างมาก แทบอยากจะหักขาอีกข้างเขาทิ้ง ให้ใส่ขาเทียมอีกข้าง

 

 

ยามนี้เริ่มเข้าสู่ปลายเดือนสิบแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา ยอดเขาสำนักเส้าหยางก็ยิ่งหนาวเย็น คืนหนึ่งผ่านไป พื้นก็กลายเป็นน้ำค้างแข็ง ต้นไม้ใบหญ้าก็แห้งเหลืองหมด หลายวันนี้เมฆหนา มองแล้วก็รู้ว่าหิมะใกล้ตก เหอตันผิงเห็นชุดอวี่ซือเฟิ่งบางก็รู้สึกสงสาร จึงวัดตัวให้เขา ให้ช่างเชิงเขาตัดเสื้อผ้าหนามาให้สามสี่ชุด

 

 

ภาษิตว่า แม่ยายมองลูกเขย ยิ่งมองยิ่งชอบ แม้เสวียนจีกับเขายังไม่มีแม่สื่อหมั้นหมาย แต่ผู้บำเพ็ญเซียนเดิมก็ไม่มากพิธีรีตอง ในใจนางกับฉู่เหล่ยก็เห็นอนาคตเด็กสองคนนี้อยู่ร่วมกันไปแล้ว มีเรื่องเดียวที่ไม่อาจวางใจ ตอนนี้เขาราวกับไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว เสวียนจีไม่บอกเรื่องที่เขาออกจากตำหนักหลีเจ๋ออย่างกระจ่าง เหมือนว่าเพราะศิษย์ร่วมสำนักคนหนึ่งทรยศ แทงเขาทำให้เขาเสียใจ จึงได้ออกจากสำนักมา

 

 

ในใจผู้ใหญ่ คนคนหนึ่งต้องมีที่พักพิงเป็นหลักแหล่งจึงจะได้ ไม่เช่นนั้นบุตรสาวแต่งกับเขา วันหน้าจะใช้ชีวิตเช่นไร เสวียนจียังมีชีวิตดังคุณหนูใหญ่ที่ไม่เคยต้องลำบาก เคยชินกับการที่อาหารมาถึงก็อ้าปากกิน ยื่นมือออกไปก็มีเสื้อผ้า วันหน้าไม่มีบิดามารดา นางคงต้องลำบากแน่ อวี่ซือเฟิ่งร่อนเร่ไปมาเช่นนี้ย่อมไม่ได้การ นางเป็นผู้หญิงย่อมคิดมาก คิดว่าในเมื่อเขาไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว ก็เข้าสำนักเส้าหยางเสียเลย ฉู่เหล่ยรับเขาเป็นศิษย์สายตรงอย่างไม่มีใครทำมาก่อน เขาก็เป็นคนมีความสามารถ ศิษย์อายุน้อยที่หาได้ยาก วันหน้าหากมอบสำนักเส้าหยางให้ก็วางใจได้

 

 

นางบอกความคิดนี้แก่ฉู่เหล่ย เดิมคิดว่าเขาจะรับปากทันที ผู้ใดจะรู้ว่าฉู่เหล่ยนิ่งเงียบเป็นนาน ก่อนจะกล่าวว่า “เด็กๆ โตแล้ว มีความคิดของตนเอง ดูความเห็นเสวียนจีแล้วกัน พวกเขาเองก็ไม่อาจอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของบิดามารดาไปได้ตลอดชีวิต”

 

 

“เช่นนั้นเขาสองคนไร้ที่พักพิงเป็นหลักแหล่ง วันหน้าเสวียนจีติดตามเขาจะลำบาก?” เหอตันผิงไม่เข้าใจ

 

 

ฉู่เหล่ยยิ้มกล่าวว่า “ลำบากก็คงไม่ ข้าดูซือเฟิ่งไม่น่าใช่คนที่ไม่เอาไหน ไม่ใช่คนที่ดูแคลนตนเอง บางทีเสวียนจียังอาจแต่งกับคนที่สูงศักดิ์กว่าด้วยซ้ำ นับประสาอันใดกับเจ้าจะให้เขามาเข้าสำนักเรา ล้วนคิดไปเองคนเดียว พวกเราสองคนแก่แล้ว ไม่อาจทำให้คนเขารังเกียจเราตอนอายุปูนนี้ ลูกหลานมีวาสนาตนเอง เจ้าและข้าไยต้องกังวล”

 

 

เหอตันผิงถอนใจกล่าวว่า “กล่าวว่าไม่กังวล ไหนเลยทำใจได้ง่าย ใจคนเป็นแม่ พวกเขาอย่างไรก็เป็นเด็กน้อย”

 

 

ฉู่เหล่ยยิ้ม คว้ามือนางมากุม กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้ากลัวลูกโตแล้วโผบินจากไป ตนเองโดดเดี่ยวเดียวดายหรือ”

 

 

เหอตันผิงกับเขาเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี เริ่มแรกก็ผูกพันมั่นคง ฉู่เหล่ยส่วนตัวแล้วไม่ได้เงียบขรึมคร่ำครึดังที่คนภายนอกเห็น ต่อหน้านางยังคงเป็นชายหนุ่มอายุน้อย บางครั้งก็แอบหยอกล้ออยู่บ้าง นิสัยนางก็ยังคงอ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนเดิม หน้าแดงกล่าวเบาๆ ว่า “พูดอะไรกัน จะโดดเดี่ยวเดียวดายได้อย่างไร”

