สำหรับเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ พวกเขาหมดคำจะกล่าวแล้วจริง ๆ!
มู่ซีนั้น การเข้าร่วมกับหุบเขาหมอเทวดามีเพียงเป้าหมายนี้เป้าหมายเดียวอย่างนั้นหรือ ?
ไป๋เหรินมองท่านอาจารย์ของตนด้วยความกระวนกระวายใจ ส่วนผู้อาวุโสที่สามเห็นแก่พลังที่แข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้นี้ จึงได้ระงับความโกรธเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจส่วนลึก
เมื่อก่อนเด็กหนุ่มผู้นี้ถูกครอบครัวเลี้ยงตามใจจนเสียผู้เสียคน แต่ไม่เป็นไร รอกลับไปยังหุบเขาหมอเทวดาเสียก่อน เขาจะสั่งสอนให้อย่างถูกต้องในทางที่ควรจะเป็น
เขาไม่กลัวว่ามู่เฉียนซีจะไม่ตอบตกลงแม้แต่น้อย ก็แค่เด็กคนหนึ่งที่มีพลังวิญญาณราชาแห่งภูตระดับหนึ่ง ไม่มีทางหนีรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้
ครั้นแล้วไป๋เหรินก็ได้จัดหาห้องพักให้กับมู่เฉียนซีในโรงเตี๊ยมเดียวกัน ขอเพียงแค่อยู่ในสายตาของพวกเขา ก็ไม่มีทางที่จะหนีไปไหนได้
ไป๋เหรินถูกท่านอาจารย์เรียกตัวเข้าพบอีกครั้ง
ผู้อาวุโสที่สามกล่าวว่า “เหรินเอ๋อร์ ตกลงแล้วเจ้าไปเจอเด็กหนุ่มผู้นั้นได้อย่างไรหรือ ?”
ไป๋เหรินเล่าเรื่องที่มู่เฉียนซีได้กระทำลงไปให้ท่านอาจารย์ของตนเองฟัง ผู้อาวุโสที่สามได้ฟังก็กล่าวขึ้นมา “อืม เขาเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจจนเสียคนจริง ๆ แต่ไม่เป็นไร ข้ามีวิธี”
เป็นเพราะการแสดงออกที่ไม่รู้ความของมู่เฉียนซี จึงทำให้ศิษย์และอาจารย์ ทั้งสองคนไม่ได้มีจิตใจที่ระแวดระวังมู่เฉียนซีมากนัก
ผู้อาวุโสที่สามกล่าว “แต่ว่าเหรินเอ๋อร์ การที่เจ้าพาเขามาหาข้า มันทำให้ข้าแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย” ศิษย์ที่พร่ำสอนมาเองกับมือ มีหรือผู้เป็นอาจารย์อย่างเขาจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาย่อมรู้ดีว่าไป๋เหรินไม่มีทางพาอัจฉริยะมาเพื่อลดทรัพยากรของตัวเองเด็ดขาด
ไป๋เหรินไม่กล้าที่จะปิดบังท่านอาจารย์ เขาจึงเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมของ ‘มู่ซี’ ให้ท่านอาจารย์ของเขาฟัง
ผู้อาวุโสที่สามได้รู้เช่นนี้ก็ตกตะลึง “เจ้ากำลังบอกว่าเขามีกระบี่ประหลาดที่กลืนกินวิญญาณได้ อีกทั้งยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธ์ระดับสามเป็นสัตว์พันธสัญญางั้นรึ ?”
“ใช่ขอรับ!”
