ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 18 คนรู้จักเก่าก่อน

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หลิ่วอี้ฮวนนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงได้หลายวัน ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น คนปกติรักษาตัว ก็หวังว่าจะได้ลงจากเตียงมาเดินได้เร็วหน่อย มีแต่เขาที่จริงๆ แล้วร่างกายไม่เป็นไรแล้ว แต่ยังหาข้ออ้างขลุกอยู่บนเตียงได้ทุกวัน ต้องการให้อวี่ซือเฟิ่งมาดูแล

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นแก่ที่เขาช่วยเหลือมาตลอดทาง นับประสาอันใดยังสนิทกับเขาดังบิดา ดังนั้นแม้รู้อยู่ว่าเขาแกล้งก็ยังไม่บ่นสักคำ ทุกวันไปเล่าเรื่องราวครึ่งปีที่ผ่านมาให้เขาฟัง หลิ่วอี้ฮวนชอบฟังเรื่องปราบสัตว์ภูตนั่นที่สุด ทุกครั้งที่ฟังก็จะตบมือหัวเราะดังลั่น หันมากล่าวว่า “ปราบได้ดี! แต่สัตว์เทพตัวใหญ่นั่น พามาด้วยไม่สะดวกไหม”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ไม่ได้เคยยินหรือว่า สัตว์เทพกลายร่างมนุษย์ได้ จะว่าไป พี่ใหญ่ยังไม่เคยเห็นมกรเลยนี่ ครั้งหน้าข้าจะให้เสวียนจีพาเขามาให้พี่ดู”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนสองตาทอประกาย น้ำลายแทบไหลออกมา ถามน้ำลายสอ “อย่างไร เป็นสาวงามไหม”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งนวดขมับแทบหมดแรง “ไม่ใช่ เป็นชาย” และนิสัยยังดุร้าย ขี้โมโหยิ่ง

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหน้าสลดลงทันที หมดแรงถอนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไม่สนใจ ไม่สู้ไปเยี่ยมแม่นางหลิงหลงดีกว่า…ข้าอยากเยี่ยมนางมานานแล้ว…”

 

 

“พี่ใหญ่!” อวี่ซือเฟิ่งทำหน้าปั้นยาก อยากร้องไห้ก็ไม่ออก อยากหัวเราะก็ไม่ได้

 

 

พลันได้ยินเสียงประตูดัง เสวียนจีถือกล่องอาหารเดินเข้ามา ได้ยินหลิ่วอี้ฮวนว่าอยากเยี่ยมหลิงหลงก็รีบยิ้มกล่าวว่า “ได้สิ รอให้หลิงหลงหายดีก่อน ข้าจะพานางมาเยี่ยมพี่หลิ่ว”

 

 

เห็นชัดว่านางไม่เข้าใจเจตนาแอบแฝงของหลิ่วอี้ฮวนแม้แต่น้อย อวี่ซือเฟิ่งมองเขายิ้มไม่หุบอยู่บนเตียง อดส่ายหน้าไม่ได้ ไร้วาจาจะกล่าว

 

 

“ถิงหนูล่ะ” ระยะสองสามวันมานี้หลิ่วอี้ฮวนไม่ค่อยได้เห็นเขา ค่อนข้างคิดถึงเงือกสงบเรียบร้อยอยู่เหมือนกัน

 

 

เสวียนจียกอาหารออกมาวาง กล่าวว่า “ท่านพ่อกับบรรดาอาวุโสต่างชื่นชมความรู้กว้างขวางของเขาสองสามวันนี้จึงได้มาขอคำแนะนำการบำเพ็ญเซียน”

 

 