 

 

ฉู่เหล่ยยิ้มกล่าวว่า “ใช่ มีตาเฒ่าอย่างข้าเป็นเพื่อนเจ้า พวกเราสองตายายแก่เฒ่าพอกันพอดี”

 

 

เหอตันผิงผ่อนลมหายใจ ความหนักอึ้งในใจพลันถูกเขาปลดทิ้ง ตัดใจปล่อยตามใจลูกก็แล้วกัน

 

 

วันนี้เสวียนจีไปหาอวี่ซือเฟิ่ง เห็นเขาสวมชุดใหม่ แบบเสื้อสวยงามมาก อดอิจฉาเข้าไปลูบคลำไม่ได้พลางยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่ข้าสั่งตัดให้เจ้ากระมัง นางดีกับเจ้าจริงๆ ข้ากับหลิงหลงยังไม่มีชุดใหม่เลย!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเดิมรับน้ำใจจากผู้อาวุโสก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้ว ถูกนางกล่าวเช่นนี้ก็ยิ่งเก้กัง เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าฉู่เหล่ยสองสามีภรรยาจะไม่เห็นตนเป็นคนนอก แต่กลับให้ความสนิทสนมเช่นนี้ แต่เล็กมาผู้อาวุโสที่เขาพบมา หากไม่ใช่แบบเคร่งครัดอย่างอาจารย์ ก็เป็นแบบไร้สาระเช่นหลิ่วอี้ฮวน แทบจะไม่เคยสัมผัสผู้อาวุโสหญิงที่อบอุ่นเอาใจใส่เช่นนี้ ในใจพลันซาบซึ้งและสั่นไหว ไม่รู้ควรกล่าวอันใด

 

 

เสวียนจีเขี่ยใบหน้าเขา แย้มยิ้มกล่าวว่า “อา อา หน้าแดงอีกแล้ว! อายแล้วใช่ไหม ซือเฟิ่งบางครั้งก็เหมือนเด็กผู้หญิง!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถลึงตาใส่ “เช้าตรู่มานี้ทำไมพูดมากจัง”

 

 

เสวียนจีนั่งลงข้างกายเขา เล่นพู่กระบี่เขา พลันคิดอะไรขึ้นมาได้ ถามว่า “ใช่แล้ว ซือเฟิ่ง ครั้งก่อนเจ้าราวกับว่าจะร่วมงานชุมนุมปักบุปผาใช่ไหม ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนตำหนักหลีเจ๋อแล้ว ครั้งนี้ยังต้องไปร่วมไหม”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ไม่ร่วม หากไม่ใช่เพราะเป็นเพื่อนพวกเจ้า ข้าถึงกับไม่คิดไปเกาะฝูอวี้”

 

 

“ใช่แล้ว…” เสวียนจีพลันนึกได้ว่าไปเกาะฝูอวี้ครั้งนี้ต้องเจอกับคนตำหนักหลีเจ๋อ ถึงตอนนั้นต้องประดักประเดิดแน่ หากให้พวกท่านพ่อรู้ว่าอวี่ซือเฟิ่งถูกขับจากสำนักเพราะตนเองเป็นเหตุ คิดว่านางต้องถูกด่ายับแน่ ไม่แน่อาจจะให้อวี่ซือเฟิ่งกลับไป…ไม่ได้! นางไม่อาจทนมองให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้!

 

 

“ซือเฟิ่ง เจ้าอย่าไปเลยนะ อยู่ที่นี่ต่อ ข้ารับรองว่าจะแพ้ตั้งแต่การประลองแรก จากนั้นก็จะรีบกลับมาเป็นเพื่อนเจ้า”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ต้อง ข้าไปด้วย ทุกเรื่องย่อมต้องมีบทสรุป”

 

 

“แต่…”

 

 

“เจ้าไม่ต้องกังวล” เขายิ้มบาง รอยยิ้มแฝงความเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้ต้องได้ข้อสรุปเด็ดขาด”

 

 

กล่าวจบ เขาก็ยกมือลูบไล้ใบหน้างงงันของเสวียนจี กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “จะอย่างไร ข้าก็เป็นผู้ชาย ไม่มีเหตุผลที่เอาแต่หลบหลังผู้หญิง”

 

 

หลบอยู่หลังนางแล้วอย่างไร นางพอใจ คนอื่นอยากหลบ นางยังขี้เกียจบังให้! แต่นางเคยได้ยินคนบอกถึงเรื่องศักดิ์ศรีพวกผู้ชายอยู่บ้าง บางครั้งสำหรับพวกเขา ศักดิ์ศรีมาอันดับหนึ่ง เปราะบางยิ่งกว่าแก้วผลึก ไม่อาจทำลาย ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์จะหนักหนาสาหัสมาก

 

 

เสวียนจีตะลึงมองอวี่ซือเฟิ่ง แอบเดาว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับ ‘ศักดิ์ศรี’ เขาไหม หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็ได้แต่ต้องทำตัวเป็น ‘สตรีแสนดี’ ช่วยให้เขามีศักดิ์ศรีสมบูรณ์แล้ว

 

 

ดังนั้นนางจึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย ทำให้อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกพอใจ กอดนางไว้แน่น