แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ดื้อรั้นของเธอ เทาเท่ก็จึงยอมไปขอรถเข็นมา
เขาบอกตัวเองว่า ตอนนี้เธอเป็นคนป่วย ต้องยอมเธอก่อน
พูดตามตรง เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้เลยว่าหลินจือจะมีนิสัยที่ดื้อรั้นแบบนี้ เธอในอดีตไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้เลย
หลังจากที่หลินจือขึ้นนั่งบนรถเข็นแล้ว เทาเท่ก็เอาเสื้อสูทของตัวเองคลุมให้เธออีกครั้ง คืนนี้ชุดที่เธอสวมใส่ หากไม่หาอะไรมาปิดสักหน่อยคงเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
หลังจากที่หมอทำการตรวจให้แล้วจึงพูดขึ้นว่า“ กระดูกข้อเท้าไม่มีปัญหาอะไร แค่อาการพลิกจึงทำให้บวมแดง กลับไปพ่นยา ในช่วงนี้ก็พยายามอย่าเดินมากนัก และพักผ่อนอย่างเพียงพอ”
หลินจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
แต่เทาเท่ก็ถามอย่างไม่วางใจไปอีกว่า“ ไม่ต้องฉายภาพเอกซเรย์เหรอ?”
เมื่อครู่หมอแค่ขยับและกดไปที่ข้อเท้าตรวจการเคลื่อนไหวแค่นั้น ก็วินิจฉัยได้แล้ว?
หากกระดูกได้รับความเสียหาย มันเรื่องใหญ่เลยนะ
หมอมองไปที่เทาเท่อย่างหมดคำพูด ด้วยท่าทางที่บ่งบอกทางสีหน้าว่ารู้ดีขนาดนี้มารักษาเองเลยไหม
เขาเอาจรรยาบรรณในวิชาชีพมาเป็นประกัน นี่มันแค่อาการข้อเท้าพลิกทั่วไปเท่านั้น ไม่ถึงขั้นกระดูกได้รับความเสียหายอะไร
หากกระดูกได้รับความเสียหาย หญิงสาวตรงหน้าไม่มีท่าทีสงบนิ่งอย่างนี้แน่ คงเจ็บปวดเจียนตายไปแล้ว
หลินจือรีบทำลายบรรยากาศที่อึมครึม“ขอบคุณคุณหมอค่ะ ฉันไปรับยาก่อนนะคะ ”
เทาเท่จ้องเขม็งมองไปที่หมออย่างไม่พอใจ จากนั้นก็เข็นรถเข็นของหลินจือออกไป
“เดี๋ยวผมตามไวท์มาดีกว่า”หลังจากที่ออกจากห้องตรวจ เทาเท่ก็ยังไม่วางใจ หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วจะกดโทรหาไวท์
หลินจือรู้สึกปวดหัวมาก“ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายแบบนี้เลย หากอาการรุนแรงฉันคงเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว ”
เทาเท่มีอารมณ์ฉุนเฉียว เขาหวังดีกับเธอแท้ๆ แต่เธอกลับหาว่าเขาทำเรื่องวุ่นวาย
แต่สมองก็สั่งการ ว่าเขาไม่ควรโกรธ เธอเป็นคนป่วย
ดังนั้นเขาก็จึงอดทนแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้คุณเองก็ไม่กล้าเดินไม่ใช่เหรอ?”