นางเดิมคิดว่าสถานะเงือกเช่นถิงหนูอยู่สำนักเส้าหยางคงเก้กัง ผู้ใดจะรู้ว่าเขาไม่เพียงช่วยหลิงหลงกลับมา ยังเป็นที่ถูกตาต้องใจบรรดาผู้อาวุโส ทุกคนในสำนักเส้าหยางไม่มีผู้ใดไม่ชอบเขา ว่าอย่างไรดีนะ…เอาว่าสถานการณ์ตอนนี้ดีมาก ก่อนหน้านี้นึกภาพไม่ออกแน่นอน

 

 

“เฮอะๆ โง่เง่า โง่เง่า! คนกับปีศาจคนละเส้นทาง คำแนะนำที่ได้มาล้วนไร้ประโยชน์!” หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้า

 

 

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ตามพี่หลิ่วกล่าวเช่นนี้ มนุษย์ธรรมดาแท้จริงควรบำเพ็ญวิถีเซียนอย่างไร”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าล้วนคิดว่าการที่สังหารปีศาจยิ่งมากก็ยิ่งใกล้สำเร็จผลเป็นเซียน จริงๆ แล้วผิดมหันต์ คนและเทพเดิมก็ต่างกันราวสองโลก ลงมาเวียนว่ายสำเร็จผลเป็นเซียนก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน คนประสบความสำเร็จน้อยมาก หากกล่าวว่าทำอย่างไรจึงจะสำเร็จผลเป็นเซียน ข้าคิดว่าไม่มีวิธีที่กล่าวได้เป็นรูปธรรม ประเด็นหลักอยู่ที่ใจคน ใจหนึ่งคิดสำเร็จผลเป็นเซียน อีกใจบางทีอาจกลายเป็นมาร”

 

 

เสวียนจีพลันอึ้งไป รู้สึกหลักการนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหน ดีชั่วเทพมารก็แค่ความคิดชั่วครู่หนึ่ง สำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่สวรรค์ฟ้าดิน หากอยู่ที่ใจ ในใจนางเหมือนเคยสัมผัสมา เหมือนเคยได้คิดเรื่องนี้มาก่อน

 

 

อวี่ซือเฟิ่งดูแลหลิ่วอี้ฮวนกินข้าว มองเสื้อเขาแหวกกว้าง หน้าอกมีถุงแพรสีเขียว เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเขาแขวนของสิ่งนี้ เพิ่งเห็นสองสามวันนี้ เขาเคยถาม แต่หลิ่วอี้ฮวนไม่ยอมตอบ ถามมากเข้า เขาก็จะทำเป็นถอนหายใจฮึดฮัด ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ คนเสเพลเช่นเขา ไม่แน่อาจมีค้างหนี้สาวๆ อยู่ข้างนอกก็เป็นได้ ผู้หญิงอาจให้ของแทนใจเขาไว้ก็ได้ อวี่ซือเฟิ่งคิดถึงตรงนี้ก็อดอยากถามอีกไม่ได้

 

 

แต่วันนี้ดูอีกที ถุงแพรเขียวนี้เห็นชัดว่าถูกเขาลูบคลำบ่อย ปลายถุงผ้าเริ่มเป็นขน ถุงแพรเผยออกให้เห็นเส้นผมดำขลับม้วนอยู่ด้านใน อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไปเล็กน้อย หลิ่วอี้ฮวนเหมือนรู้สึกว่าเขาจ้องมอง ก็เสทำเป็นยัดถุงแพรกลับเข้าไป ไม่ให้เขามองอีก

 

 

การกระทำนี้ทำให้ทั้งสองดูเก้กัง อวี่ซือเฟิ่งกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง รีบเสเปลี่ยนเรื่อง ยิ้มถาม “พี่ใหญ่ไม่ได้เจอกันครึ่งปี ไปที่ไหนมา”

 

 