“กระบี่กลืนกินวิญญาณ… หรือว่าจะเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในตำนาน อืม… ไม่… หากเจ้าเด็กนั่นได้ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในตำนานจริง ความแข็งแกร่งของเขาคงไม่ใช่แค่ราชาแห่งภูตเป็นแน่ ใต้หล้านี้มีกระบี่กลืนกินวิญญาณอยู่มากมายนัก”
ไป๋เหริน “ท่านอาจารย์ ข้าเองก็ไม่คิดว่ากระบี่เล่มนั้นจะเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปได้ขอรับ กระบี่เล่มนั้นของเขา นอกจากปลายกระบี่แล้ว ส่วนอื่น ๆ ของกระบี่ล้วนแต่มีสนิมเกาะเต็มไปหมด หากเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ไม่มีทางที่จะมีสนิมเช่นนั้นแน่ขอรับ”
ผู้อาวุโสที่สาม “อืม ข้าก็คิดว่าไม่ใช่ แต่ถึงแม้ว่ากระบี่เล่มนั้นจะไม่ใช่กระบี่ธรรมดา ต่อไปเขาก็จะเป็นศิษย์น้องของเจ้า เจ้าอย่าคิดทำอะไรที่ไม่ดีแล้วกัน”
“ขอรับอาจารย์” ไป๋เหรินรับคำ
ข้างกายเด็กหนุ่มผู้นั้นยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามอยู่ ไป๋เหรินนั้น ต่อให้เขาคิดอยากได้ก็ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
……
เมื่อมู่เฉียนซีกลับมาถึงห้องก็เอาแต่ครุ่นคิด ‘อาจารย์เฒ่านั่นเป็นถึงมหาจักรพรรดิแห่งภูต ซ้ำข้างกายยังมีองครักษ์คุ้มกันอยู่ไม่น้อย หากคิดจะแย่งของมาจากเขา ต่อให้มีอู๋ตี้กับเสี่ยวหงก็ยากที่จะทำได้’
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงตัดสินใจอดทนรอไปก่อน ถึงอย่างไรคนเหล่านั้นก็เห็นว่านางเป็นเพียงคุณชายที่ไม่รู้จักโลกคนหนึ่ง ไม่ได้เตรียมใจระแวดระวังสักเท่าไหร่ นางยังมีโอกาสสำรวจเสาะหาที่ซ่อนของม้วนไม้ไผ่โบราณอยู่
ศิษย์ของผู้อาวุโสที่สามค่อย ๆ ทยอยกลับกันมาทีละคน
“ท่านอาจารย์ หาไม่เจอเลยขอรับ”
“เจ้าเด็กตระกูลจวินผู้นั้นก็ไม่เจอเลยขอรับ”
“ใช่แล้วขอรับ…”
ใบหน้าที่เป็นมิตรของผู้อาวุโสที่สามพลันเปลี่ยนกลายเป็นเคร่งขรึมทันที “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามหาให้เจอ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินเซี่ยโจวหา ก็ต้องหาให้เจอให้ได้”
ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับภารกิจสำคัญที่จะทำให้เจ้าสำนักเห็นเขาอยู่ในสายตา เขาต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ
“ขอรับ!”
หุบเขาหมอเทวดาทำให้ทั่วทั้งเซี่ยโจวตกใจ ไม่ว่าจะเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งอย่างสำนักอวิ๋นเยียน หรือจะเป็นสำนักนิกายครึ่งระดับก็ล้วนแต่ถูกบีบบังคับให้เป็นสุนัขรับใช้ของพวกเขา
พวกเขาตามหาสถานที่ที่แปลกประหลาด อีกทั้งยังตามหาชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ อย่างสุดกำลังความสามารถ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มู่เฉียนซีอาศัยอยู่กับคนของหุบเขาหมอเทวดา ได้อยู่ดีกินดี ฝึกฝนอย่างสบายใจ นางเพียงแค่รอข่าวอย่างสบายใจก็เพียงพอ
ทันใดนั้นร่างสีขาวตรงหน้านางสว่างวาบขึ้น มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “อู๋ตี้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? เจอม้วนไม้ไผ่โบราณบ้างหรือไม่ ?”
อู๋ตี้กล่าวอย่างจนปัญญา “นายท่าน ตาเฒ่าผู้ซึ่งเป็นท่านอาจารย์ผู้นั้นระมัดระวังอย่างมาก ข้าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”
ดวงตาสีดำสนิทของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย นางคิดวิธีเสี่ยงอันตรายขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงไปสักหน่อย แต่มันก็ได้ผลเต็มสิบส่วน
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “หากตาเฒ่าผู้นั้นได้ม้วนไม้ไผ่โบราณไปอีกม้วนหนึ่ง เขาต้องเอาม้วนของเขาออกมาประกอบกัน ถึงตอนนั้นก็จะได้รู้ว่าเขาซ่อนม้วนไม้ไผ่โบราณเอาไว้ที่ใด”
อู๋ตี้ “แต่ตาเฒ่านั่นเป็นถึงยอดฝีมือมหาจักรพรรดิ ข้าต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้เขาจับข้าได้ ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากันจริง ๆ นายท่านจะเป็นอันตรายเอาได้”