หลินจือตอบ“เหตุการณ์มันเพิ่งเกิดยังไม่ได้รับการรักษา กลับไปแล้วพ่นยาลดอาการบวม เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
อีกอย่าง เขาไม่ให้โอกาสเธอได้ลองเดินดูเลย เธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินได้ไหม
กลัวว่าเขาจะอุ้มเธอ เธอจึงร้องขอรถเข็นไป
ภายใต้การยืนกรานของหลินจือ เทาเท่ก็ไปรับยาให้เธอจากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากโรงพยาบาลไป
ทันทีที่เทาเท่ขับมาถึงที่ใต้ตึกของหลินจือ เจเทาวน์กับนานิก็ตามมาถึงแล้ว
หลังจากที่นานิลงจากรถได้ก็วิ่งไปหาหลินจือด้วยรองเท้าส้นสูงที่สวมใส่ ผลักเทาเท่ที่กำลังจะประคองตัวหลินจือออกอย่างไม่ไว้หน้า
เทาเท่“……”
นานิเข้าไปประคองหลินจือแล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า“ขาเธอเป็นยังไงบ้าง ? หมอว่ายังไง ? ”
หลินจือพูดปลอบเธอ “ไม่ได้เป็นอะไร แค่บวมแดงนิดหน่อยพักสักสองสามวันก็หาย”
นานิก็ถึงได้โล่งใจจากนั้นก็พูดเหน็บเทาเท่“ คนบางคนก็จ้องแต่จะทำร้ายคนอื่นอยู่ตลอด หลินจืออยู่ที่งานเลี้ยงทั้งคืนไม่เป็นอะไร พอออกไปด้วยก็ข้อเท้าพลิกจนได้”
นานิมองเทาเท่ขวางหูขวางตาไปหมด โจมอนกับเจเทาวน์ดีกว่าเทาเท่เป็นไหนๆ เพราะพวกเขาล้วนจริงใจกับหลินจือ
เพราะใช้ใจ ก็จึงทั้งรักและเอาใจใส่เธอ
แต่เทาเท่ล่ะ ?
มีแต่ทำร้ายหลินจือเท่านั้น
เทาเท่ถูกนานิต่อว่าซึ่งๆหน้า จนพูดไม่ออกสักคำ
เพราะที่นานิพูดนั้นไม่ผิดเลย เพราะเขาหลินจือถึงข้อเท้าพลิก
หลินจือดึงแขนนานิ ไม่อยากให้เธอพูดต่อ
จังหวะเดียวกับที่เจเทาวน์จอดรถเสร็จแล้วเดินมา พยักหน้าทักทายกับเทาเท่แล้วเจเทาวน์ก็หันไปพูดกับหลินจือ“ไปเถอะ ไปกัน ”
หลินจือเหลือบมองไปที่นานิ “ ให้นานิไปกับฉันก็พอค่ะ ประธานเจเทาวน์กลับไปพร้อมประธานเทาเท่เถอะค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
เจเทาวน์พูดว่า“ช่วงนี้เท้าของคุณคงขยับเคลื่อนไหวไม่สะดวก ผมจะไปทำอาหารไว้ให้ อย่างน้อยได้เตรียมอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ไว้ให้ก็ยังดี”
หลังจากที่เทาเท่ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกว่าเจเทาวน์นั้นขี้อวดเกินไป ทำอาหารเป็นแล้วยังไง ?
หลินจือแค่ข้อเท้าพลิก เจเทาวน์ก็รีบเสนอตัวทำอาหารให้ทันที ?
เดิมทีหลินจือก็อยากจะปฏิเสธ เพราะเธอรู้สึกว่าเธอไม่ได้ป่วยถึงขั้นหาอาหารกินเองไม่ได้
แต่นานิที่อยู่ข้างๆก็ชิงพูดขึ้นว่า“เยี่ยมเลยค่ะ ประธานเจเทาวน์ ถึงฉันจะดูแลหลินจือได้ แต่เรื่องทำอาหารนั้นฉันทำไม่เป็นเลย ”
นานิจึงชวนเจเทาวน์ขึ้นห้องไปด้วย“ไปกันเถอะ จะได้ชิมฝีมือการทำอาหารของนักแสดงนำชายดีเด่นอย่างคุณเจเทาวน์ด้วย”
นานิพูดมาซะขนาดนี้แล้ว หลินจือไม่มีทางเลือกก็จึงให้เจเทาวน์ตามขึ้นห้องไปด้วย
ดังนั้นเธอจึงหันไปขอบคุณเทาเท่“ประธานเทาเท่ ขอบคุณที่พาฉันไปโรงพยาบาล ดึกมากแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ”
จากนั้นทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในอาคารที่พัก เหลือเพียงเทาเท่คนเดียวที่หน้าตึก รู้สึกเพียงไฟในอกวิ่งพล่านไปทั่วร่าง
ระหว่างทางกลับ เทาเท่โทรหาโซเมน พูดบ่นเรื่องการประจบเอาใจของเจเทาวน์
ไม่คิดว่าโซเมนจะเข้าข้างเจเทาวน์“ฉันคิดว่าสิ่งที่เจเทาวน์ทำก็ถูกต้องแล้ว ผู้ชายก็ควรจะเอาอกเอาใจผู้หญิงที่เราชอบไม่ใช่เหรอ ? นายไม่รู้จักประจบเอาใจ แล้วใครเขาจะไปรู้ว่าเรามีดีอะไร ?”