เขาไม่ถามยังดี พอถามสีหน้าหลิ่วอี้ฮวนก็ประดักประเดิด สะอึกเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เอ่อ…ข้า ข้าน่ะ ก็มีความลับบางอย่าง ครั้งนี้ไปเยี่ยมเยือนสหายเก่าแก่ที่เคยรู้จักกันมา ดูแลหลุมศพ หวนคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ…”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งถอนใจกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ไปหาสาวๆ มาร่ำสุราไม่ใช่เรื่องน่าอาย ข้าชินแล้ว เรื่องพวกนี้มีอะไรให้วกวนอีกเล่า”

 

 

ที่แท้เขาไม่เชื่อ เห็นถุงแพรบนหน้าอกเขาแล้ว เห็นชัดว่าเป็นผมสตรี เห็นชัดว่าเขาติดค้างหนี้เสเพลอยู่ ตอนนี้หากจะบอกว่าหลุมศพสหายเก่า ก็คงคิดได้แค่ที่เขากล่าวล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล

 

 

หลิ่วอี้ฮวนยามนี้ราวกับพูดไม่ออก มีความทุกข์แต่ไม่อาจเอ่ย อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไปจริงๆ…ไปเยี่ยมสหายเก่า…”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน กินข้าวเสร็จก็เก็บชามลงกล่องอาหาร นางกำลังยกจะเดินออกไป พลันได้ยินหลิ่วอี้ฮวนกล่าวว่า “จะว่าอย่างไรดีล่ะ อย่างไรนาง…ก็นับว่าเป็นผู้หญิงที่ข้าชอบที่สุดในโลกนี้ ไปทำความสะอาดหลุมศพนางทุกปี พักอยู่สองสามวัน…ที่ข้าทำได้ตอนนี้มีเพียงเท่านี้”

 

 

ทั้งสองได้ยินเขาพูดด้วยความอาลัยอาวรณ์ อดแปลกใจไม่ได้ เสวียนจีรีบวางกล่องอาหารลง หันไปถามว่า “เป็นผู้หญิงที่เมื่อก่อนพี่หลิ่วเคยชอบหรือ นางจากไปแล้วหรือ”

 

 

หากบอกว่าหลิ่วอี้ฮวนรักมั่นในสตรี อย่าว่าแต่เสวียนจี แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งก็ไม่อยากเชื่อ แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นสตรีเป็นเรื่องสำคัญ ไปดื่มสุราเคล้านารีที่หอคณิกาหาความสุข ล้วนเป็นพวกผีเสเพล คนเช่นนี้จะชอบผู้ใดได้

 

 

หน้าดำๆ ของหลิ่วอี้ฮวนถึงกับมีสีแดงเรื่อ เป็นนานก่อนจะถอนใจกล่าวว่า “…นางไม่เหมือนผู้หญิงอื่น ไม่เหมือนอย่างยิ่ง”

 

 

สองหนุ่มสาวตกใจอึ้งไป อวี่ซือเฟิ่งกว่าจะหาเสียงตนพบก็เป็นนาน รีบถามว่า “นางตายได้อย่างไร พี่ใหญ่…ถุงแพรนั่น นางให้พี่หรือ”

 

 

หลิ่วอี้ฮวน “ถุย” ขึ้นเสียงหนึ่ง สบถด่าว่า “ผีน้อยควรตาย! ผู้ใดให้สายตาเจ้าแหลมคมเช่นนี้กัน!”

 

 

กล่าวจบก็คว้าถุงแพรที่คอไว้ ลูบคลำเป็นนาน ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ใช่ ของนาง แต่ไม่ใช่นางให้ข้า” เขาขโมยตัดผมปอยหนึ่งใส่ไว้ติดตัวราวกับของมีค่า นางเป็นความผิดพลาดของเขา การคงอยู่ของนางเพียงพอจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดใจ แต่ก็เป็นความจริงที่ไม่อาจสลัดทิ้งไม่แยแสได้ตลอดไป

 

 

“ความหมายพี่ก็คือ พี่ชอบนาง แต่นางไม่มีใจให้พี่แม้แต่น้อย?!” เสวียนจีตกใจ เพราะหลิ่วอี้ฮวนที่ไม่แบ่งแยกอาวุโส ทำให้นางเองก็ไม่แบ่งแยกไปด้วย จึงโพล่งถามอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

 

 

หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจ กล่าวต่อว่า “บางที จนวันที่นางตาย…ก็ไม่รู้ข้าคือผู้ใด”

 

 

เขาถึงกับงมงายในรักเช่นนี้! เสวียนจีอ้าปากค้างกรามแทบร่วง อวี่ซือเฟิ่งตกใจเช่นกัน พลันรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย อดไม่ได้ถามว่า “เดี๋ยวนะ พี่ใหญ่ คนที่ท่านพูดถึงคือคนรักท่านหรือ”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าแปรเปลี่ยน สุดท้ายถอนหายใจเศร้า ยิ้มเฝื่อน “ก็ว่าปิดบังผีน้อยเช่นพวกเจ้าไม่ได้…นางไม่ใช่คนรักข้า นางคือ…บุตรสาวข้า”

 

 

เสียง ตึง ดังขึ้น ทำเอาเสวียนจีตกใจจนร่วงจากเก้าอี้ เขามีบุตรสาว! เขาเคยมีบุตรสาว?! เสวียนจีพลันรู้สึกโลกทั้งใบช่างแปลกประหลาดยิ่ง ทุกสิ่งไม่อาจคาดเดาได้

 

 

หลิ่วอี้ฮวนถอนใจกล่าวว่า “เป็นความผิดที่ข้าก่อขึ้นตอนยังหนุ่ม เริงรมย์กับนางคณิกานางหนึ่ง ผู้ใดจะคิดว่านางถึงกับแอบตั้งครรภ์จนคลอดบุตรสาวออกมา เพราะข้าเคยบอกว่าข้าเองเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ ดังนั้นนางจึงให้คนส่งเด็กมาที่หน้าประตูตำหนัก ข้าเคยคิดนะ ไม่ว่านางเป็นหญิงคณิกาก็ดี อะไรก็ช่าง แต่ก็เป็นแม่ของลูก ข้าไปจากตำหนักหลีเจ๋อแล้วไถ่ตัวนางออกมา สามคนพ่อแม่ลูกก็จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์งดงามด้วยกันไปตลอดชีวิต เป็นเรื่องดีงาม ผู้ใดจะรู้ว่า…พออดีตเจ้าตำหนักรู้เรื่องนี้ก็โมโหมาก ส่งคนไปหาหญิงผู้นั้นในคืนนั้น…วางยาพิษนางตาย ทิ้งลูกสาวไว้คนหนี่ง เดิมเขาก็คิดฆ่า แต่ข้าใช้ชีวิตขู่ไว้ รับประกันว่าชาตินี้จะไม่เผยความลับนี้ออกไปเด็ดขาดเพื่อแลกกับชีวิตนาง กฎตำหนักหลีเจ๋อห้ามเจอสตรี ดังนั้นข้าจึงส่งนางไปให้ชาวนาเลี้ยงดู ทุกเดือนก็จะแอบไปดูนาง”

 

 

“นางค่อยๆ เติบโตขึ้นทุกปี ยิ่งนับวันก็ยิ่งงดงามน่ารัก แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นบุตรสาวข้า ทุกครั้งข้าแอบไปดูนาง ก็อยากจะออกไปคุยกับนาง บี้แก้มนางเล่น ฟังนางเรียกข้าท่านพ่อสักคำ…เป็นพ่อเป็นแม่คน ความรู้สึกนี้ข้าเพิ่งเข้าใจครั้งแรกในชีวิต”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ เขายิ้มเล็กน้อย ท่าทางขมขื่น

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่…ต่อมาท่านก็ไปจากตำหนักหลีเจ๋อ…เพราะอะไรหรือ”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่…เรื่องนี้นอกจากอดีตเจ้าตำหนักกับข้า ยังมีศิษย์พี่อีกคนหนึ่ง ที่เหลือผู้ใดก็ไม่รู้ ศิษย์พี่ผู้นั้น…ข้าซาบซึ้งใจเขามาก ข้าไม่อาจไปเยี่ยมบุตรสาวได้บ่อยๆ ดังนั้นเขามักจะส่งของให้นางแทนข้า ดูแลนางมาตลอด มีครั้งหนึ่งข้าแอบหนีออกไปเยี่ยมนาง แต่รอจนฟ้ามืดก็ไม่เห็นนาง ข้าไม่กล้าเข้าใกล้มาก กลัวคนเห็นเข้า ได้แต่ยืนตรงนั้นทั้งคืน แต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ได้แต่กลับตำหนักหลีเจ๋อ ต่อมาศิษย์พี่ผู้นั้นรีบมาหาข้า ข้าจึงรู้ เด็กนั่นป่วยหนักมาก นางแค่สิบขวบ เป็นเด็กเล็กเพียงนั้น กินยาเท่าไร หาหมอเท่าไรก็ไม่ดีขึ้น ข้าร้อนใจราวไฟแผดเผา ไม่สนใจธรรมเนียมอันใดอีก คืนนั้นหนีจากตำหนักหลีเจ๋อ แต่พอข้าไปพบนาง นางก็ไม่ไหวแล้ว ไร้สติแล้ว ข้ากอดนางไว้ ร้องไห้ไม่ออก…ข้าไม่เคยได้ยินนางเรียกข้าว่าท่านพ่อ…คนเป็นพ่อกลับไม่อาจเลี้ยงดูลูกด้วยมือตนเอง ข้าไม่เพียงไม่ใช่พ่อที่ดี แม้แต่คนก็เป็นไม่ได้”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งมองเขายิ่งพูดยิ่งพลุ่งพล่าน อดตกใจไม่ได้ กล่าวอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่…หากท่านไม่อยากเล่าก็อย่าเล่า ล้วนเพราะข้าไม่ควรถาม”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนราวกับไม่ได้ยิน กล่าวต่อว่า “ข้าใช้ทุกคาถาเวทมนตร์เพื่อช่วยนางแต่ก็ไร้ประโยชน์…นางตายแล้ว ตายในอ้อมกอดข้า…จนวันตาย นางก็ไม่รู้ข้าคือบิดานาง…นางไม่มองข้าแม้สักครั้ง…ในเมื่อไม่เคยเลี้ยงดู ตอนแรกก็ไม่ควรให้นางเกิดมารับทุกข์เช่นนี้ ข้าเฝ้าอยู่ข้างศพนางสามวันสามคืน จนอดีตเจ้าตำหนักออกมาตามหาข้า ข้าแม้ตายก็ไม่ยอมกลับไป…ข้าไม่อยากกลับไปอีก ล้วนเพราะกฎบ้าบอควรตายพวกนั้น บุตรสาวข้า…เท่ากับถูกทำร้ายจนตายด้วยมือข้าเอง…ข้าจะกลับไปอีกได้อย่างไร อดีตเจ้าตำหนักโมโหมาก ทำร้ายข้าสาหัส ข้าขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ มองดูพวกเขาเผาร่างบุตรสาวข้าเป็นเถ้า…ไฟนั่น…ม้วนลอยขึ้นฟ้า ลมพัดพาเอาเถ้ากระดูกกระจายไป…พวกเขาทำให้บุตรสาวข้าตาย แต่กลับไม่มีทิ้งอะไรไว้ให้ข้าดูต่างหน้าเลย ชายชาตรีมีชีวิตไร้ค่าบนโลกนี้ยังมีความหมายอะไร?! ข้าสะบัดการกุมตัวของพวกเขาด้วยชีวิต พยายามดิ้นรนเก็บเถ้ากระดูกนางกลับมาทีละน้อยฝังลงดิน แต่ข้าไม่รู้ชื่อนาง! บุตรสาวข้า! ข้ากลับไม่รู้ชื่อนาง! เช่นนี้ แม้แต่ป้ายหลุมศพข้าก็ไม่อาจตั้งให้นางได้ แต่อย่างไรข้าก็ไม่มีหน้าไปตั้งป้ายหลุมศพให้นาง เรียกนางว่าเป็นบุตรสาวข้า

 

 

“ข้าถูกอดีตเจ้าตำหนักจับกลับไปขังไว้ในคุก หลายครั้งข้าคิดว่าข้าก็ควรตามไปด้วย มาโลกมนุษย์เสียเปล่า ไม่สำเร็จสักอย่าง แต่แม้ข้าตายจะมีหน้าไปพบมารดานางหรือ ตายก็ไม่ได้ อยู่ก็ไม่ได้ รสชาตินี้ ชั่วชีวิตข้าไม่อยากลิ้มลองอีก…ข้าไร้สติเช่นนี้ไม่รู้นานเท่าไร อยู่มาวันหนึ่งก็มีเด็กน้อยมาคุกใต้ดิน หน้าตาอ้วนกลม อายุน้อยกว่าบุตรสาวข้าหลายขวบ มาพิงลูกกรงคุกมองข้าอย่างแปลกใจ พอเห็นเขา ข้าก็พลันคิดถึงบุตรสาวข้า ข้าไม่เคยได้พูดกับนางสักคำ ข้าอยากรู้มากว่าในใจเด็กน้อยเช่นนางคิดอะไร ดังนั้นข้าจึงล่อหลอกเด็กคนนั้นให้มาคุยกับข้า เขาเป็นเด็กดี ฉลาดมาก เชื่อฟังมาก ข้าพูดอะไรเขาก็เชื่อ ข้าพบความสุขที่สั่งสอนบุตรสาวจากตัวเขา หากบุตรสาวข้ายังไม่จากไป เช่นนั้นข้าก็จะได้เล่นกับนางเช่นนี้ ทำให้นางพูด นางยิ้ม ทำของอร่อยให้นาง…ขอเพียงนางมีความสุข ไร้ทุกข์ตลอดไป…”

 

 

เล่าถึงตรงนี้ หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เฟิ่งหวงน้อย พี่ใหญ่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ ตำหนิข้าใช่หรือไม่ ตอนนั้นข้าตามเจ้ามาเล่น ล้วนเพราะเห็นเจ้าเป็นตัวแทนบุตรสาวข้า”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ใหญ่…ในใจข้า พี่เป็นดังบิดาข้านานแล้ว…”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะสองเสียง พลันถอนหายใจยาวเอนตัวลงนอนบนเตียง สองมือหนุนศีรษะกล่าวว่า “ผ่านมาหลายปีแล้ว! เรื่องพวกนี้ข้าก็เกือบลืมแล้ว เก็บกดไว้ในใจมาตลอด วันนี้ได้เล่าออกมา สบายใจจริง! ข้าขโมยดวงตาสวรรค์มา ก็เพื่อมาดูว่านางไปเกิดที่ไหน จะได้ไปหานางอีก น่าเสียดาย นางยังไม่ได้ไปเกิด รอให้นางไปเกิด…ข้าจะต้องดูแลนางให้ดี ไม่ทอดทิ้งนางอีก”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้ากล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าเป็นเพื่อนท่าน พี่ใหญ่ พวกเราครอบครัวเดียวกัน วันหน้าไม่แยกจากกัน”

 

 

มาถึงวันนี้ เขาถึงได้เข้าเหตุใดหลิ่วอี้ฮวนหนีจากตำหนักหลีเจ๋อไปถึงสองครั้ง ถึงกับเสี่ยงภัยไปขโมยดวงตาสวรรค์ ถึงกับเคยมีอดีตเช่นนี้ ช่างทำให้รู้สึกซาบซึ้งตามยิ่งนัก

 

 

เสวียนจีสูดน้ำมูกปาดน้ำตา ร้องไห้น้ำตานอง สะอื้นไห้กล่าวว่า “ข้า…ข้าเองก็ด้วย…พี่หลิ่ว…วันหน้าข้าจะไม่ดุใส่ท่านอีก…หรือว่าท่านเห็นข้าเป็นบุตรสาวท่านไหม…นอกจากเรียกท่านพ่อ ข้าทำได้หมด…”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนตกใจรีบโบกมือ “ไม่ต้อง ไม่ต้อง! ข้าไม่คิดมีบุตรสาวเป็นแม่ทัพเทพสงคราม! ถือว่าแล้วไปเถอะ!”

 

 

พูดไปเขาก็หันไปหัวเราะดังลั่นกับอวี่ซือเฟิ่งไป เสวียนจีปาดน้ำตาไม่เข้าใจ กำลังคิดถาม พลันได้ยินหน้าประตูมีคนมาเคาะดัง น้ำเสียงใสกังวานอยู่หน้าประตู “เสวียนจี! เสวียนจีเจ้าอยู่นี่ไหม”

 

 

เสียงหลิงหลง! เสวียนจีผุดลุกขึ้น “ข้าอยู่! หลิงหลง เจ้ามาได้อย่างไร”

 

 

เงาร่างหน้าประตู หลิงหลงสวมชุดแดง ผิวผ่องราวหิมะ ผมดำขลับ ร่างอรชรยืนอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากอมยิ้มเล็กน้อย สองตาส่องประกายวิบวับมีชีวิตชีวา

 

 

หลิ่วอี้ฮวนเห็นเช่นนี้ก็หลงใหลไปกับความงามดรุณีน้อย ความเศร้าเมื่อครู่พลันมลายหายไปสิ้น ได้แต่มองตาค้างกรามแทบหลุดออกมาไม่รู้ตัว

 

 

“ข้ามาตามพวกเจ้า” หลิงหลงเดินเข้ามา เสียงใสกล่าวว่า “รองานชุมนุมปักบุปผาจบ ข้าจะไปเขาปู้โจวซานกับพวกเจ้า ไปช่วยหมิ่นเหยียนกลับมา”

 

 

เสวียนจีตกใจ พึมพำกล่าวว่า “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร…”

 

 

หลิงหลงยิ้มกุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “ขอโทษ เมื่อก่อนข้าใช้ไม่ได้ เอาแต่ใจตนเอง ทำแต่อะไรที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้พวกเจ้าลำบากเช่นนี้ ทำร้ายหมิ่นเหยียน…” สีหน้านางพลันสลดลงกล่าวอีกว่า “ดังนั้นครั้งนี้ตาข้าไปช่วยเขาบ้าง! เรื่องถูกจองจำ เรื่องหมิ่นเหยียน ข้าจะชำระแค้นกับอูถง!”

 

 

เสวียนจีอึ้งมองนางเป็นนาน ในตาค่อยๆ เผยรอยยิ้มเบิกบานยินดีอย่างที่สุด พลันยกมือกอดนางเต็มแรง สะอื้นกล่าวว่า “ได้! พวกเราไปด้วยกัน! ครั้งนี้…ต้องช่วยศิษย์พี่หกกลับมาให้ได้!”

 

 

มกรที่แอบหลบอยู่ข้างนอก ไม่กล้าเข้ามา พอได้ยินพวกเขาราวกับไม่ได้โมโห ก็รู้ว่าเรื่องที่ตนเองล่วงเกินหลิงหลงไม่ได้ถูกเปิดโปงจึงได้วางใจ กล้าเดินเข้าไปพลางแอบคว้าขนมในจานยัดเข้าปาก กินจนพึงพอใจ