มู่เฉียนซี “แต่เราจะรอต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ได้ หากพวกนั้นหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอแล้วตัดสินใจกลับหุบเขาหมอเทวดา เช่นนั้นเรื่องก็จะยิ่งยุ่งยากไปกันใหญ่ อีกอย่าง ท่านอาเล็กของข้าไม่อาจรอนานได้”
อู๋ตี้เข้าใจการตัดสินใจของนายท่านดี ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็มิอาจเปลี่ยนอะไรได้
“เช่นนั้นข้าจะปกป้องนายท่านให้ดีที่สุด”
มู่เฉียนซีออกไปจากโรงเตี๊ยม ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสที่สามจะส่งคนตามนางไป แต่นางก็สลัดพวกเขาออกไปได้ก่อนจะมาเจอสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นนางก็ได้แปลงร่างเป็นจวินโม่ซี ส่องกระจกดูใบหน้าตนเองและกล่าวด้วยความคะนึงถึงว่า… “ไม่รู้ว่าเจ้าตะกละจวินโม่ซีจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างแล้วในเวลานี้”
หลังจากที่แปลงร่างเป็นจวินโม่ซีเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็กินยาวิญญาณที่ได้มาจากหม้อเทพปาฮวางชิงมู่ไปหนึ่งเม็ดเพื่อเพิ่มพลังให้เป็นระดับจักรพรรดิชั่วคราว จากนั้นก็เตรียมตัวออกจากเกาะ
แน่นอนว่าการปรากฏตัวเป็นจวินโม่ซีครั้งนี้ต้องมีคนพบเห็น
“เจ้ารีบไปรายงานให้ท่านผู้อาวุโสทราบว่ามีคนพบเจอเจ้าหนุ่มจวินโม่ซีแล้ว เขากำลังล่องเรือออกทะเลไปยังเขตทะเลอู๋หยา”
ประกายแสงเย็นวาบผ่านดวงตาของผู้อาวุโสที่สาม “หึ ๆ ในที่สุดข้าก็หาเจอจนได้ รีบให้คนออกไปตามล่าตัวเดี๋ยวนี้”
ศิษย์ที่หกและศิษย์ที่เจ็ดออกไปตามหา ส่วนไป๋เหรินนั้น เขาต้องออกไปตามหามู่เฉียนซี จึงพลาดโอกาสที่จะทำภารกิจนี้ไป ทำให้เขากลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำให้เขาเกลียดมู่เฉียนซีมากขึ้น!
“เจ้ามันช่างสร้างปัญหาให้ข้าแท้ ๆ”
เหล่าบรรดายอดฝีมือจักรพรรดิระดับเก้ามากมายตามไล่ล่าจวินโม่ซีเพียงคนเดียวก็มากเกินพอ ทันทีที่มู่เฉียนซีเข้าใกล้เขตทะเลอู๋หยา นางก็ถูกสะกดรอยตาม และเมื่อมาถึงเกาะอู๋หยา นางก็ถูกล้อมโดยสมบูรณ์
ศิษย์พี่หก “จวินโม่ซี เจ้าโดนล้อมไว้หมดแล้ว ยอมแพ้เสียเถอะ!”
“พวกเจ้าฝันไปเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา ฉับพลันเข็มพิษในมือก็พุ่งออกไปในเวลาเดียวกัน
เพื่อไม่ทำให้พวกเขาสงสัยว่านางคือจวินโม่ซีตัวปลอม นางจึงไม่อาจใช้กระบี่มังกรเพลิงได้ พลังธาตุวารีก็ไม่อาจใช้ได้ เสี่ยวหงก็ไม่อาจปรากฏกายออกมาได้ มีเพียงอู๋ตี้ที่แปลงร่างให้ร่างใหญ่เท่านั้นที่สามารถออกมาช่วยมู่เฉียนซีรับมือกับศัตรูได้
การวางยาพิษ… พวกเขาได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือเอาไว้แล้ว ดังนั้นพิษไม่มีผลกระทบต่อพวกเขามากนัก
ส่วนอู๋ตี้ มันสามารถขัดขวางได้เพียงจักรพรรดิแห่งภูตสามคนเท่านั้น ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงตกอยู่ในอันตรายอย่างที่นางไม่คาดคิด
— ขวับ! —
มู่เฉียนซีถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว
ศิษย์ที่เจ็ดกล่าวขึ้น “จวินโม่ซี เจ้าหมดทางหนีแล้ว ยอมเอาม้วนไม้ไผ่โบราณแผนที่ของหม้อเทพนิรันดร์มาให้ข้าเสียดี ๆ”
“ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ไม่ยอมเอาให้พวกเจ้า!” มู่เฉียนซีตะคอก
ศิษย์ที่เจ็ดกล่าวเย้ยหยัน “หากเจ้าตาย ข้าจะให้บุรุษหลายคนลงมือกับศพของเจ้า ถึงอย่างไรคนที่ชอบไม้ป่าเดียวกันอย่างเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ชอบ อีกอย่าง รูปร่างและใบหน้าเจ้าก็ดูดีใช่เล่น”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็โกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ ที่แท้คนของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านี้ไร้ยางอาย น่ารังเกียจยิ่งกว่าอะไรดี!
มู่เฉียนซีพยายามต่อสู้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะยอมมอบม้วนไม้ไผ่โบราณนี้ให้เจ้าก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องปล่อยข้าไป”
ศิษย์ที่เจ็ด “ขอเพียงแค่เจ้าเอาของให้พวกข้า เจ้าก็ไร้ประโยชน์ ได้ พวกข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ศิษย์ที่เจ็ดให้คำมั่นเช่นนี้ มู่เฉียนซีจึงนำเอาม้วนไม้ไผ่โบราณโยนให้พวกเขา “เอ้า! รับไป อยากได้นักก็เอาไปเลย”
.
.
.