เดิมทีเทาเท่อยากจะมาบ่นเรื่องเจเทาวน์ แต่เพราะคำพูดของโซเมนทำเขาหงุดหงิดมากขึ้น
โซเมนพูดขึ้นอีกว่า“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนายนะ เจเทาวน์คอยปกป้องและดูแลหลินจือในยามที่เธออ่อนแอตลอด ใจของหลินจือก็ย่อมจะหวั่นไหวได้ง่าย”
เทาเท่ไม่อยากได้ยินคำพูดของโซเมนอีก เพราะคำพูดของโซเมนนั้นแทงใจทุกคำ
หลังจากที่หลินจือสามคนมาถึงที่ห้อง เจเทาวน์ก็เข้าครัวในทันที ใช้เวลาไม่นานก็ทำเกี๊ยวน้ำออกมาสองชาม“ ในงานเลี้ยงน่าจะกินกันไม่อิ่ม พวกคุณกินนี่รองท้องไปก่อนนะ”
นานิพูดชม“โอ้โหประธานเจเทาวน์ คุณช่างมีน้ำใจเหลือเกิน”
เจเทาวน์กลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง เพื่อเตรียมอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้ให้หลินจือ
ขณะที่กำลังกินอยู่นานิก็ถามหลินจือว่า“ เธอกับเทาเท่นี่มันยังไง ?”
หลินจือยิ้มและพูดว่า“ ไม่มีอะไร เขาแค่ดึงฉัน ฉันยืนไม่นิ่ง ข้อเท้าก็เลยพลิก”
นานิพึมพำอย่างโกรธเคือง“ฉันก็ว่า คนอย่างเทาเท่ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ไม่รู้หรือไงว่าเธอใส่รองเท้าส้นสูงอยู่ ? ยังมาดึงเธออีก!”
หลินจือหลุบตาลงและไม่ได้พูดอะไร
ใช่ นานิพูดถูก เธอไม่รู้ว่าเทาเท่ปฏิบัติตัวกับคนอื่นยังไง แต่เขาไม่เคยคิดถึงความรู้สึกเธอเลยสักครั้ง
ไม่ว่าเธอจะสุขหรือทุกข์ เธอจะสบายดีหรือไม่สบายยังไง เขาไม่เคยสนใจเลย
ไม่อย่างนั้น เรื่องที่เธอไม่กินเนื้อวัวกับเนื้อแกะทำไมเขาถึงไม่รู้ ?
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น ก็มีข่าวหนึ่งว่อนไปทั่วอินเทอร์เน็ต
เป็นภาพของซูซีที่ออกจากงานเลี้ยงด้วยความเศร้าโศก เนื้อหาระบุว่าสงสัยความสัมพันธ์ของเทาเท่จะเปลี่ยนแปลง
ความคิดเห็นของบางคนอธิบายอย่างสมจริงสมจังว่า ได้ยินซูซีกับเทาเท่ทะเลาะกัน แม้เนื้อหาของการทะเลาะกันนั้นจะได้ยินไม่ชัดเจน แต่ระหว่างคนทั้งสองมีปัญหากันแน่นอน
ไม่นานข่าวความรักที่เปลี่ยนไปของซูซีกับเทาเท่ก็ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ ความคิดเห็นมากมาย มีบุคคลหนึ่งได้เขียนเอาไว้ ดูเหมือนเทาเท่จะไม่เคยยอมรับในความสัมพันธ์ของเขากับซูซีเลยมั้ง ?
นึกภาพออกเลย ว่าความคิดเห็นนี้จะต้องถูกแฟนคลับของซูซีโจมตีอย่างหนักแน่นอน
บล็อกเกอร์ที่โพสต์ความคิดเห็นนี้ได้ทำโพสต์พิเศษขึ้นด้วยความโกรธ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างซูซีกับเทาเท่อย่างจริงจังขึ้นมา
สุดท้ายก็ได้บทสรุปว่า เทาเท่ไม่เคยประกาศตัวยอมรับในที่สาธารณะมาก่อน มีซูซีคนเดียวเท่านั้นที่พยายามสื่อว่ามีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับเทาเท่